ฮัจญีอักบัร ปี1435HE-2014AD-2557BE
بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ
------------------------------------------
|
|
กะอะบะห์ ถ่ายเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 57 บนวงแหวน |
มัสยิด นะบะวีย์ เมื่อ 29 ต.ค. 57 |
อุมเราะห์และ
ฮัจญ์
( عمرة
و حج )
อุมเราะห์และ ฮัจญ์ ของฮัจญีอิสมาอีลกับ
ฮัจญะห์ คอดิเยาะห์ (นายอานนท์ และนางสุนีย์ เพ็ญพันธ์) จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับ
มาเล่าสู่กันฟังและเพิ่มเนื้อหาวิชาการบ้างเล็กน้อย เพราะมีเพื่อนๆ ฮัจญะห์คอดิเยาะห์และเพื่อนๆ
ลูกจะได้รับรู้และเข้าใจศาสนาอิสลามได้บ้าง และจะได้เพิ่มพูนความรู้ขึ้นไปอีก
และอาจจะช่วยเตือนความจำผู้ที่หลงลืมบางอย่างไป ทุกตัวอักษรมีความหมายและมีค่าสำหรับผู้อ่าน
|
|
การไปประกอบพิธีอุมเราะห์และ
ฮัจญ์
ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิ อาราเบีย
และไปเยี่ยมเยือนนครมะดินะห์หลังจาดเสร็จพิธีฮัจญ์แล้ว ระหว่างวันที่ 23 กันยายน
2557 – 31 ตุลาคม 2557 (28 ซุลกอดะห์ 1435 – 7 มุฮัรรอม 1436 เป็นปี ฮัจญะอักบัรเพราะวัน
วุกุฟตรงกับวันศุกร์)
มีความตั้งใจไว้ว่าจะไปทำฮัจญ์กับ
คอดิเยาะห์ ยื่นสมัครความประสงค์จะไปประกอบพิธีอุมเราะห์และ ฮัจญ์ปี 2555
หลังเดือนเราะมะดอน (ประมาณเดือนตุลาคม2555) พอมาถึงเดือนซุลกออ์ดะห์ปี 2556
ไม่ได้ไป เพราะมีปัญหาเรื่องวิซ่าไม่ออกให้ ก็รอเรื่อยๆ มาจนถึงเราะมะดอนปี 2557
แล้วก็ยังไม่ได้ข่าวอะไร จนมาถึงต้นๆ เดือนซุลกออ์ดะห์ 2557 มีข่าวจากมาลี (ภรรยาอาจารย์ชาฟิอี
นภากร) แจ้งมาทางฟารีดา (หลาน) ว่า จะได้บินวันที่ 24 กันยายน 2557 แต่พอกลางๆ
เดือนได้ข่าวการเลื่อนการเดินทาง จาก 24 ก.ย. มาเป็น 23 กย 57 ก็ถือว่าโชคดีที่ อัลลอฮฺให้โอกาสได้ไปทำฮัจญ์ปีฮัจญะอักบัรในปี
1435 (2557) มารู้ว่าเป็นปีฮัจญะอักบัรก็อาจารย์แจ้งให้รับทราบกัน
วันที่ 22 กันยายน
2557
ค่ำ ๆ ปุ๋งมาเยี่ยมและใส่ซองมา 300.- มาริยะให้วันบิน 1000.- มาลี สันประเสริฐ
1000.- น้องๆสุรัดดา คนละ500.- สองคน วี (หลาน) เอาขนมมาฝาก * ความจริงท่านนบี
![]()
اعوذ باللَّه من الشيطان الرجيم อะอูซู
บิลลาฮิ มินัชไชตอนิรเราะญีม
แปลว่า ฉันขอความคุ้มครองจาก อัลลอฮฺให้พ้นจากไชตอนที่ถูกสาปแช่ง แล้วอ่าน ซูเราะห์อัลอิคลาส และ ซูเราะห์อัลฟะลัก และซูเราะห์อัลนาส อ่านจบก็เป่าลงบนฝ่ามือทั้งสองที่หงายขึ้นมา แล้วนำมือมาลูบหน้าลูบหัวลูบตัว แล้วขอดุอาอ์จาก อัลลอฮฺว่า ขอให้เรานั้นห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ขอให้เราหลับไปด้วยความ อิหม่าน และกล่าวชะหะดะตัยน์ อัชฮะดุ อั้น ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮุ วะ อัชฮะดุ อั้นนะ มุฮัมมัดดัร เราะซูลุลลอฮ์ اَشْهَدُ اَنْ لاَ اِلَهَ اِلاَّ اللهُ وَ اَشْهَدُ اَنّ مُحَمَّداَ رَّسُوْلُ الله แล้วห้ามพูดห้ามคุยอะไรอีก นอนซิเกรไปเรื่อยๆ
วันที่ 23 กันยายน 2557 เช้ามืด ตื่นมาตั้งแต่ตีสี่กว่าๆ
คอดิเยาะห์ตื่นมาก่อน บอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับเลย แค่เคลิ้มๆไป ก็ชวนกันกินกาแฟ
กินข้าวนิดหน่อย พอตีห้าก็ละหมาดซุนนะต์ก่อนซุบฮิ 2 เราะกะอัต แล้วละหมาดซุุบฮิ
2 เราะกะอัต เสร็จแล้วอ่านอิสติฆฟาร (استغفار)
คำอ่าน อัลลอฮฺมมะอันตัสสลาม
วะมิงกัสสลาม ตะบาร็อกตะ ยาซัล ญะลาลิ วัลอิกรอม
ความหมาย “โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ พระองค์คือ อัส-สลาม (ผู้เปี่ยมด้วยสันติ) จากพระองค์นั้นคือที่มาของสันติ ประเสริฐยิ่งเถิด โอ้ผู้เปี่ยมด้วยความยิ่งใหญ่และบุญคุณอันล้นเหลือ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 592)
·
อ่านตัสบี้หะ تسبيح
(ซุบฮานัลลอฮิ)
33 ครั้ง,
·
อ่านตะห์มีด
تحميد (อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ) 33
ครั้ง,
·
อ่านตักบีร تكبير (อัลลอฮฺ อักบัร) 33 ครั้ง และตามด้วย
لا اله الا الله وحده لا شريكله له ملك و له الحمد و هو على كل شيء قدير
คำอ่าน ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮุ วะห์ดะฮุ ลา ชะรีกกะละฮุ ละฮุลมุลกุ วะ ละฮุลฮัมดุ
วะ ฮุวะ อาล้า กุลลี่ ชัยอิน กอดีร
แปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ ไม่มีภาคีใดๆต่อพระองค์ พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้า พระองค์เป็นผู้ได้รับการสรรเสริญ และพระองค์คือผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือสิ่งใด (อ่านทุกวักตู وَقْتُ) แล้วขอดุอาอ์ ربنا اتنا في الدنيا حسنة وفي الاخرة حسنة و قينا عذاب النار
คำอ่าน “ร็อบบะนา อะตีนา ฟิตดุนยา หะซะนะห์ วะ ฟิลอาคิเราะติ หะซะนะห์ วะ กีนา
อาซาบัลนาริ”
แปลว่า พระเจ้าของเราให้เราได้รับในสิ่งที่ดีในทั้งในโลกนี้และได้รับในสิ่งที่ดีในปรโลก และขอให้เราได้พ้นจากความทุกข์ทรมานอย่างมากของไฟนรก และอ่าน اللهم اغفر لنا وارحمنا وعافنا واهدنا وارزقنا
คำอ่าน อัลลอฮุมมัคฟิรละนา วัรฮัมนา วะ อาฟินา วะห์ดินา วัรซุกนา
แปลว่า โอ้พระเจ้าของพวกเราโปรดยกโทษให้เราและมีความเมตตากับเราและอย่าชิงชังเราและชี้นำเราและให้เราซึ่งปัจจัยยังชีพ
และขอดุอาอ์อภัยโทษแก่ตนเองและครอบครัวและพ่อ
แม่ และพ่อตาแม่ยาย และเหล่ามุสลิมีน มุสลิมาต มุอ์มินีน มุอ์มินาต ให้พ้นจากบาปเล็ก
บาปใหญ่ บาปใหม่ บาปเก่า บาปที่จะเกิดในวันข้างหน้า บาปที่เปิดเผย
บาปที่ซ่อนเร้น
ขอความสันติสุขให้แก่ตนเอง ครอบครัว พี่น้องปาเลสไตน์ ซีเรีย อิรัก และเหล่ามุสลิมีนและมุสลิมาต มุอ์มินีน มุอ์มินาต ขอให้ อัลลอฮฺนำทางฉันและครอบครัว และเหล่ามุสลิมีน มุสลิมาต มุอ์มินีน มุอ์มินาต ให้พ้นจากทางของไชตอน ไปสู่ทางที่เที่ยงตรงซึ่งเป็นทางที่เป็นอิสลามที่แท้จริงของพระองค์ ขอให้ฉันและครอบครัวมีอิหม่าน เซาะบัร ตักวา มากๆ และขอให้ อัลลอฮฺหาคู่ครองให้แก่ลูกทั้งสองคนเพื่อพวกเขาจะได้มีลูกมีหลานสืบสกุลต่อไปตามหนทางของพระองค์ที่ให้มนุษย์ได้แต่งงานกันขยายวงศ์ตระกูลต่อไปเพื่อได้ทำอิบาดะห์ต่อพระองค์ต่อไป อามีน (ขอดุอาอ์ทุกวัน ซุบฮิกับมักริบ) เวลาเดินทางละหมาดฟัรฎูที่เป็น 4 ย่อเหลือ 2, ที่เป็น 2 หรือ 3 ไม่ย่อ ละหมาดสุนัตเราะวาติบเวลาเดินทางยกเว้นไม่ต้องทำ
แล้วก็เตรียมตัวเดินทาง
ตีห้าครึ่งนินะห์ (เขียว) มารับไปสนามบินสุวรรณภูมิ พบเจอบังฮะกีมและครอบครัว
สุลัดดา มาริยะห์ ฮาวอ (อิหม่ามมาน) มาส่งสนามบิน
ทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้หน้าเค้าเตอร์เช็คอินให้แซะห์ จัดการชั่งกระเป๋า
ยืนคุยกันกับคนที่มาส่งอยู่นานพอควร
|
|
เกือบเก้าโมงเริ่มเข้าไปตรวจคนเข้าเมืองขาออกโดยสมัยนี้หน่วยงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองใช้สติกเกอร์ติดบาร์โค๊ด
เจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องอ่านบาร์โค๊ด แล้วส่องกล้อง CTTV ดูหน้าตา แล้วแสกนลายนิ้วมือนิ้วชี้มือขวา
(เราถูกแสกนนิ้วชี้และนิ้วโป้งเก็บไว้ในฐานข้อมูลทะเบียนราษฏร์ตอนไปทำบัตรประชาชน)
หลังจากแสกนพาสท์ปอร์ตขาออกแล้ว ก็เดินผ่านด่านตรวจอาวุธ สิ่งของเครื่องใช้
กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ พาสท์ปอร์ตโทรศัพท์ กล้อง สายบัตรคล้องคอที่มีส่วนของโลหะ
เข็มขัด ต้องถอดใส่ตะกร้าส่งผ่านเครื่อง X-Ray หมด
มีเหตุการณ์คนลืมเก็บสิ่งของ พาสท์ปอร์ตหลังผ่านการตรวจ มารู้จักทีหลังคือ บุชรอ
ขึ้นเครื่อง กัล์ฟแอร์ของราชอาณาจักรบะห์เรน เที่ยวบินที่ GF 151
เลขที่นั่ง 27D คอดิเยาะห์ได้ที่นั่งติดกับเรา เครื่องเทคออฟ
ประมาณสิบเอ็ดโมง ใช้เวลาบินประมาณหกชั่วโมง ถึงสนามบิน บะห์เรน 17.00 น.
ลบเวลาออก 4 ชั่วโมง คือเวลา 1300 น. (เวลาท้องถิ่น บะห์เรน بَـــحْـــرَบะหัรแปลว่าทะเล
بَـــحْـــرَيـــــْنَ บะห์รัยนะแปลว่าทะเล2ด้าน
หมายถึงเกาะนั่นเอง)
|
|
Gulf Air สุวรรณภูมิ-อัลมานามา(บะห์เรน)เที่ยวบินที่ GF
151 เลขที่นั่ง 27D
|
คอดิเยาะห์ได้ที่นั่งติดกับเรา
|
จอเครื่องเล่นดูหนังฟังเพลง อัลกุรอาน ดุอาอ์ |
และมีโหมดบอกเส้นทางการบินด้วย |
!!!ตอนเข้าห้องน้ำบนเครื่องบินเสร็จแล้ว
ออกมานั่งคิดสงสัยว่า เมื่อเรากด ฟลัชน้ำโถส้วมแล้ว ทั้งอุจจาระและปัสสาวะ
และน้ำที่ชำระโถส้วมมันไปที่ไหน มีที่เก็บหรือปล่อยพ่นทิ้งไปในอากาศ
(เพราะเท่าที่จำได้เมื่อก่อนเคยนั่งเครื่องบินไปทำงานซาอุดิอาราเบียเข้าไปใช้แล้ว
มีคำเตือนว่า ห้ามทิ้งกระดาษชำระหรือวัสดุอื่นๆ ลงในโถส้วม ให้ทิ้งลงถังขยะ)
กลับมาเมืองไทยแล้วถามเพื่อนลูกชายที่ทำงานซ่อมบำรุงเครื่องบิน ได้คำตอบว่า
น้ำที่ใช้ในอ่างล้างมือ ปล่อยทิ้งไปในอากาศ แต่ น้ำและสิ่งปฏิกูลในโถส้วมจะถูกเก็บไว้ในถังรองรับ
เมื่อเครื่องบินลงจอดจะมีแผนกกำจัด ปฏิกูลมาดูดออกไปทิ้งลงบ่อบำบัด
|
|
เมื่อถึงสนามบิน อัลมานามา (บะห์เรน) แล้ว |
เปลี่ยนมาครองอี้หะรอมแล้ว |
ทรานสิท Transit
คือรอเปลี่ยนเครื่องบินลำใหม่, ถ้า Transfer คือการโอนไปสายการบินอื่น ขณะทรานสิทอยู่ที่สนามบิน อัลมานามา (اَلْمَنَامَى) อยู่ 4 ชั่วโมง ก็อาบน้ำละหมาด (อาบน้ำญะนาบะห์เพื่อครองอี้หะรอมตั้งแต่ที่บ้านแล้ว)
อาบน้ำละหมาดเสร็จ (เหนียตครองอี้หะรอมตอนจะอาบน้ำละหมาดนั่นแหละ) เพราะขณะที่จะครองอี้หะรอม
เรารู้สึกตัวอยู่แล้วว่า เราจะครองอี้หะรอมอุมเราะห์และ ฮัจญ์แบบตะมัตตุอะ
حج التمتع Tamattu' , ฮัจญ์แบบกิรอน حج القران Qiran, ฮัจญ์แบบ อิฟร็อด حج الإفراد Ifraad
การครองผ้าอีห์รอมชาย
การ อิฎฏิบาอฺ (สไบเฉียง) ก่อนทำการ ฏอวาฟ طوافนั่นคือให้ส่วนกลางของผ้าอยู่ใต้รักแร้ไหล่ขวา
และให้ชายผ้าทั้งสองข้างอยู่บนไหล่ซ้ายตลอดการ ฏอวาฟ พอเสร็จจากการ ฏอวาฟ บัยตุลลอฮ์
7 รอบแล้ว ให้แวะดื่มน้ำซัมซัมก่อน แล้วมาละหมาดสุนัตหลัง ฏอวาฟ2
เราะกะอัตหลังมะก่อม อิบรอฮีม โดยเปลี่ยนการห่มอี้หะรอมแบบ อิฎฏิบาอฺ
มาปิดไหล่ขวาด้วย (ห่มคลุมหมดสองไหล่)
หลังจากครองอี้หะรอมแล้วนั้น ให้หันหน้าสู่ทิศกิบลัตพร้อมกล่าวว่า
عمرة لبيك คำอ่าน ลับบัยกะ อุมเราะตัน แปลว่า ข้าพระองค์ได้ตอบสนองพระองค์ด้วยการทำอุมเราะฮ์ แล้ว (ขณะนั้นไม่รู้หรอกว่ากิบลัตอยู่ทางไหน จนได้เข้าไปในมุศ็อลลาฮิ (ที่ละหมาดชั่วคราว) ที่สนามบินมะนามาแล้ว และให้กล่าวประโยค ตัลบียะฮฺมากๆ
لَبَّيْكَ
اللَّهُمَّ لَبَّيْكَ لَبَّيْكَ لَا شَرِيْكَ لَكَ
لَبَّيْكَ إِنَّ الْحَمْدَ وَالنَّعْمَةَ لَكَ وَالمُلْكَ لاَ شَرِيْكَ
لَكَ
คำอ่าน
ลับบัยกัลลอฮุมมะลับบัยกะ ลับบัยกะลา ชะรีกะละลับบัยกะ อินนัล ฮัมดะ วัลนีอะมะตะ
ละกะ วัลมุลกะ ลา ชะรีกะ ละกะ แปลว่า โอ้ อัลลอฮฺ
ข้าพระองค์ได้ตอบสนองคำเรียกร้องของพระองค์
ข้าพระองค์ตอบสนองคำเรียกร้องของพระองค์ ด้วยการไม่ตั้งสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์
แท้จริงการสรรเสริญ
ความโปรดปรานและอำนาจเป็นของพระองค์
ไม่มีการตั้งสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์
เหตุที่ครองอี้หะรอมตั้งแต่ที่สนามบิน
อัลมานามา
บะห์เรน หรือฮุจญาจ อื่นที่มาสายการบินอื่น รอบๆ ประเทศซาอุดิ อาราเบีย เช่นสายอียิปต์แอร์
จะแวะพัก ทรานสิท ที่ไคโร, สายจอร์แดนเนี่ยนแอร์ไลน์ แวะ ทรานสิทที่อัมมาน,
สายอามิเรตแอร์ไลน์ แวะ ทรานสิทที่ อบูดาบี
ล้วนแต่ต้องครองอี้หะรอมจากสนามบินต่างๆ ก่อนขึ้นเครื่องเข้าสนามบิน ญิดดะห์
ส่วนเรื่องเหนียต บ้างก็เหนียตที่สนามบินเลย บ้างก็เหนียตบนเครื่องบินใกล้เขตฮะรอมแล้วนักบินจะประกาศให้ทราบ
แต่ทางที่ดีคือเหนียตตั้งแต่สนามบินเลยจะปลอดภัยกว่า
เผื่อว่าเราไม่ถนัดในภาษาอังกฤษหรืออาหรับที่นักบินประกาศ เพราะใช้เวลาบินอีกแค่
สองชั่วโมงก็ถึงญิดดะห์แล้ว เข้าเขตฮะรอมแล้ว (จะเหนียตตั้งแต่สนามบินเลยก็ดีกว่ากันพลาด)
เราเหล่าฮุจญาจ اَلْحُجَّاجَต้องนั่งเครื่องบินไปลงสนามบิน ญิดดะห์ ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นกับการปกครองของมณฑลมักกะห์ เราต้องครองอี้หะรอมในที่ที่เรียกว่า “มีก็อต ميقات” ทางอากาศไม่มี “มีก็อต” จึงคำนวณเอาจากมีก็อตทางบก คือเมือง “ฏออิฟ الطائف”
ครองอี้หะรอมเสร็จก็หาที่ละหมาด
พอดีสนามบินสร้างไว้ใกล้ๆ ห้องน้ำพอดี ที่สำหรับละหมาดชั่วคราวเรียกว่า
“มุศ็อลลาฮิ مُصَلاَّةَ” การที่เราไม่ทราบแน่ชัดว่าช่วง อัสรีจะมีเวลาและสถานที่ให้ละหมาดหรือไม่
เมื่อพบที่ที่ละหมาดได้ก็ละหมาดย่อ รวมเอามาต้นเวลาดุห์รี่เลย เผื่ออัสรี่ไม่มีสถานที่ มาละหมาดดุฮริกับ อัศริย่อ กอศิเราะตุสซอลาห์ القصيرة الصلاة คือการย่อจาก 4
เราะกะอัต ลงมาเหลือ 2 เราะกะอัต ฟัรฎูที่เป็น 3 หรือ 2 เราะกะอัตย่อไม่ได้ รวมต้น
(รวมในเวลาต้น เรียกว่า ญะมะอ์ ตักดีม جمع التقديم รวมในเวลาหลัง เรียกว่า ญะมะอ์ ตะอ์คีร جَمُعَ التَأخِّرُ) และละหมาดสุนัตครองอี๊หะรอมสองเราะกะอัต การครองอี๊หะรอมสำหรับชายคือ
การครองผ้าขาวสองผืน นุ่งหนึ่งผืน ห่มหนึ่งผืน การห่มต้องห่มปิดไหล่ซ้าย เปิดไหล่ขวา
เวลาจะละหมาดก็ห่มปิดคลุมทั้งสองไหล่ สำหรับหญิงควรนุ่งห่มด้วยชุดขาว
แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เวลาเดินทางนั้นท่านนบีฯไม่ได้ละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บ
แต่จะละหมาดวิตีร
ทรานสิทอยู่ในสนามบิน
อัลมานามา บะห์เรน 4 ชั่วโมง ต่อเครื่องบินจาก บะห์เรนไปสนามบิน ญิดดะห์ เครื่องออกจาก บะห์เรนประมาณหกโมงเย็นที่
บะห์เรน ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง ถึงสนามบิน ญิดดะห์ ประมาณสองทุ่มกว่า
เข้าห้องโถงพักรอการตรวจคนเข้าเมือง ด้วยการแปะติดสติกเกอร์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่มาเดินบริการถึงที่
แล้วก็ได้ละหมาดมักริบ 3 เราะกะอัต ย่อละหมาดอิชาอ์ 2 เราะกะอัต ในเวลาของ อิชาอ์อ์
(ละหมาดรวมหลัง ญะมะอ์ ตะอ์คีร) ละหมาดเสร็จก็นั่งสังเกต ดูพวกอาหรับชีอะต์บะห์เรนที่ขึ้นเครื่องมาพร้อมกัน
แล้วมาละหมาดมักริบที่สนามบินเหมือนกับเรา มันละหมาด 3
เราะกะอัตรวดนั่งตะชะฮุดครั้งเดียว
การละหมาดย่อถือว่าเป็นรางวัล
ที่ อัลลอฮฺ มอบให้แก่ผู้เดินทาง การเดินทางไม่ต้องคำนึงถึงระยะทางมากนัก
เพราะผู้ที่ไปทำฮัจญ์ทั้งจากต่างประเทศและคนในมักกะห์เองนั้นเดินทางออกจากมักกะห์ไปทุ่งมีนาระยะทางไม่กี่กิโลเมตร
(ประมาณ 8 ก.ม.) ก็ย่อละหมาดได้แล้ว
หะดีษบุคอรีเล่าว่า “และปรากฏว่า อิบนุ อุมัร และ อิบนิอับบาส (ร.ด.) ได้ย่อละหมาด และ ละการถือศีลอดในระยะทาง 4 บะรีด (ประมาณ 12 ไมล์ ”19 ก.ม.”) ผู้คนที่จะไปทำฮัจญ์ในสนามบิน ญิดดะห์ ( جِدَّةَแปลว่าย่าหรือยาย ) เยอะมาก รอคิวการตรวจพาสปอร์ตยิงบาร์โค๊ดขาเข้าเมืองนานมาก ขนาดว่าเห็นช่องทำการมีมากหลายสิบช่องก็ยังใช้เวลาเป็นชั่วโมง เสร็จแล้วไปรอรับกระเป๋าเดินทาง (ไม่ต้องผ่านการเปิดกระเป๋าตรวจจากเจ้าหน้าที่) รับการตรวจครั้งสุดท้ายเสร็จก็ออกจากสนามบิน ออกมาจากตัวสนามบิน ก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขนส่งมวลชน มารอเรียกเก็บพาสท์ปอร์ตกับกระเป๋าเดินทางไป ต้องเอาไปคัดเลือกกระเป๋าเดินทาง มารอขึ้นรถบัส มารอ รถบัสที่จะมารับไปมักกะห์ตั้งแต่ 4 ทุ่มกว่าจนถึงตี 4 กว่าๆ ทุกข์ทรมานมากกับการนั่งรอ รอ แล้วก็รอ ไม่มีใครแจ้งว่ารออะไร ได้แต่นั่งรอ ง่วงก็ง่วง เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว แต่ทุกคนก็ได้แต่รอไม่ได้พูด บ่นอะไร ได้ขึ้นรถบัสมีแอร์พร้อมกระเป๋าสัมภาระขึ้นหลังคารถบัส ก็ออกจากสนามบิน ญิดดะห์มุ่งหน้าสู่นครมักกะห์ ก่อนเข้าเมืองมักกะห์มีด่านตรวจการยืนยันว่าบริษัทที่เรามานั้นสังกัดอยู่ในมักตั๊บ (مكتب สำนักงาน) ที่เท่าไร ชื่อบริษัท จำนวนฮุจญาจ ขณะรอตรวจก็ได้รับอาหารว่างและน้ำซัมซัมแจก เดินทางต่อถึงนครมักกะห์เช้ามืดฟ้าแจ้งแล้วของ |
|
อาหารว่างได้รับแจกกลางทาง |
|
วันที่ 24 กย 2557 อาจารย์ชาฟิอีไม่รู้จักทางที่จะไป
โรงแรมที่จะเข้าพัก โทรศัพท์ติดต่อกับคนพื้นที่ที่ทำการติดต่อโรงแรมไว้
รออยู่พักใหญ่คนนำทางจึงมาหาที่รถ นำรถไปโรงแรมที่พัก
ถึงโรงแรมแล้วก็ได้รับการจัดการแบ่งคนเข้าห้องพัก ห้องละสาม สี่ ห้า
คนแล้วแต่ขนาดห้อง โรงแรมชื่อ ซะฮ์เราะตุลกามาล มี 6 ชั้น ฮุุจญาจ อาจารย์ชาฟิอีและแซะห์ อุ๊ได้อยู่ชั้น
ล็อบบี้ 2 ห้อง และชั้นหนึ่งถึงชั้นสี่ เราได้อยู่ชั้น3 ห้อง 307
โรงแรมอยู่ในซอย แยกจากถนนใหญ่ที่ชื่อถนน อิจญาด (หัวถนนมุ่งหน้าสู่ประตู 1
ของมัสยิดหะรอม)
|
|
ชื่อโรงแรมซะห์เราะตุลกามาล |
สะพานลอยและอุโมงค์หน้าโรงแรม |
เมื่อเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้วก็อาบน้ำละหมาด
ละหมาดใช้ซุบฮิ ต่างคนต่างละหมาด แล้วนอนพักผ่อนตามอัธยาศัย
เหนื่อยก็เหนื่อยเพราะเดินทางมาตั้งแต่เช้าวันที่ 23 กย 2557 เกิน 24
ชั่วโมงแล้ว ถึงเวลาละหมาดดุฮริ ก็ได้ละหมาดร่วมกันกับคนในห้อง ซึ่งมีกัน 4
คนคือ บังสถิตหนองจอก (มากับภรรยา คือครูตู้), อาลีลำสาลี (มากับภรรยา เห็นเรียกว่าจูแต่ไม่ได้ถามชื่อมารู้ทีหลังว่าชื่อพาวิณี),
เฮม (หลานคอดิเยาะห์) เสร็จแล้วอาหารเที่ยงก็เสร็จ อาหารที่เรากินทำครัวโดยมาลี(ภรรยาอาจารย์ชาฟิอี)
และ เอ๋ (ภรรยาแซะห์อุ๊) ทำครัวอยู่หน้าห้องเรา 307 กับห้อง 306 (ซึ่งมี 5 คนคือ
ลาลาสมาน ยาซีนแม่สอด อาโกจากพระประแดง โป้ง แชการีมสมอเซ เปร็ง ส่วนคอดิเยาะห์ก็อยู่ชั้นเดียวกับเรา
อยู่ห้อง 302 มี 4 คน คือเป้าภรรยาแดง นิฟะห์ อ่อนนุช โต๊ะ ก๊ะจากภูเก็ต
|
|
อาหารเที่ยงกินหลังละหมาดดุฮรี
กินกันเสร็จก็นอนต่ออีกเพราะเหนื่อยเมื่อยล้ากับเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน ถึงเวลา
อัศริ มักริบ อิชาอ์ ก็ได้ละหมาดร่วมกันกับคนในห้อง
เวลาอาหารค่ำ
หลังละหมาดอิชาอ์ได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินแล้วก็เดินไปหาคอดิเยาะห์ที่ห้อง
302 คุยกันสักพักก็กลับห้อง มานอน
อาหารมื้อเช้าของแซะห์เราจะเป็นข้าวต้ม
ในทุกวันที่กินข้าวต้ม เป็นข้าวต้มเครื่องบ้างข้าวต้มกุ้ยบ้าง
รสชาติออกจะจืดเค็ม แต่มีน้ำส้มสายชูให้ ไม่มีพริกป่น ไม่มีน้ำปลาให้
อยากกินต้องเอาไปเอง แซะห์บางที่เขาจัดอาหารให้กินดีมาก ไม่ซ้ำซากอยู่แต่กับไก่
มีเนื้อ มีปลาให้กินสลับบ้าง บางทีมีก๋วยเตี๋ยว สำหรับคนที่กินอาหารยาก
ไม่คุ้นกับมือคนอื่นทำ ก็ควรสืบเสาะก่อนว่าแซะห์ที่เราจะไปด้วยนั้น
มีปัญหาเรื่องอาหารการกินไหม ถ้าถามตัวแซะห์เขาก็ต้องตอบว่าเขามีให้กินครบทุกมื้อ
มีทำอาหารหลายอย่าง ทางที่ดีก็ควรนำอาหารเสริมของเราไปด้วยบ้าง เช่น
น้ำพริกต่างๆ พริกป่น น้ำปลา เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่แน่ๆ
เวลาที่ต้องไปพักที่ทุ่งมีนา ทุ่งอารอฟาตนั้น มีปัญหาเรื่องอาหารแน่เพราะ
ซ้ำซากกับไก่และหน่อไม้ (สำหรับเฉพาะปีนี้นะ ตามข่าวกรอง) เป็นวัตถุดิบที่เขาหาได้มาแค่นั้น
ที่โรงแรมในมักกะห์มะดินะห์หรือทุ่งมีนาจะมีน้ำร้อนและมีชากาแฟบริการไว้บริการฮุจญาจ
(حجاج) ในแซะห์ของตน ในมักกะห์ มะดินะห์ ทุ่งมีนาใช้ไฟฟ้า 220 โวล์ท ชนิดสองรูเสียบ
ให้เตรียมสายต่อพวงไปกันใช้ชาร์ตแบ็ตฯ มือถือหรือกล้องถ่ายรูป
ทำอุมเราะห์ عمرةUmrah
วันที่
25 กย 2557 (ตรงกับวันที่ 1 ซุลฮิจญะห์ 1435) ไปละหมาดใน มัสยิดิลฮะรอม
แต่ตอนเวลาดุฮรี่ไปหะรอมไม่ทัน อิกอมะห์ก่อนถึงหะรอม
ยังอยู่บนถนนกลางทางจะละหมาดบนถนนก็ไม่ได้เพราะแดดร้อนมากมาก พื้นถนนก็ร้อนก็เลยต้องเดินกลับโรงแรม
มาละหมาดที่โรงแรม อัสรี่ก็ละหมาดที่โรงแรม มักริบ อิชาอ์ไปหะรอมตั้งแต่สี่โมงเย็น
มักริบประมาณ หกโมงกว่านิดๆ อิชาอ์ประมาณ เกือบๆสองทุ่ม
ประมาณ
4 ทุ่มอาจารย์ชาฟิอีและแซะห์อุ๊ มาลี เอ๋ และอาจารย์อีซา
(สมบูรณ์) พู่เอี่ยม นำคณะ ฮุจญาจไปทำอุมเราะห์ อย่าลืม
“ก่อน ฏอวาฟ ต้องห่มอี้หะรอมแบบ อิฎฏิบาอฺ (สไบเฉียง)
ฏอวาฟ( طواف) เริ่ม ฏอวาฟที่มุมที่ 1 ของกะอะบะห์ (มุมหินดำ) ยกมือขวาหรือสองก็ได้สูงขึ้นเหมือนกับว่าจะสัมผัสหินดำ เอาฝ่ามือออกไปทางหินดำ โดยกล่าว “บิสมิลลาฮิ อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร วะลิลลาฮิลฮัมด์” ฏอวาฟทั้งหมด 7 รอบ การ ฏอวาฟ ต้องเวียนซ้าย (เอาแขนซ้ายหันไปทางอาคารกะอะบะห์ขณะเดิน ฏอวาฟแบบอุตราวรรต دورة اليسار Anti Clockwise) ผ่านมุมที่ 4 (รุกนุลญะมานี หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “รุกนุลอัลอิหม่าน) ก่อนถึงหินดำให้อ่าน رَبَّنا آتِنا في الدُّنيا حَسَنَةً، وفي الآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنا عَذَابَ النّارِ ทุกๆ ครั้งที่มาถึงมุมหินดำ ยกมือขวาหรือสองก็ได้สูงขึ้นเหมือนกับว่าจะสัมผัสหินดำ เอาฝ่ามือออกไปทางหินดำ แล้วกล่าว “บิสมิลลาฮิ อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร วะลิลลาฮิลฮัมด์” สุนัตให้ทำการเราะมัล นั่นคือการเดินเร็วๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง (วิ่งเหยาะๆ) ด้วยความกระฉับกระเฉงเป็นพิเศษใน 3 รอบแรกตั้งแต่หะญัรฺอัสวัด حَجَّرَ الاَّسْوَدَจนสิ้นสุดที่เดิมส่วนอีก 4 รอบที่เหลือให้เดินตามปกติ ซึ่งการ อิฎฏิบาอฺ (สไบเฉียง) และเราะมัล (วิ่งเหยาะๆ) นั้นสุนัตให้กระทำเฉพาะบุรุษเท่านั้น และในการ ฏอวาฟกุดุมสำหรับอุมเราะเท่านั้น
หลังจาก
ฏอวาฟเสร็จแวะดื่มน้ำซัมซัม ซึ่งเป็นสุนัต ดื่มเสร็จก็ขอดุอาอ์
اللهم إني أسألك علما نافعا ورزقا واسعا وشفاء من كل داء
แล้วคลุมผ้าอี้หะรอมใหม่โดยปิดคลุมไหล่ทั้งสองข้างและ
การละหมาดในชุดอี้หะรอม ต้องเปลี่ยนจาก อิฏฏิบาอ์ มาเป็น คลุมหมดทั้งสองไหล่ ไปละหมาดสุนัต 2 เราะกะอัต หลังมะก่อม อิบรอฮีมบนลาน ฏอวาฟแต่ปัจจุบันมีฮุจญาจ มากทำการ ฏอวาฟกันเนืองแน่นบนลาน ฏอวาฟจึงไม่สามารถ ยืนละหมาดหลังมะก่อม อิบรอฮีมบนลาน ฏอวาฟได้ จึงต้องร่นขึ้นไปบนมัสยิดฮะรอม เสร็จแล้วก็ไปยังลานสะอา เริ่มเดินสะอาจากเนินเขาเศาะฟา صافى หันหน้าไปทางกิบลัตยกมือสองข้างขึ้นเหมือนตักบีร แล้วกล่าว “บิสมิลลาฮิ อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร วะลิลลาฮิลฮัมด์” เริ่มเดินไปสู่เนินเขา มัรวะห์ ระหว่างทางจะมีสัญญาณไฟเขียว ให้พวกผู้ชายวิ่งเหยาะๆ พอถึงเนินเขามัรวะห์ ยกมือสองข้างขึ้นเหมือนตักบีร ให้กล่าว “บิสมิลลาฮิ อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร อัลลอฮฺอักบัร วะลิลลาฮิลฮัมด์” แล้วเดินกลับไปที่เนิน เศาะฟา ทำซ้ำกันเจ็ดเที่ยว ครบเจ็ดเที่ยวที่เนิน มัรวะห์ แล้วทำการ ตะหัลลุล (ขริบผมอย่างน้อยสามเส้น ยังไม่โกนหัว) เป็นอันเสร็จพิธีทำอุมเราะห์ ประมาณตีสอง เดินกลับโรงแรมนอนพักผ่อน เมื่อมีการอิกอมะห์ขณะที่เขากำลัง ฏอวาฟ หรือเดินสะอา ก็ให้เข้าร่วมละหมาดพร้อม ญะมาอะห์ เมื่อละหมาดเสร็จก็ให้ทำการ ฏอวาฟหรือสะอาต่อจากจุดที่หยุดให้ครบรอบ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มรอบใหม่ |
|
วันที่ 26 กย 2557 (ตรงกับวันที่ 2 ซุลฮิจญะห์) ถึงวันที่ 1 ตค 2557 (ตรงกับวันที่ 7 ซุลฮิจญะห์) อยู่ในมักกะห์ ไปละหมาดที่มัสยิดิลฮะรอม ได้ละหมาดฟัรฎูครบทุกวักตู ได้ละหมาดตะฮียะตุลมัสยิดทุกเวลา ได้ละหมาดสุนัตครบ คือก่อนซุบฮิ 2 เราะกะอัต ก่อนดุฮรี่2 เราะกะอัตและหลัง 2 เราะกะอัต อัสรี่ไม่มีก่อนและหลัง หลังมักริบ 2 เราะกะอัต หลัง อิชาอ์ 2 เราะกะอัตเรียกว่าละหมาดสุนัตเราะวาติบ มุอักกัต (ละหมาดสุนัตเราะวาติบไม่มุอักกัต คือทำอีก 2 เราะกะอัตก่อนดุฮรี่ และทำอีก 2 เราะกะอัตหลังดุฮรี่ รวมแล้วก่อนเป็น 4 เราะกะอัต และรวมแล้วหลังเป็น 4 เราะกะอัต) ส่วนการอ่านอิสติกฟารและวิรีดและ ตัสบีหะอ่านทุกวักตูหลังละหมาด ระหว่างที่ยังอยู่ในมักกะห์ ให้หาซื้อเสื่อเตรียมไว้ไปใช้ปูนอนที่มีนา – อารอฟาต – ปูละหมาดและนอนพักที่มุซดาลิฟะห์ ราคาผืนละประมาณ 10 ริยาล หรือใครจะเอาเสื่อดีดีไปจากบ้านก็เอาไป และหาซื้อมีดโกน ยิลเลตต์แบบโบราณที่มีความคมสองด้านและใบมีดไปด้วยเมื่อเสร็จจากการขว้างเสาหิน ญัมรอตุลอะกอบะฮฺ (ต้นใหญ่) จะได้ช่วยกันโกนหัว ตะฮัลลุล |
|
ในกระโจมที่พักหลังคาทำจากไวนีลกันไฟ
กลางยอดสูงเพื่อระบายความร้อน โครงเหล็ก มีไฟฟ้าให้ชาร์ตแบ็ตฯได้ ไฟฟ้า 220โวล์ท
เหมือนกันทั้งในมักกะห์และมะดินะห์ มีแอร์ในกระโจมให้กระโจมละ 4 ห้อง
ทุกห้องมีแอร์ให้แต่ก็ไม่เย็น เพียงแต่พอคลายร้อนไปบ้าง
เพราะประตูกระโจมปิดไม่ได้
อาหารที่แจกที่ทุ่งมีนานี้ทำแจกโดย
อะมีรุลฮัจญ์ของซาอุดิอาราเบีย เหตุที่ทางการเขาไม่อนุญาตให้ทำครัวตามแซะห์กันเอง
เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้กระโจมทำให้คนตายไปมาก อาหารดูแปลกๆ รสชาติแปลกๆ
แรกๆพอกินได้ แจกพร้อมน้ำขวดเล็ก ผลไม้ แอปเปิ้ลบ้าง ส้มบ้าง กล้วยบ้าง
และบางทีก็มีน้ำผลไม้กล่อง บางทีก็มีหมี่กึ่งสำเร็จรูปผลิตภัณฑ์จากอินโดนิเชีย
แล้วแต่ดวงว่าวันนี้จะได้อะไร บางวันไม่ได้ทั้งผลไม้และน้ำผลไม้
มีแต่กล่องข้าวกับน้ำขวด
ฮัจญ์
الحجHaj
ดึกของคืนวันที่
1 เช้ามืดของวันที่ 2 ตค 2557 (ตรงกับวันที่ 8 ซุลฮิจญะห์) สายๆ
อาบน้ำยะนาบะห์ ครองอี้หะรอมฮัจญ์ที่โรงแรม เหนียตครองอี้หะรอมฮัจญ์ว่า حَجًّالَبَّيْكَ ลับบัยกะ ฮัจจั้น
ตอนดึกได้เคลื่อนย้ายจากมักกะห์ไปสู่ทุ่งมีนา ขณะที่อยู่บนรถพบเจอเหตุการณ์ว่า
มีหญิงนางหนึ่งได้ที่นั่งแล้ววางกระเป๋าจองไว้
พอเราจะขอนั่งนางอ้างว่าจองไว้ให้พี่สาว หล่อนก็มองสอดส่ายสายตาหาดูพบพี่สาวแล้วทำการกวักมือเรียก
แต่พี่ได้ที่นั่งข้างหลังแล้ว หล่อนก็หันกลับมานั่งลอยหน้าเฉย
ไม่หยิบกระเป๋าออกจากที่นั่งที่จองไว้ รถวิ่งไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ติด
เพราะทุกคนที่จะทำฮัจญ์ต้องเคลื่อนย้ายไปสู่ทุ่งมีนา แล้วยังไม่ถึงจุดหมาย
ก็เมื่อย จึงเอ่ยปากว่ากับหล่อนว่าขอนั่งหน่อยพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นส่งคืน
ดูหล่อนไม่ยินดีนัก
การจองที่แล้วไม่มีใครมานั่งน่าจะมีน้ำใจเปิดโอกาสให้คนอื่นได้นั่งบ้างก็จะดี
แต่การกระทำของหล่อนนั้นเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก ไม่สมกับการมาทำฮัจญ์เลย
|
|
เมื่อถึงทุ่งมีนาแซะห์ก็ได้พาไปยังกระโจมที่จะใช้พักแรมที่มีนา
ผู้หญิงได้ ¾ กระโจม (กระโจมหนึ่งมี4ห้อง)
ซึ่งปริมาณผู้หญิงมากทำให้ที่นอนเบียดกันชิดมาก ยิ่งกว่าปลาทูในเข่งอีก ต้องนอนกันตัวลีบเลยละ
เราและพรรคพวกผู้ชายได้ 2 ห้อง 2 ชุด แยกกัน ห้องหนึ่งของกระโจมเรามี 22 คน
หนาแน่นน้อยกว่าผู้หญิงนิดนึง อีกห้องผู้ชายอยู่ไม่กี่คนหลวมๆ
ห้องๆหนึ่งควรอยู่พักกันเพียง 12 คนจะพอดี แต่ของพวกผูหญิง 3 ห้อง
ห้าสิบกว่าคน เฉลี่ย 16 คนต่อห้อง แน่นมาก มาก สายๆของ
|
|
วันที่ 2 ตค 2557 ( 8 ซุลฮิจญะห์) เช้าๆ ออกเดินสำรวจทุ่งมีนา คอดิเยาะห์เจอร้านขายแกงแพะกับคุบุสแผ่นเล็กๆสองแผ่น เลยซื้อมากินสองชุด ราคาชุดละ 10 ริยาล เสร็จแล้วก็ออกเดินสำรวจไปทั่วๆ ถ่ายรูปทุ่งมีนาบนลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สายหน่อยกลับมานอนพักผ่อน ดุฮริก็ละหมาดย่อ มีอาหารกลางเราวันมาส่งที่กระโจม ข้าวหนึ่งกล่อง แอปเปิ้ลหนึ่งลูก น้ำดื่มหนึ่งขวด ถึงเวลา อัศริก็ละหมาดย่อ (เวลาใครเวลามัน) ห้องอาบน้ำและส้วมที่ทุ่งมีนานี้เป็นอาคารชั้นเดียว มี 2 ครึ่ง หัวท้าย หัวอาคารเป็นของผู้ชาย มีที่อาบน้ำละหมาดอยู่หัวอาคาร อีกครึ่งเป็นของผู้หญิง มีที่อาบน้ำละหมาดอยู่ที่ท้ายอาคาร ฝั่งนึงจะมีห้องน้ำประมาณ 15 ห้องแบบนั่งยองๆ เป็นแบบชักโครก 2 ห้อง พื้นห้องน้ำและโถนั่งยองจะลาดต่ำลงรูคอห่าน ทั้งน้ำอาบและปัสสาวะและอุจจาระจะลงไปในรูคอห่านทั้งหมด เพื่อป้องกันการขังของน้ำ ทำให้หมักหมม มีกลิ่นเหม็น แต่ที่นี่เขาไม่เหม็นเลย เพราะน้ำชำระทุกครั้งที่มีคนเข้าไปใช้ ที่ทุ่งมีนา น้ำค่อนข้างร้อน คนมาใช้บริการมาก ต้องเผื่อเวลาไว้มากมาก ยิ่งเวลาใกล้ละหมาดผู้คนจะมารอคิวกันมากมาย |
|
ที่ทุ่งมีนามีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เปิดทำการรักษาฮุจญาจโดยทั่วไป
สังกัดกระทรวงสาธารณะสุขของประเทศซาอุดิอารอเบีย ให้บริการรักษาฮุจญาจโดยทั่วไป
มีหมอชาวซาอุดิ อาราเบีย ประจำการอยู่ 24 ชม มารู้ทีหลังว่าที่มีนาก็มีหน่วยแพทย์ไทยมาทำการรักษาด้วย
แต่ไม่ได้รับคำแนะนำจากแซะห์หรือคนอื่นๆ ใดๆ เลย
|
|
ในกระโจมที่พักหลังคาทำจากไวนีลกันไฟ
กลางยอดสูงเพื่อระบายความร้อน โครงเหล็ก มีไฟฟ้าให้ชาร์ตแบ็ตฯได้ ไฟฟ้า 220โวล์ท
เหมือนกันทั้งในมักกะห์และมะดินะห์ มีแอร์ในกระโจมให้กระโจมละ 4 ห้อง
ทุกห้องมีแอร์ให้แต่ก็ไม่เย็น เพียงแต่พอคลายร้อนไปบ้าง
เพราะประตูกระโจมปิดไม่ได้
อาหารที่แจกที่ทุ่งมีนานี้ทำแจกโดย
อะมีรุลฮัจญ์ของซาอุดิอาราเบีย เหตุที่ทางการเขาไม่อนุญาตให้ทำครัวตามแซะห์กันเอง
เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้กระโจมทำให้คนตายไปมาก อาหารดูแปลกๆ รสชาติแปลกๆ
แรกๆพอกินได้ แจกพร้อมน้ำขวดเล็ก ผลไม้แอปเปิ้ลบ้าง ส้มบ้าง กล้วยบ้าง
และบางทีก็มีน้ำผลไม้กล่อง บางทีก็มีหมี่กึ่งสำเร็จรูปผลิตภัณฑ์จากอินโดนิเชีย
แล้วแต่ดวงว่าวันนี้จะได้อะไร บางวันไม่ได้ทั้งผลไม้และน้ำผลไม้
มีแต่กล่องข้าวกับน้ำขวด
|
|
เช้าวันที่ 3 ตค 2557
ตรงกับวันที่ 9 ซุลฮิจญะห์ 1435 เป็นวันวุกุฟ
ตรงกับวันศุกร์เป็นปีฮัจญะอักบัร เช้าขึ้นรถบัสจากทุ่งมีนา منى มุ่งหน้าสู่ทุ่งอารอฟาต عرفاتกระโจมเป็นผ้าสังเคราะห์ ขนาดหลังไม่ใหญ่นัก
พักกันสองแซะห์เลย (ซาลีมะห์กับสุไลมาน) ได้รับอาหารสายมาก แจกกินกันแล้วก็ออกเดินสำรวจไปตามกระโจมต่างๆ
มีอาลี และตอฮาเดินไปด้วยกัน กระโจมอื่นเขามีบริการน้ำซัมซัมเย็นๆใส่ถังเย็นมาไว้บริการด้านนอกกระโจมเป็นระยะๆ
แต่ของแซะห์เราไม่มีบริการน้ำเย็น มีแต่น้ำดื่มเป็นขวด750 ซีซี แจก
สามมื้อสามขวด ซึ่งไม่พอกินดับกระหาย อากาศที่ทุ่งอารอฟาตนี้ร้อนระอุมาก
ทำให้กระหายน้ำมาก ต้องเดินไปกรอกใส่ขวดจากกระโจมอื่นๆ มาไว้ดับกระหาย
เดินสำรวจไปเรื่อยๆไปเจอห้องน้ำติดแอร์เย็นฉ่ำมีหลายห้อง ชั้นบนของผู้ชาย
ชั้นล่างของผู้หญิง ในทุ่งอารอฟาต เดินๆดูเห็นผู้คนมาจากหลายชาติหลายภาษา
มีคุตบะห์จากอิหม่ามมัสยิดที่ทุ่งอารอฟาต
ก่อน เข้าเวลาดุฮริของวัน วุกุฟ ทำการละหมาดร่วมกัน ละหมาดย่อ (กอศอร) ดุฮรี่กับ
อัสรี่มาละหมาดในช่วงแรก(ญามะอ์ตักดีม) อาจารย์ชาฟิอีนำอ่านดุอาอ์ซึ่งใช้หนังสือคนละเล่มกับที่แจกมา
คำอ่านบางประโยคหายไปมาก หลังจากนั้นทำการ วุกุฟ สงบนิ่งไม่เดินไปเดินมา
นั่งอ่านซิกุรุลเลาะฮ์
บ่ายอากาศร้อนระอุมมากทำให้กระหายน้ำมาก
บ่ายๆน้ำซัมซัมที่มีใส่ถังไว้บริการที่กระโจมอื่นหมดลง เราก็ไปเอาแล้วไม่ได้
ต้องรอน้ำที่แจก จนกว่าจะมาแจกอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะแจก กระหายน้ำมาก ผู้ที่จะไปทำฮัจญ์โปรดได้เตรียมขวดน้ำไว้มากๆ
เพราะที่อารอฟาต มุซดาลิฟะห์หาน้ำดื่มลำบากมากมาก อากาศก็ร้อนระอุมากๆ
คอแห้งกระหายน้ำบ่อยมาก น้ำใช้ในห้องน้ำก็มีน้อยมาก หมดเกือบทุกห้อง
ต้องใช้กรอกใส่ขวดจากก็อกน้ำละหมาดเข้าไป แต่ไม่มีราดโถส้วมทำให้เหม็น
ไม่น่าเข้าไปใช้
ได้เวลามักริบวันวุกุฟ
ผู้คนที่มาทำฮัจญ์กันเอง (เป็นพวกอาหรับชาติต่างๆที่ขับรถมากันเอง) เริ่มออกเดินทางจากทุ่งอารอฟาตนี้ไปสู่ทุ่งมุซดาลิฟะห์
ส่วนฮุจญาจเรายังคงรอเวลารถบัสมารับ จนถึงเวลา สี่ทุ่มกว่า
รถมารับไปทุ่งมุซดาลิฟะห์ นั่งรถมาเดี๋ยวเดียวก็ถึง ปูเสื่อกันร่วมกันละหมาดย่อ (กอศ็อร)
และรวมหลัง (ญามะอ์ตะอ์เคร) เสร็จแล้วคุ้ยหาเก็บก้อนหินเล็กๆ สำหรับขว้างเสาหินเสาต้นใหญ่คือเสาที่
3 เรียกว่า “ ญัมรอตุลอะกอบะฮฺ” 7 ก้อนในวันที่กลับสู่มีนาซึ่งเป็นวันอีดิลอัดฮา
และวัน ตัชรีกอีกสามต้นสามวัน รวม 70 ก้อน เสร็จจากการหาลูกหินแล้วก็มานั่งพักที่ที่ผู้ปูละหมาดเราที่ปูไว้ตั้งแต่มาถึง
มีคนลืมไฟฉายไว้ที่ผ้าปูละหมาด ก็เก็บไว้ให้เผื่อว่าเจ้าของจะกลับมาเอา
จนกลับบ้านพระราม9 แล้วยังไม่มีใครมาเอาคืนเลย ขณะที่พักอยู่ที่มุซดาลิฟะห์
มองเห็นยอดหอนาฬิกาที่มักกะห์ ที่นี่เป็นเนินเล็กๆ
ล้อมรอบไปด้วยถนนที่รถบัสวิ่งกันขวักไขว่ เหม็นกลิ่นไอเสียและกลิ่นผ้าเบรคไหม้
คละคลุ้งไปทั่วบริเวณทุ่งมุซดาลิฟะห์ ทำให้ป่วยปวดหัวเป็นไข้ ไอ จากมลพิษในอากาศ
นั่งง่วงๆ อยู่ สักครู่ใหญ่ ซอและห์ (ลูกครึ่งญี่ปุ่น)ได้ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเรานั่งง่วงอยู่
จึงขยับตัวลงไปปลายเท้านิดนึง แล้วชวนเราให้นอนที่ที่แบ่งให้
รู้สึกขอบคุณในน้ำใจมากมาก ที่มีน้ำใจแบ่งที่อันน้อยนิดให้ได้เอนกาย(ไม่ได้หลับ)
สัก 2 ชม. โดนเรียกให้ตื่นย้ายไปรอรถบัสมารับกลับทุ่งมีนา รออยู่ 2 – 3 ชั่วโมง กว่ารถบัสจะมา
ขึ้นรถได้มุ่งสู่ทุ่งมีนาเวลาประมาณตี 5 ได้เวลาละหมาดซุบฮิ
ละหมาดแล้วก็เอนกายพักผ่อนสายหน่อยมีข้าวกล่องมาแจก กินกันเสร็จค่อยออกไปขว้างเสาหิน
การขว้างเสาหิน ต้องถือเม็ดหินด้วยมือขวาและต้องกล่าว"บิสมิลลาฮิ อัลลอฮฺ
อักบัร" ทุกเม็ด
การรับเป็นผู้ขว้างเสาหินแทนกันนั้น ต้องขว้างของตนแต่ละต้นให้เสร็จก่อน แล้วค่อยขว้างแทน |
|
เมื่อตอนเวลา
อัสรี่ มีคนข้างๆ กระโจมเราละหมาดอัสรี่กันด้วย ซึ่งตามซุนนะตุ้นนบี ไม่ได้ทำ
เพราะยกเอาขึ้นไปทำการละหมาดย่อและรวมเอา อัสรี่ขึ้นมาละหมาดตอนเวลาดุฮรี่ไปแล้ว
และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งคือเมื่อเข้าเวลามักริบแล้ว มีคนบางกลุ่มละหมาดมักริบที่อารอฟาตนี้ด้วย
ซึ่งผิดจากซุนนะตุ้นนบีทำคือ ท่านจะไปละหมาดย่อและรวมทำในเวลา อิชาอ์
ตะวันตกดินลับขอบฟ้าไปแล้ว
แต่กลับมาสว่างอีกถ่ายรูปไม่ต้องใช้แฟลช ได้รับข้าวกล่องอีกมื้อนึง พร้อมน้ำดื่ม
รอรถบัสมารับไปมุซดาลิฟะห์ ค่ำแล้วอากาศยังร้อนระอุอยู่ กระหายน้ำมาก
น้ำที่ได้มาก็หมดและน้ำที่เคยไปกรอกมาสำรองก็หมด วันนี้ดื่มน้ำรวม 5 ขวดเล็ก
(ประมาณ 3 ลิตรได้) เกือบสี่ทุ่มรถบัสมารับ ไปมุซดาลิฟะห์
นั่งรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง ที่มุซดาลิฟะห์นี้เป็นที่โล่งๆ มีเนินไม่สูงนัก
มีโขดหินบ้าง มีถนนทั้ง 2 ฝั่ง พื้นที่เป็นดินทราย ฮุจญาจมารวมกันอยู่ที่นี่หนาแน่นมาก
มาถึงก็ปูเสื่อกันทำการละหมาดมักริบและ อิชาอ์ย่อ รวมมาละหมาดช่วงหลัง คือ
ในเวลา อิชาอ์ พอละหมาดเสร็จก็คุ้ยดินหาเก็บลูกหิน เก็บไป 80 เม็ดเลยเผื่อไว้
ร้อนระอุมาก กระหายน้ำคอแห้งผาก เที่ยวขอน้ำคนอื่นกิน พอได้ลูกหินแล้วก็นั่งคุยกันเดี๋ยวเดียวเหนื่อยเพลียกัน
ก็หาที่เอนหลัง
แต่เราลงเอนนอนช้าไปและบวกกับไม่มีเสื่อเป็นของตนเองด้วยทำให้ไม่มีที่นอน นั่งทรมานหลังแข็งอยู่นาน
มีคนหนึ่งลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย แล้วขยับลงไปทางปลายเท้าหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ชวนให้เรานอน รู้สึกดีมากที่เขามีน้ำใจ ก็ขอบคุณแล้วก็ล้มตัวตะแคงลงนอน
รู้สึกทรมานมากที่ทั้งเหม็นควันรถ
เหม็นผ้าเบรคไหม้เพราะตรงที่เรานอนกันอยู่นั้นเป็นเนินลงรถจึงต้องเบรคยาว
นอนเคลิ้มๆได้สักชั่วโมงกว่าๆ ประมาณตี 1 เอ๋เมียแซะห์อุ๊ เรียกทุกคนให้ตื่นย้ายที่ไปใหม่
นึกว่าจะไปหาที่ที่ดีดีนอนต่อ แต่กลับไปนั่งรอรถบัสอยู่นานมากๆ
เหม็นควันรถมากเลยปวดหัวไปหมด บางคนไอมาก บ่นว่าเจ็บคอ รถมาเกือบตี 5 แล้ว วิ่งแพรบเดียวก็ถึงมีนา
มารู้จักชายคนนั้นทีหลังว่า
ชื่อซอและห์ ลูกครึ่งญี่ปุ่น ขอขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ ขอ อัลลอฮฺประทานความสุขความเจริญให้ซอและห์มากๆ
ด้วยเทอญ
|
|
เช้าวันที่ 4 ตค 2557
(ตรงกับวันที่ 10 ซุลฮิจญะห์ 1435 เป็นวันอีด) หลังออกจากทุ่ง มุซดาลิฟะห์กลับเข้าทุ่งมีนา
ถึงประมาณ ตี 5
ซึ่งเข้าเวลาละหมาดซุบฮิแล้ว ก็ละหมาดซุบฮิร่วมกัน เอนหลังพักผ่อน 7
โมงอาหารเช้ามาส่ง กินอาหารเช้ากันเสร็จก็เตรียมออกไปขว้างเสาหินต้นใหญ่กันคือ ญัมรอตุ้ลอะกอบะห์
(เสาต้นใหญ่) جمرة العقبة
“ความเป็นมาของการขว้างเสาหิน คือ ครั้งเมื่อสมัยท่านนบี อิบรอฮีม (อ้าลัยฮิ วะซัลลัม “หมายความว่า ขอความสันติสุขให้แด่ท่านนบีด้วย”) พาพระนางฮะญัร และบุตร คือ ท่านนบีอิสมาอีล (พระนางฮะญัรคือภรรยาคนที่สอง ซึ่งมีบุตรก่อน พระนางซะเราะห์ภรรยาแรก) มาตั้งรกรากที่ บัยตุ้ลลอฮ์ โดยคำสั่ง (วะฮีจาก อัลลอฮฺ) อยู่กันมาจนท่านนบีนบีอิสมาอีลโตเป็นหนุ่ม ท่านนบีอิบรอฮีมฝันว่า ได้รับคำสั่งจาก อัลลอฮฺให้เชือดนบีอิสมาอีลเป็นทาน ท่านนบีอิบรอฮีมมาเล่าให้บุตร คือ นบีอิสมาอีลฟัง ท่านนบีอิสมาอีลก็เต็มใจตอบรับความฝัน ให้ท่านนบีอิบรอฮีมทำตามประสงค์ของ อัลลอฮฺ พอได้เวลากำหนด ท่านนบี อิบรอฮีมก็พาท่านนบีอิสมาอีล มายังที่ที่จะทำการเชือด (ที่ทุ่งมีนาอยู่ห่างจาก บัยตุ้ลลอฮ์ 8 กิโลเมตร) พอจะลงมือเชือด ชัยฏอนมารร้าย ได้มาตำหนิท่านนบีอิบรอฮีมว่าจะเชือดลูกตัวเองทำไม ไม่ต้องเชือดหรอก อัลลอฮฺลวงให้ท่านเชือดลูกชาย ฝ่ายท่านนบีอิบรอฮีม ก็ไม่ฟังและขว้างก้อนหินขับไล่ ชัยฏอนไปให้ไกล สักพักหนึ่งมันก็กลับมาอีก ท่านนบีก็ขว้างขับไล่มันไปอีก พอหนที่สามชัยฏอนตัวใหญ่มายุยงนบีอิบรอฮีมไม่ให้ทำตามวะฮีของอัลลอฮฺอีก ท่านนบีก็ขว้างขับไล่มันไปจนสำเร็จ ท่านนบีอิบรอฮีมลงมือเชือดนบีอิสมาอีลทันที แต่อัลลอฮฺได้สับเปลี่ยนท่านนบีอิสมาอีลออกมา บันดาลแกะมาแทนท่านนบีอิสมาอีล ท่านนบีอิบรอฮีมก็เชือดไปสำเร็จเรียบร้อย เหตุการณ์นี้ ท่านนบีมุฮัมมัด (ซอลลัลลอฮุ อ้าลัยฮิ วะ ซัลลัม) จึงนำมาเป็นกฎในพิธีการทำฮัจญ์ข้อหนึ่ง”
เมื่อขว้างเสาหินต้นใหญ่
جمرة العقبة เสร็จ ให้ทำการตะหัลลุล التحلل (ชาย ให้โกนผมหรือขลิบผมอย่างน้อย 3 เส้น
เพื่อป้องกันการทำผิดพลาดกฎการครองอี้หะรอม ผู้หญิงให้ขลิบผมอย่างน้อยสามเส้น
ส่วนกระบวนการทำฮัจญ์ยังติดค้าง เรื่อง ฏอวาฟและสะอาฮัจญ์อีกหนึ่งขั้นตอนฮัจญ์)
เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีขั้นตอนเบื้องต้นของฮัจญ์ ฮุจญาจ บางส่วนจะเดินทางกลับไปยังนครมักกะห์
ซึ่งอยู่ห่างจากทุ่งมีนาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 8 กิโลเมตร เพื่อทำพิธี ฏอวาฟฮัจญ์และเดินสะอาฮัจญ์
จนเสร็จสมบูรณ์ของการประกอบพิธีฮัจญ์
หลังจากนี้สามารถทำบางสิ่งบางอย่างในกฎข้อห้ามอี้หะรอมและกฎ ฮัจญ์ได้
เช่นการเสพเมถุน (เสพสังวาส) ได้แล้ว ทำการนิกะห์ได้แล้ว ใส่เครื่องหอม
โกนหนวดเครา ฯลฯ แต่สุนัต ฮัจญ์ยังเหลือ ฏอวาฟวิดะอ์อีกอย่างหนึ่ง ที่จะ ฏอวาฟกันก่อนวันเดินทางออกจากมักกะห์
ระหว่างทางที่จะไปขว้างเสาหิน
ต้องเดินทะลุอุโมงค์สองอุโมงค์ 2 อุโมงค์ ภายในอุโมงค์มีพัดลมเจ็ต ปั้มอากาศให้ไหลออกจากอุโมงค์
เพื่อให้มีออกซิเจนถ่ายเทเพียงพอกับผู้คนที่เดินผ่านเข้าไป ความแรงลมทำให้ธงปลิวนอนขนานพื้น
โซนที่อยู่จะเดินไปชั้น 3 ของอาคารขว้างเสาหิน ทางการเขาทำทางบังคับไว้ว่า
คนจากโซนไหนจะต้องเข้าอาคารชั้นไหน ปัจจุบันเสาหินที่ปรากฏอยู่ในอาคารเสาหินนั้น
ทางการซาอุดิอาราเบียเขาทำเป็นกำแพงไม่หนานัก และกว้างมาก และสูง 5 ชั้น มีทางบังคับเดินจากโซนต่างๆ
ที่ทุ่งมีนา ไปตามชั้นต่างๆที่อาคารเสาหิน เราอยู่ทุ่งมีนาโซน 6
ไกลจากอาคารเสาหิน 2 กิโลเมตร การขว้างเสาหินเริ่มจากเสาต้นแรก คือต้นเล็กคือ
ญัมรอตุ้ลอูลา และต้นกลางคือ ญัมรอตุลวุสตอ ต้นที่สามคือ ญัมรอตุลอะกอบะฮฺ
(ต้นใหญ่) การขว้างเสาหินในวันอีด
วันที่กลับออกจากมุซดาลิฟะห์ตั้งแต่หลังเที่ยงคืน
ก็อนุญาตให้ไปขว้างเสาหินต้นใหญ่ได้เลยจนถึงมักริบของวันอีด
คนที่ไปขว้างเสาหิน หลามไหลกันทุกชั้นทางเดิน พื้นที่อาคารที่ใช้ขว้างเสาหิน มี 5 ชั้นรวมดาดฟ้าด้วย รองรับคนจำนวนสามล้านคนในเวลา ดุฮริถึงมักริบ ประมาณ 5 ชม. ระหว่างทางในอุโมงค์มีทางเลื่อนให้ผ่อนแรงบ้าง
คอดิเยาะห์เดินไปเสาหินไม่ไหวเพลียจัดจากเมื่อคืน
มอบหมายให้ไปขว้างเสาหินแทน
|
|
ทางเลื่อน ช่วยผ่อนแรง |
|
ส่วนกลางๆภาพจะเห็นอาคารเสาหิน
ตำแหน่งเสา
หินจะอยู่ใต้หลังคากระโจม ซ้ายมือคือหลังคากระ โจมเสาต้นแรก เสาต้นที่ 1 ญัมรอตุ้ลอูลา , หลังคากระโจมกลาง เสาต้นที่ 2 ญัมรอตุ้ลวุสตอ (หลังกระโจมเล็กๆที่3จากซ้ายนั้นไม่ใช่) หลังคากระโจมเสาต้นที่ 3 อยู่ขวามือสุดคือ ญัมรอตุ้ลอะกอบะห์(เสาต้นใหญ่) เสาหินญัมรอตุ้ลอะกอบะห์อยู่ท้ายสุด |
|
ขว้างเสาหินต้นใหญ่เสร็จก็กลับกระโจมที่พักเป็นเวลาสายแล้ว
ทำการตะหัลลุล (ชาย ด้วยการโกนผม หญิงขลิบผมอย่างน้อยสามเส้น)
เป็นอันสิ้นสุดการครองอี้หะรอม กลับมาแต่งตัวกันตามใจชอบ ใครจะเดินเข้ามักกะห์เพื่อ
ฏอวาฟสะอาฮัจญ์เลยก็ย่อมทำได้ หรือใครจะมา ฏอวาฟสะอาหลังจากกลับไปมักกะห์แล้วก็ได้
ใครที่ไปเป็นคู่ผัวเมีย เปลื้องอี้หะรอม(หมดภาวะกฏการครองอี้หะรอม)
แล้วก็จริงแต่ยังไม่ได้ ฏอวาฟสะอาฮัจญ์ถือว่ายังอยู่ในกฏการทำฮัจญ์
ยังถูกห้ามในการมีเพศสัมพันธ์อยู่
(วันอีดิลอัดฮาที่ทุ่งมีนา
ไม่ต้องละหมาดอีด)
มีบางกลุ่มบางพวกขว้างเสาหินเสร็จก็ขลิบผมทำตะหัลลุลกันที่อาคารเสาหินก่อนเลย แล้วก็จะเดินเลยเข้ามักกะห์ทำการ ฏอวาฟสะอา ฮัจญ์ เป็นอันเสร็จพิธีทำฮัจญ์อย่างสมบูรณ์ กลับถึงกระโจมก็โกนหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลย ที่ทุ่งมีนามีการรับจ้างโกนหัวผู้ชายหัวละ 10 ริยาล พวกผู้ชายควรเตรียมหาซื้อมีดโกนไปก่อนถึงวันที่ 8 ซุลฮิจญะห์ (หาซื้อได้ตามร้านทั่วๆไปในมักกะห์) ราคาพร้อมใบมีดประมาณ 10 ริยาล เพื่อจะได้ใช้กันหลายๆคน ช่วยกันโกนหัว กลางคืนวันอีดก็นอนแออัดยัดเยียดกันต่อ |
|
วันที่ 5 ตค 2557 (ตรงกับวันที่
11 ซุลฮิจญะห์) กินข้าว ละหมาดย่อดุฮรี่เอนกายพักผ่อน
พออัสรี่ละหมาดเสร็จก็เตรียมออกเดินไปขว้างเสาหินทั้งสามต้น ผู้คนวันนี้ไม่มากเท่าไร
คอดิเยาะห์ก็ไปด้วย
|
|
วันที่ 6 ตค 2557 (ตรงกับวันที่ 12 ซุลฮิจญะห์) หลังละหมาดดุฮริแล้ว ออกไปขว้างเสาหินด้วยกันกับคอดิเยาะห์อีก ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดกันหนาแน่นมากจนคอดิเยาะห์เกือบจะเป็นลม เหงื่อออกแฉะผ้าคลุมหน้าเสื้อก็แฉะ ดีที่เอาเก้าอี้ไปด้วยเดินไปพักไปหลายตลบกว่าจะถึงอาคารเสาหินวันนี้คนแน่นเพราะเป็นวันสุดท้ายของพวกที่ยึดถือเอาวันตัชรีกสองวัน บริเวณกระโจมวันนี้ดูเฉอะแฉะและเดินกันวุ่นวายเพราะพวกถือชรีกสองวันก็กลับเข้ามักกะห์กันแล้ว ช่วงบ่ายกลับมาจากขว้างเสาหินมาถึงทุ่งมีนาแล้ว มีฝนลงเม็ดมานิดหน่อย ตกกลางคืนจะไปอาบน้ำละหมาดอิชาอ์ เห็นผู้คนยืนแหงนหน้าดูขึ้นไปบนท้องฟ้ากัน ปรากฏว่าเห็นแสงสีเขียวๆ ที่ก้อนเมฆ มันเคลื่อนไหวได้ตามลักษณะเมฆ ก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป เพราะไม่รู้ว่าแสงอะไร มีคนคนนึงเดินมาแหงนดูเห็นแล้วบอกว่าเป็นแสงเรเซอร์จากหอนาฬิกาที่มักกะห์ ก็เป็นที่เข้าใจกันได้ อาคารหอนาฬิกานี้เลียนแบบมาจากอาคารหอนาฬิกาในลาสเวกัส อเมริกา |
|
วันที่ 7 ตค 2557
(ตรงกับวันที่ 13 ซุลฮิจญะห์) ออกไปขว้างเสาหินประมาณ 11:30 น.
คาดเดาว่าคนจะแน่น คอดิเยาะห์ฝากไปขว้างแทนอีกครั้ง กลับตรงกันข้าม
ผู้คนกลับเข้ามักกะห์กันมากแล้ว เลยเดินได้แบบสบายๆ ขว้างเ
สาหินเสร็จก็กลับกระโจม มีรถบัสมารอรับกลับเข้ามักกะห์ รีบละหมาดดุฮริย่อกันแล้ว
รีบขึ้นรถบัสกลับเข้ามักกะห์ เป็นอันเสร็จพิธีฮัจญ์ในขั้นตอนแรก
วันนี้เดาว่าคนจะไปขว้างเสาหินหนาแน่น คอดิเยาะห์มอบหมายให้ขว้างแทนอีกวัน
วันที่ 8 ตค 2557 ถึง
วันที่ 21 ตค 2557 ไปละหมาดที่มัสยิดิลหะรอม
หลังจากกลับมาจากมีนาได้สองสามวัน เริ่มมีอาการหวัดน้ำมูกไหล ไอกันมาก และเจ็บคอ
กันทุกผู้ทุกคน เพราะอากาศที่แห้งแล้งและร้อนจัด
ประกอบกับร่างกายทรุดโทรมจากการพักแรมที่มีนา ไป อะรอฟาต
มุซดาลิฟะห์และกลับมามีนาอีกสามวัน นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
อาหารที่กินไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเป็นอาหารชาติอะไร ไทยก็ไม่ใช่ ฝรั่งก็ไม่ใช่
อาหรับก็ไม่ใช่ เพราะมีแต่แกงหน่อไม้ ผัดหน่อไม้
ลูกชิ้นปลาผัดรสชาติและกลิ่นแปลกๆ ร่างกายจึงทรุดโทรมมาก
ก่อนไปหาหมอเคยซื้อยามากินเอง มียาน้ำแก้ไอขับเสมหะหนึ่งขวดเล็กๆ และยาเม็ดระงับน้ำมูก
2 อย่างราคารวม 62 ริยาล (เท่ากับประมาณ 600กว่าบาทไทย)
ฉะนั้นก่อนไปทำฮัจญ์ควรนำยาแก้ไอขับเสมหะติดตัวไปมากๆ และนำยาแก้แพ้อากาศ ยาแก้หวัดน้ำมูกไหล ยาแก้ปวด(พาราฯ) ใครที่มีปัญหาเรื่องเข้าส้วมเรื่องขับถ่ายควรนำยาระบายไปด้วย เพราะการเข้าห้องน้ำรวมเราจะรีบเร่งจนไม่มีสมาธิในการขับถ่าย คนที่ป่วยเรื้อรัง (เบาหวาน ความดัน ไขมัน โรคหอบหืด โรคหัวใจ ตาเป็นต้อต้องหยอดตา ฯลฯ) ควรนำยาติดตัวให้เพียงพอกับปริมาณวันที่จะไป
มีพวกที่สนิทกับแซะห์แจ้งว่า
ควรเอาผ้าปิดจมูกไปด้วยเยอะๆ เพราะที่โน่นฝุ่นมาก แต่พอไปจริงๆ ใช้จริงๆ
ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะปิดก็ยัง ไอ เจ็บคอ คอแห้ง มากกันทุกคน
ไอทุกคนแล้วแต่ไอน้อยไอมาก อย่างไอกรน จนหลอดลมอักเสบ และเป็นหอบหืดด้วย
ต้องไปหาหมอใช้ยาพ่นคอ (ครอบจมูก)
สรุป . . .
ผ้าปิดจมูกไม่ได้ช่วยให้ไม่เป็นโรคไอ แถมเวลาถ่ายรูปออกมา ดูพิลึก พิลั่น ทำอย่างกับว่ามักกะห์มะดินะห์เป็นดินแดนห่างไกลความเจริญมีฝุ่นมากมายทั้งวัน
กินยาเองยังไม่ดีขึ้นก็ไปหาหมอไทยจากทางการไทย
หมอที่ทางการไทยส่งมาไม่มียาพิเศษเฉพาะโรค มีแต่ยาพื้นๆ เช่น ยาแก้อักเสบ (ย่าฆ่าเชื้อ)
ยาพารา ยาแก้น้ำมูก ยาแก้ไอขับเสมหะ ยาขยายหลอดลม ยาพ่นครอบจมูกขยายหลอดลมโรคหอบ
ยาถ่าย ยาแก้ท้องร่วง ส่งมาดูแล ฮุจญาจในมักกะห์ มะดินะห์ ทุ่งมีนา
สิ่งที่ควรนำติดตัวไปทำฮัจญ์อีกคือ
น้ำปลา พริกป่น พวกน้ำพริกต่างๆ เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูป
วันที่ 9 ตค 2557 หลังจากกลับจากมีนา
ได้สองวัน ก็ไป ฏอวาฟฮัจญ์และสะอาฮัจญ์ เป็นอันเสร็จพิธีฮัจญ์อย่างสมบูรณ์
เป็นอิสระในการกระทำทุกกอย่างแล้ว พ้นภาวะอี้หะรอมและพ้นภาวะ ฮัจญ์แล้ว
ฏอวาฟฮัจญ์ คอดิเยาะห์ยังคงอิดโรยเมื่อยล้า ผู้คนก็คิดเหมือนกับเราว่ามาทำตอนดึกๆ น่าจะมีคนน้อย แต่ทุกคิดอย่างนี้เลยมากันตอนดึกๆ ฏอวาฟไปพักไป ขนาดว่าอยู่วงรอบนอกแล้วนะ เสร็จจาก ฏอวาฟก็ไปสะอาฮัจญ์ บนลานสะอาคนก็เยอะอีก ใช้วิธีเดิมคือสะอาไปหาที่นั่งพักไป หยุดพักกินน้ำบ้าง เดินบ้าง นั่งพักบ้าง จนครบ 7 เที่ยว เสร็จประมาณตีสองกว่าๆ ก็ขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้ามัสยิดิลฮะรอม ถ่ายรูปกะอะบะห์มุมสูงได้ นั่งพักเหนื่อยบนดาดฟ้าอยู่พักใหญ่ ก็ชวนเดินไปบนวงแหวนชั้นสามโดยต้องออกจากมัสยิดหะรอมก่อนแล้วไปขึ้นทางลาดด้านนอก เพื่อไปถ่ายรูปไม่ติดวงแหวน แล้วกลับโรงแรมที่พัก |
|
วงแหวนสองชั้นและลาน ฏอวาฟหลังพิธีฮัจญ์
ตอนตีสอง คนโล่งหน่อย |
|
วันศุกร์ที่ 10 ตค
2557
|
|
11โมงจะไปละหมาดวันศุกร์ เดินไปถึงหน้าลาน มัสยิดแล้วตำรวจกั้นไม่ให้เข้าไป ชี้มือลงพื้นแล้วให้นั่งที่พื้นถนน ข้างในมัสยิดและลานเต็มแล้ว เลยเดินกลับเพราะถ้านั่งที่ถนนแดดร้อนจัดมาก กลับมาถึงหน้าโรงแรมรามาด้าเห็นว่ามีคนนั่งใต้ร่มเงาโรงแรม บังเอิญวันนี้เอาผ้าปูละหมาดไปด้วย เลยแวะนั่งรอละหมาดตรงนี้แหละ |
|
วันที่ 12 ตค 2557
สายหน่อยไปหาหมอไทยที่ โรงแรมอะไรจำไม่ได้ ถนน อัลมัสญิด อัลหะรอม
อยู่ทางทิศเหนือของ มัสญิดิลหะรอม ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มัสญิดญิน (มี มัสญิดหนึ่งอยู่ที่ทางแยก
หัวถนน มัสญิดิลหะรอม มีคนเข้าใจว่าเป็น มัสญิดญินกันหลายคน
แต่เราไปอ่านดูป้ายของ มัสญิดญิน มาแล้ว ถ่ายรูปมาด้วย
|
|
ตะนะอีมด้วย มีมัสญิดอาอิชะห์
|
|
ระหว่างทางไปหาหมอ
ได้เห็นมัสยิดญินมีป้ายชื่อบอกว่าเป็นมัสยิดญิน ( คือสถานที่ที่ ญิน มารวมกันให้
นบีอ่าน อัลกุรอานให้ฟัง)
ปัจจุบัน มัสยิดญินนี้ได้ปิดทำการไปแล้ว มีผู้คนมาละหมาดกันด้านนอก ซึ่งทางการจัดที่ที่ละหมาด مصلاة ให้สำหรับ ชาย – หญิง |
|
กลับจากมัสยิดหะรอมเกือบทุกวันต้องแวะซื้อเป็ปซี่กระป๋องละ
1.50 ริยาล,
น้ำผลไม้กล่องละ 1 ริยาล หรือไม่ก็ซื้อไอศครีม ถ้วยละ 3 ริยาล
บางวันซื้อนมสดขวดหนึ่งลิตร 5 ริยาล, นมเปรี้ยว 500 ซีซี ขวดละ 3 ริยาล สามวันซื้อที (นมสด(Milk)และนมเปรี้ยว(Laban) เกือบทุกชนิด อุดมไขมัน) ไข่ไก่ ก็ตอกวันผลิตและวันหมดอายุ |
|
วันที่ 15 ตค 2557
อาจารย์ชาฟิอีพาเที่ยว (ที่จริงเป็นโครงการของรัฐฯ
เพราะไปโดยไม่ได้เก็บสตางค์ค่ารถ)
- มิก็อต อัลญิอ์รอนะห์ - เขาอัลนูรมีถ้ำฮิรอ ซึ่งอยู่ห่างจากกะอะบะห์ประมาณสองไมล์ เป็นถ้ำขนาดเล็ก เป็นถ้ำที่ท่านนบีชอบปลีกวิเวกมาพักค้างแรมที่นี่ประจำ ในคืนคืนหนึ่งท่านนบีได้รับวะฮีย์ให้อ่าน “อิกเราะ บิสมิ ร็อบบิกัลละซีคอลัก” - เขาถ้ำซูร ที่ที่ นบีและ อบูบักรเข้าไปหลบภัยจากพวกมุชรีกกีนมักกะห์ตามล่า ก่อนจะไปมะดินะห์ - เขาเราะห์มะห์หรือเขาอารอฟาต جبل عرفات เป็นสถานที่ที่ท่านนบีขึ้นคุตบะห์ครั้งสุดท้ายที่ท่านมาทำฮัจญ์
ไป ฏอวาฟสุนัตได้ 3
ครั้ง และ ฏอวาฟวะดะอ์อีกหนึ่งครั้ง
|
|
ถึง วันที่ 22 ตค
2557 ยังอยู่ในมักกะห์ ไปละหมาดได้มั่งขาดมั่งแล้วแต่อาการ เพราะทั้งไข้
ทั้งหวัด ทั้งไอ บางวันที่ไม่ได้ไปหะรอมก็ละหมาดในห้อง
บางทีแชการีมก็มาละหมาดด้วย แกมักจะถามว่าต้อง อุซ็อลลีไหม เฮมได้ยินเข้าก็บอกไม่ต้องหรอก
บางวันแกก็ว่าอ่านวิรีดค่อยจังอ่านตามไม่ได้เลย
เฮมก็บอกว่าอ่านใครอ่านมันแยกกันไปเลย แกไปทำฮัจญ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
คราวนี้พาลูกสาวไป ดูแกก็จะหลงๆแล้ว
ลูกสาวไม่ได้ดูแลแกเลยปล่อยเป็นภาระกับเพื่อนร่วมห้อง และดูงอแงเอาแต่ใจ
วันที่จะเดินทางไปมะดินะห์ตามหมายกำหนดการเดิมคือวันที่ 22 ตค วันที่ 20-21 ตค
ทั้งแซะห์และทั้งเพื่อนฮุจญาจก็เตือนแกให้ไป ฏอวาฟวะดะอ์
ก็งอแงว่าตดบ่อยไม่ได้ไป ฏอวาฟจนวันที่ 21ตอนค่ำแกจึงได้ไป ฏอวาฟวะดาอ์
หมายกำหนดการจะเดินทางไปนครมะดีนะห์ในบ่ายวันที่ 22 ตค 2557 (ตรงกับวันที่ 28 ซุลฮิจญะห์
1435) แต่มีปัญหาทำให้ไม่ได้เดินทาง นั่งรอกันเก้อตั้งแต่บ่ายจนค่ำ
แซะห์บอกให้ขึ้นไปนอนพักผ่อนกันก่อน วันรุ่งขึ้น
วันที่ 23 ตค 2557
เกือบจะเข้าเวลา อัศริแล้ว รถบัสมารับ ขึ้นรถกันเสร็จ รถออกสามโมงกว่า มาลีแจกข้าวหมกไก่
2 คนต่อกล่อง ไปแวะสำนักงานเกี่ยวกับพาสท์ปอร์ต เจ้าหน้าที่ขึ้นมาบนรถขานชื่อ
เสร็จก็ออกจากมักกะห์เดินทางมุ่งสู่นครมะดีนะห์ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร
แวะละหมาดย่อ อัศริกลางทางโดยเราเดินเร็วและลงรถก่อนไปกับอาลีกำลังจะตั้งแถวละหมาดก็มีมะอ์มูมมาต่อแถวกันหลายคน
เป็นอิหม่ามจำเป็นนำละหมาดย่อ เสร็จก็กลับขึ้นรถ รถวิ่งไปเรื่อยๆ
แวะปั้มเข้าห้องน้ำ ซื้อเซเวนอัป มากินแก้กระหาย คนขับรถก็เติมน้ำรถ
ออกเดินทางต่อ มองดูภายนอกรถเห็นหมู่บ้านเล็กๆ มีบ้านเรือนไม่หนาแน่นนัก
เป็นบ้านก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว อยู่ตามข้างทาง 2 - 3 หมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านกลางทะเลทรายนี้มีไฟฟ้าใช้ทุกหลังคาเรือน
มองๆ ดูแล้วไม่เห็นมีโรงงานอะไรมีแต่บ้านเรือน ไม่รู้ว่าพวกเขาทำมาหากิน
มีรายได้มาจากไหน ค่ำๆแวะละหมาดย่อรวมต้นมักริบ-อิชาอ์ (กอศอร และ ญามะอ์ตักดีม)โดยเป็นอิหม่ามนำละหมาดย่อรวมต้น
รถก็วิ่งไปเรื่อยใกล้มืดแล้วมองเห็นป้ายเตือนให้ระวังลิงทะเลทรายกินบริเวณกว้างพอควร
(หลาย กิโลเมตร) ก่อนถึงเมืองมะดีนะห์ มีจุดตรวจว่าเป็นคณะไหนกลุ่มไหน
และแจกอาหารว่างและน้ำซัมซัม คนขับรถบัสคันนี้แย่มาก สูบบุหรี่บนรถตลอดทาง
และขับรถส่ายไปส่ายมา บางทีจะไปชนกรวยกั้นกลางถนน สภาพรถก็เก่าขับไปดังอ็อดๆ แอ็ดๆ
มาถึงมะดีนะห์เกือบห้าทุ่ม ใช้เวลาเดินทาง 8 ชม. เข้าที่พักโรงแรม มะกาเร็ม มาสิ
ถนนบาบุสลาม ประตูรั้วที่ 7 มัสยิดนะบะวีย์ นอนหลับพักผ่อนด้วยความเมื่อยล้าในการเดินทาง
|
|
ณ นครมะดีนะห์ มุเนาวะเราะห์ المدينة
المنورة
เช้าวันที่ 24 ตค
2557 (ตรงกับวันที่ 30 ซุลฮิจญะห์ 1435 ตื่นตี 4 กว่าๆ ไปละหมาดซุบฮิที่มัสยิดนะบะวีย์
ไปมัสยิดเร็วไป นั่งรออิกอมะห์นานมาก กลับโรงแรมมากินอาหารเช้า (เกือบๆหกโมงเช้า)
กินไม่ค่อยลงเพราะเช้าเกินไป ไม่กินก็ต้องอดไปจนเที่ยง
วันที่ 25 ตค 2557
ไปละหมาดที่มัสยิดนะบะวีย์ทุกวักตู ได้ละหมาดสุนัตเราะวาติบครบ
แตกต่างกันในเรื่องละหมาดสุนัต เช่น พวกปากีสถาน อินเดีย บังคลาเทศ
จะละหมาดสุนัตเยอะละหมาดหลัง อะซานจะทำกัน 2 เราะกะอัต แล้วละหมาดก่อนฟัรฎูกันอีก
2 บ้าง 4 บ้าง ละหมาดสุนัตหลัง ฟัรฎูก็เช่นกันสวนใหญ่ทำ 2 และ2 และนั่งละหมาดอีก
2 พวกอินโดนิเชียก็ทำการละหมาดสุนัตกันเยอะ หลังอะซาน ก่อนฟัรฎู
(ไอ้ที่ไม่มีเขาก็ทำ) หลังฟัรฎู (ไอ้ที่ไม่มีเขาก็ทำ) เช่นหลัง ฟัรฎูอัสรี่เขาก็ละหมาดสุนัตกัน
การเงยหน้าจากรุกั๊วมายืนตรงนั้นอิหม่ามทั้งในมักกะห์และมะดินะห์จะยืนดุอาอ์ยาวพอสมควร
การนั่งระหว่างสองสุญูดแล้วอ่าน อ่านว่า " ร็อบบิฆ์ฟิรลี วัรฮัมนี
ว่าอาฟีนี วะฮ์ดีนี วัรซุกนี คนส่วนใหญ่เงยหน้าขึ้นมา หัวยังไม่ทันได้ตั้งตรงเลย
ก้ม สุญูดลงไปอีกแล้ว ส่วนการละหมาด
ญะนาซะห์ (ละหมาดให้คนตาย) ทั้งพวกปากีสถาน อินเดีย บังคลาเทศ อินโดนิเชีย
จะห่วงละหมาดสุนัตกันมากกว่าเลยไม่ได้ละหมาดญะนาซะห์ ซึ่งเป็น ฟัรฎูกิฟายะห์ ฟัรฎูกิฟายะห์นั้น
ถ้ามีคนทำแล้ว ตนไม่ต้องทำก็ไม่ผิด ลองคิดเปรียบเทียบกันดูระหว่างละหมาดสุนัตได้ผลบุญ
1 เท่าจนถึงเท่าที่ อัลลอฮฺจะประทาน ส่วนการละหมาดญะนาซะห์นั้น ท่านนบีบอกไว้ว่า
ผู้ใดละหมาดญะนาซะห์เขาจะได้ผลบุญเท่าภูเขาอุหุด และถ้าใครเดินตามไปส่งมัยยิต ถึงกุโบรและขอดุอาอ์ให้มัยยิตเขาก็จะได้ผลบุญอีก
1 เท่าของภูเขาอุหุด รวมเป็น 2 เท่าของเขาอุหุด
|
|
|
|
|
|
[1] เป็นเนื้อหาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ที่ต้องการไปทำอุมเราะฮ์
และ ฮัจญ์ ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ ในมหานครมะดินะห์ไว้ เผื่อว่า
แซะห์ไหนที่ไม่ได้พาไปเยี่ยมชม จะได้ทักท้วงได้
เพราะอยู่ในบริเวณตัวเมืองมะดินะห์ทั้งสิ้น (นอกจากสมรภูมิบะดัร และ ค็อยบัร
ที่อยู่ห่างจากมะดินะห์ร้อยกว่ากิโลเมตร)
-----------------------------------------------------------------------------------------------
จบ
ป้ายกำกับ: 2014AD, 2557BE, กะอะบะห์, มัสยิด นะบะวีย์, ฮัจญีอักบัร ปี1435HE
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก