بِـــسْــــــمِ
اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ
หลักศรัทธา
(รุก่นอีหม่าน) 6 ประการ
ستة مواد العقيدة الإسلامية
The Six articles of Islamic faith.
อิสลามเบื้องต้น : หลักศรัทธา
(รุก่นอีหม่าน) 6 ประการ
มโนทัศน์ (ภาพในความนึกคิด) พื้นหลักมูลฐานที่สุดของศาสนาอิสลาม
คือ เอกเทวนิยม (นับถือพระเจ้าองค์เดียว) อย่างเคร่งครัด เรียก เตาฮีต (อาหรับ: توحيد) มีคำพรรณนาในบทที่
(ซูเราะต์อัลอิคลาส Surat Al-'Ikhlāş (The Sincerity)
- سورة
الإخلاص) 112:1-4 ของคัมภีร์อัลกุรอานว่า
"จงกล่าวเถิด "พระองค์คืออัลลอฮฺ พระผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงอิสระ
พระองค์ไม่ทรงประสูติบุตร และไม่ทรงถูกประสูติ
และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์" มุสลิมและยิวไม่ได้ศรัทธาในหลัก ตรีเอกานุภาพ (พระเจ้าสามองค์ของคริสต์) ของคริสต์ศาสนิกชนและเทวภาวะของพระเยซู
โดยเปรียบเทียบกับ พหุเทวนิยม (นับถือพระเจ้าหลายองค์)
เดิมทีพุทธศาสนาเป็น อเทวนิยม (อังกฤษ: atheism) คือ ทรรศนะที่เชื่อว่าไม่มีพระเป็นเจ้า แต่ปัจจุบันกรายมานับถือพระพุทธรูปและรูปปั้นพระสงฆ์ดังๆ เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้น ให้คุณให้โทษแก่เขาได้
ในศาสนาอิสลาม พระเป็นเจ้าอยู่เกินความเข้าใจซึ้งใด ๆ และมุสลิมไม่คาดหวังเห็นพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าถูกพรรณาและอ้างถึงในหลายพระนามหรือลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่พบบ่อยที่สุดคือ อัร-เราะห์มาน (Al-Rahmān) หมายถึง "พระผู้ทรงเมตตาปรานี" และอัรเราะฮีม (Al-Rahīm) หมายถึง "พระผู้ทรงกรุณาปรานี" (เมตตา – ปรารถนาให้เป็นสุข, กรุณา – ปรารถนาให้พ้นจากทุกข์)
เดิมทีพุทธศาสนาเป็น อเทวนิยม (อังกฤษ: atheism) คือ ทรรศนะที่เชื่อว่าไม่มีพระเป็นเจ้า แต่ปัจจุบันกรายมานับถือพระพุทธรูปและรูปปั้นพระสงฆ์ดังๆ เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้น ให้คุณให้โทษแก่เขาได้
ในศาสนาอิสลาม พระเป็นเจ้าอยู่เกินความเข้าใจซึ้งใด ๆ และมุสลิมไม่คาดหวังเห็นพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าถูกพรรณาและอ้างถึงในหลายพระนามหรือลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่พบบ่อยที่สุดคือ อัร-เราะห์มาน (Al-Rahmān) หมายถึง "พระผู้ทรงเมตตาปรานี" และอัรเราะฮีม (Al-Rahīm) หมายถึง "พระผู้ทรงกรุณาปรานี" (เมตตา – ปรารถนาให้เป็นสุข, กรุณา – ปรารถนาให้พ้นจากทุกข์)
มุสลิมเชื่อว่าการสรรสร้างทุกสิ่งในเอกภาพถูกทำให้มีโดยพระโองการบริบูรณ์ของอัลลออ์
"จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา" และมุสลิมมีความมุ่งหมายของการดำรงชีวิตอยู่
คือเพื่อสักการะบูชาอัลลออ์ มองว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงตอบสนองเมื่อใดก็ตามที่บุคคลต้องการ
หรือผู้ใดเป็นทุกข์เรียกหาพระองค์ พระองค์ก็จะให้ความช่วยเหลือ ไม่ต้องมีคนกลาง ไม่ต้องใช้สิ่งใดเป็นสื่อ
เช่น นักบวช เพื่อติดต่อพระเป็นเจ้า ซึ่งมุสลิมศรัทธาว่า
อัลลอฮ์นั้นอยู่ใกล้ชิดมนุษย์ พระองค์บอกว่า "เรา(อัลลอฮ์)นั้นใกล้ชิดเจ้ายิ่งกว่าเส้นโลหิตชีวิตในลำคอติดกับคอหอยของเจ้าเสียอีก"
(เส้นเลือดใหญ่ที่ส่งเลือดขึ้นมาเลี้ยงสมองนั้น อยู่ติดกับหลอดลม หรือหลอดอาหาร
หรือคอหอย)
อัลลอฮฺเป็นคำไม่มีพหูพจน์หรือเพศ ที่มุสลิมและคริสต์ศานิกชนและยิวที่พูดภาษาอารบิกอ้างถึงพระเจ้าอื่นว่า "อิละห์" (อาหรับ: إله) เป็นคำที่ใช้กับเทวดาหรือเทพเจ้าโดยรวม คำว่าอัลลอฮ์จึงสะกดนำด้วย อะลีฟ ลาม จึงเป็น اَللهُ
อัลลอฮฺเป็นคำไม่มีพหูพจน์หรือเพศ ที่มุสลิมและคริสต์ศานิกชนและยิวที่พูดภาษาอารบิกอ้างถึงพระเจ้าอื่นว่า "อิละห์" (อาหรับ: إله) เป็นคำที่ใช้กับเทวดาหรือเทพเจ้าโดยรวม คำว่าอัลลอฮ์จึงสะกดนำด้วย อะลีฟ ลาม จึงเป็น اَللهُ
อิสลามถือว่าในสากลจักรวาลทั้งหลายมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียวเป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุม
โลกนี้มิใช่เกิดมาโดยบังเอิญถ้าเกิดโดยบังเอิญมันจะมีระเบียบแบบแผนในการโคจรไม่ได้โลกและดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบรักษาตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างคงเส้นคงวานับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปีโดยที่มันไม่เคยได้ชนกันเลยนี่ต้องแสดงว่ามีผู้บริหารและต้องมีผู้ควบคุมมัน
2.
ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮ์ الإيمان
بالملائكة faith in
Mala-e-kah มลาอีกะฮ์ คือผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างอัลลอฮ์กับศาสดา
(นบี نبي Prophet) ทั้งหลาย เพื่อจะได้ให้ศาสดาดังกล่าวได้เข้าถึงอัลลอฮ์
มนุษย์เราแม้จะมีปัญญาสักปานใดก็ต้องอาศัยสื่อภายนอกด้วยเหมือนกัน เช่น มนุษย์นั้นแม้จะมีสายตาดีสักเพียงใดก็ตามเขาก็ไม่สามารถมองเห็นวัตถุใด
ๆ ได้เลยถ้าหากไม่มีแสงสว่างเป็นสื่อ
คำว่า มลาอีกะฮ์หาคำศัพท์แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ มลาอีกะฮ์ เป็นนามธรรมไม่ใช่เทวทูต, เทวดา, ทูตสวรรค์ แต่ในศาสนาอิสลามถือว่ามลาอีกะฮ์ไม่มีเพศ ไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน ไม่มีเพศ ไม่ขยายเผ่าพันธุ์ ถูกสร้างมาจากรัศมีของอัลลอ์ มลาอีกะฮ์ คืออำนาจแห่งความดีส่วนอำนาจแห่งความชั่วนั้น คือชัยตอน หรือซาตานหรือมาร นั่นเองดังนั้น มลาอีกะฮ์จึงไม่ใช่เทวดาและนางฟ้า
คำว่า มลาอีกะฮ์หาคำศัพท์แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ มลาอีกะฮ์ เป็นนามธรรมไม่ใช่เทวทูต, เทวดา, ทูตสวรรค์ แต่ในศาสนาอิสลามถือว่ามลาอีกะฮ์ไม่มีเพศ ไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน ไม่มีเพศ ไม่ขยายเผ่าพันธุ์ ถูกสร้างมาจากรัศมีของอัลลอ์ มลาอีกะฮ์ คืออำนาจแห่งความดีส่วนอำนาจแห่งความชั่วนั้น คือชัยตอน หรือซาตานหรือมาร นั่นเองดังนั้น มลาอีกะฮ์จึงไม่ใช่เทวดาและนางฟ้า
รายนามมะลาอิกะฮฺที่มุสลิมทุกคนควรทราบนั้นมีทั้งหมด 10
ตน
1.
ญิบรีล
(جِبْرِيْلُ
Gabriel) เป็นผู้นำในบรรดามะลาอิกะฮฺทั้งหลาย
และเป็นผู้นำวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.)ไปยังบรรดานบีและเราะซูล
2.
มีกาอีล
(ميخائيل Michael)
เป็นผู้ควบคุมระบบสุริยจักรวาล และนำปัจจัยยังชีพ (ริสกี) มาให้แก่บรรดามัคลู๊ก[1] ทั้งหลาย
3.
อิซรออีล
(มะลิกุลเมาตฺ مَلِكِ الْمَوْتِ) (عزرائيل Izrael) ทำหน้าที่
ถอดวิญญาณมัคลูกตามเวลาที่กำหนดไว้
4.
อิสรอฟีล
(إسرافيل Israfil) เป่าแตร(ศูรฺ) เมื่อถึงกำหนดวันสิ้นโลก (วันกิยามะฮฺ)
และวันฟื้นคืนชีพ
5.
รอกีบ
(كراماً Raqib)
ผู้บันทึกอันมีเกียรติ
อยู่ประจำข้างซ้ายและข้างขวาของมนุษย์ บันทึกความดี ความชั่วของมนุษย์ (كراماً
و كاتبين Surat Al-'Infiţār (The Cleaving) – سورة
الإنفطار
82
6.
อะตีด
(كاتبين
Atid) ผู้บันทึกอันมีเกียรติ อยู่ประจำข้างซ้ายและข้างขวาของมนุษย์
บันทึกความดี ความชั่วของมนุษย์
7.
มุนกัรฺ
(منكر
Mungar) ทำหน้าที่ สอบสวนคนตายในสุสาน
(กุโบรฺ)
8.
นะกีรฺ
(نكير
Nakir) ทำหน้าที่ สอบสวนคนตายในสุสาน
9.
ริฎวาน
(رضوان Ridwan) คอยดูแลและเฝ้าประตูสวรรค์
10.
มาลิก
(ซะบานียะฮฺ) (مالك Malik) คอยดูแลและเฝ้าประตูนรก
3. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์ الإيمان
بالكتب Faith in all scriptures. มุสลิมต้องศรัทธาต้นฉบับเดิมของคัมภีร์ทั้งหลายทุกๆ เล่มในอดีตรวมทั้งอัล-กุรอานด้วยทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่าคัมภีร์เหล่านั้นต้องเป็นวะฮีย์
(ได้รับการถ่ายทอดถ้อยคำจากอัลลอฮ์ผ่านมลาอิกะห์) และต้องมีเนื้อหาสาระตรงกับอัล-กุรอาน
มุสลิมต้องเชื่อถือในส่วนบริสุทธิ์ของคัมภีร์เท่านั้น อิสลามถือว่าคัมภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุดและเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือคัมภีร์อัล-กุรอาน
อัลลอฮุส่งคัมภีร์เล่มแรกลงมาคือ
อัลลอฮุส่งคัมภีร์เล่มแรกลงมาคือ
·
คัมภีร์เตาร็อต
التوراة
Torah – ประทานให้ นบีมูซา مسى Moses.
·
คัมภีร์ซะบูร
الزبور Sabur - ประทานให้ นบีดาวูด داود Dawud.
·
คัมภีร์อัล-กุรอาน
القرآن Al-Qur-an
- ประทานให้ นบีมุฮัมมัด محمد Muhammad
4. ศรัทธาในบรรดานบีและเราะซูลของพระองค์ الإيمان بالنبوة Faith in
all Prophets and all The messengers บรรดานบีและเราะซูลที่สำคัญมี
25 ท่าน ท่านนาบีอาดำ เป็นนบีท่านแรกของพระองค์
และท่านนาบีมูฮัมหมัด (ซล.) เป็นเราะซูลท่านสุดท้าย คำว่า “นบี”
คือศาสดาที่ไม่ได้รับคัมภีร์มาเทศนาสาวก หรือประชาชาตินั้นๆ ส่วนคำว่า “เราะซูล”
หรือ “เราะซู ลุลลอฮิ” คือศาสดาที่ได้รับคัมภีร์ลงมาเทศนาสาวก หรือประชาชาตินั้นๆ
คำว่า “ระ-ซา-ละ ر
س ل” แปลว่า สาส์น. เราะซูล ลุลลอฮิ จึงแปลว่า
ผู้ถือสาส์นจากอัลลอฮ์
ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะปรากฎชื่ออยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานหรือไม่ก็ตามไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะเป็นชนชาติใดอยู่ที่ไหนพูดภาษาอะไรก็ตามมุสลิมต้องให้เกียรติยกย่องบรรดาศาสดาเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกันหมด
ศาสดามุฮัมมัด เป็นศาสดาสุดท้ายของโลกที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาก่อน ๆ ที่เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักอัลลอฮ์ และดำเนินชีวิตตามคำสอนของอัลลอฮ์ ศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวว่าหลังจากท่านแล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีก เพราะถือว่าท่านได้นำคำสอนหรือแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่มนุษยชาติแล้ว
ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะปรากฎชื่ออยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานหรือไม่ก็ตามไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะเป็นชนชาติใดอยู่ที่ไหนพูดภาษาอะไรก็ตามมุสลิมต้องให้เกียรติยกย่องบรรดาศาสดาเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกันหมด
ศาสดามุฮัมมัด เป็นศาสดาสุดท้ายของโลกที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาก่อน ๆ ที่เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักอัลลอฮ์ และดำเนินชีวิตตามคำสอนของอัลลอฮ์ ศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวว่าหลังจากท่านแล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีก เพราะถือว่าท่านได้นำคำสอนหรือแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่มนุษยชาติแล้ว
รายนามนบีและเราะซูลที่กล่าวถึงในอัลกุรอาน 25
ท่าน
الأنبیاء
والرسل
في
القرآن The Prophets and The Meassengers in Quran.
|
||||||
ชื่อภาษาไทย
ท่านมีตำแหน่ง “นบี” |
ชื่อภาษาอาหรับ
عَرَبِيَ اِسْمَ |
อายุขัย
Age عَاشَةِ ... ปี |
เราะซูลในประชาชาติ
Folk Apostle قوم الرسول |
ชื่อคัมภีร์
Book كتاب |
ชื่อใน
ไบเบิ้ล/Bible |
|
|
آدم
|
1000
|
Adam
|
|||
|
إدريس
|
83
|
Enoch
|
|||
|
نوح
|
950
|
Noah
|
|||
|
هود
|
150
|
Heber
|
|||
|
صالح
|
58
|
Shelah
|
|||
6.
อิบรอฮีม
|
إبراهيم
|
175
|
Abraham
|
|||
|
لوط
|
175
|
Lot
|
|||
|
إسماعيل
|
143
|
Ishmael
|
|||
|
إسحاق
|
180
|
Isaac
|
|||
|
يعقوب
|
147
|
Jacob
|
|||
|
يوسف
|
110
|
Joseph
|
|||
|
شعيب
|
--
|
Jethroa
|
|||
|
موسى
|
120
|
ยิว
|
เตาร็อต
|
Moses
|
|
|
هارون
|
122
|
Aaron
|
|||
|
داود
|
70
|
ยิว
|
ซะบูร
|
David
|
|
|
سليمان
|
53
|
Solomon
|
|||
|
أيوب
|
92
|
Job
|
|||
|
إلياس
|
--
|
Elijah
|
|||
|
ذو
الكفل
|
75
|
Ezekiel
|
|||
|
اليسع
|
--
|
Elisha
|
|||
|
يونس
|
--
|
Jonah
|
|||
|
زكريا
|
120
|
Zechariah
|
|||
|
يحيى
|
30
|
John the Baptist
|
|||
|
عيسى
|
33
|
ยิว
|
อินญิล
|
Jesus
|
|
|
محمد
|
63
|
อิสลาม
|
อัลกุรอาน
|
The Last Prophet.
|
|
5. ศรัทธาในวันสุดท้าย
الإيمان باليوم
القيامة Faith in the Day of Judgment, Doomsday และการเกิดใหม่ในวันปรโลก
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันชำระบัญชี (เยามิล หิสาบ) يوم الحساب , วันแห่งศาสนา (เยามิด ดีน)
يوم الدين , วันสิ้นโลก (เยามิล อาคิเราะห์) يوم الآخرة , เยามิล วากิอะห์ يوم الواقعة อิสลามถือว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่งซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือน ๆ กับวัตถุหรือสิ่งอื่น ๆ แน่นอนโลกของเราต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อโลกแตกสลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับสิ้นนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไปเกิดใหม่อีกครั้งแต่จะไปเกิดสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้ การเกิดใหม่อีกครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์หรือนรกไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีการกลับชาติมาเกิด ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องการเกิดใหม่แล้วสังคมของเราก็จะสับสนปั่นป่วนวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้ดังเช่น พวกอรับในยุคญาฮีลียะฮ جَاهِلِيَةُ Ignorance (ยุคแห่งความโง่เขลา งมงาย) ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วก็ตายไปคือ ตายไปแล้วดับสูญเหมือนดังเหล่าสรรพสัตว์อื่น ๆ ความดี ความชั่ว ที่เขาได้กระทำมานั้นไม่มีการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่ไปในทางชั่วช้าทุกรูปแบบจนสร้างความเสียหายปั่นป่วนให้แก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันชำระบัญชี (เยามิล หิสาบ) يوم الحساب , วันแห่งศาสนา (เยามิด ดีน)
يوم الدين , วันสิ้นโลก (เยามิล อาคิเราะห์) يوم الآخرة , เยามิล วากิอะห์ يوم الواقعة อิสลามถือว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่งซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือน ๆ กับวัตถุหรือสิ่งอื่น ๆ แน่นอนโลกของเราต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อโลกแตกสลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับสิ้นนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไปเกิดใหม่อีกครั้งแต่จะไปเกิดสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้ การเกิดใหม่อีกครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์หรือนรกไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีการกลับชาติมาเกิด ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องการเกิดใหม่แล้วสังคมของเราก็จะสับสนปั่นป่วนวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้ดังเช่น พวกอรับในยุคญาฮีลียะฮ جَاهِلِيَةُ Ignorance (ยุคแห่งความโง่เขลา งมงาย) ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วก็ตายไปคือ ตายไปแล้วดับสูญเหมือนดังเหล่าสรรพสัตว์อื่น ๆ ความดี ความชั่ว ที่เขาได้กระทำมานั้นไม่มีการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่ไปในทางชั่วช้าทุกรูปแบบจนสร้างความเสียหายปั่นป่วนให้แก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง
6. ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวะ الإيمان القضاء والقدر بالله Faith
in fate and destiny from Allah.ของอัลลอฮฺ คือต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ล้วนเกิดขึ้นมาและดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้นเช่น
ไฟมีคุณสมบัติร้อน น้ำไหลลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แพะ แกะ วัว ควาย
สุนัขออกลูกเป็นตัว นก เป็ด ไก่ออกลูกเป็นไข่ ต้นมะม่วงต้องออกลูกเป็นมะม่วง ต้นกล้วยจะออกลูกเป็นแอปเปิ้ลไม่ได้ทุก
ๆ
ชีวิตต้องตายนี่คือกฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮ์หมายความว่ากฎธรรมชาติทั้งหลายนั้นอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสร้างและควบคุมมันส่วนการกำหนดสภาวะในหลักจริยธรรมความดี-
ความชั่วนั้นพระองค์จะเป็นผู้บอกเราเองว่าอะไรคือความดีและอะไรคือความชั่ว แต่สิ่งที่ใช้วัดความดีความชั่วนั้นในอิสลามถือว่ามันไม่ได้มาจากมติบุคคลหรือมติของมหาชน
มิได้อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีหรือความนิยมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องกำหนดเพราะถ้ามนุษย์เป็นผู้กำหนดความดีความชั่วแล้วมาตรฐานความดีของมนุษย์ก็จะแตกต่างกัน
การที่มนุษย์ได้กระทำความดีความชั่วนั้นอัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของเขาไว้ล่วงหน้ามาก่อนเลยสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกระทำหรือการตัดสินใจของมนุษย์เองเพราะอัลลอฮ์ได้ให้ความคิดอิสระเสรีแก่เขาในการที่เขาจะเลือกทางเดินของเขาเองดังนั้นเหตุการณ์ต่าง
ๆที่สับสนวุ่นวายอยู่ในบ้านเมืองหรือสังคมนั้นมันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้นมิใช่เกิดขึ้นจากการกำหนดหรือการลิขิตของอัลลอฮ์ความจน
ความรวย ความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ยาก
ความขมขื่นที่เกิดแก่มนุษย์นั้นก็เนื่องมาจากผู้ปกครองขาดความรับผิดชอบนั่นเอง การที่อัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ขีดชะตากรรมของผู้ใดล่วงหน้ามานั้นก็เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้มีความรับผิดชอบในการงานของตนเองที่ได้กระทำไว้
จบบทหลักการอิหม่าน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก