อัลกุรอานญุซอ์ที่ 24
ญุซอ์ที่ 24
[39.32] ดังนั้น
ผู้ใดเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์
และปฏิเสธความจริงเมื่อมันได้มีมายังเขา
มิใช่ในนรกดอกหรือที่เป็นที่พำนักสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
[39.33] ส่วนผู้ที่นำความจริงมา
และเขาได้เชื่อมั่นความจริงนั้น ชนเหล่านี้ พวกเขาคือบรรดาผู้ยำเกรง
[39.34]
นั่นคือการตอบแทนของบรรดาผู้กระทำความดี
[39.35]
เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงลบล้างความชั่วที่พวกเขากระทำไว้ออกจากพวกเขา
และจะทรงตอบแทนรางวัลของพวกเขาแก่พวกเขาด้วยสิ่งที่ดียิ่งตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
[39.36] อัลลอฮ์จะมิทรงเป็นผู้พอเพียงแก่บ่าวของพระองค์ดอกหรือ
และพวกเขายังขู่เจ้าให้กลัวด้วยเจว็ดต่าง ๆ อื่นจากพระองค์
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง
[39.37] และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงชี้นำทาง
ดังนั้นก็ไม่มีผู้ใดจะทำให้เขาหลงทางได้ อัลลอฮ์มิใช่เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงตอบโต้อย่างเด็ดขาดดอกหรือ
[39.38] และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า
ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮ์
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดพวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่า
สิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์นั้น
หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้มีความทุกข์ยากแก่ฉันแล้วพวกมันจะปลดเปลื้องความทุกข์ยากของพระองค์ได้ไหม หรือหากพระองค์ประสงค์จะให้ความเมตตาแก่ฉันพวกมันจะยับยั้งความเมตตาของพระองค์ได้ไหม จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด อัลลอฮ์ทรงพอเพียงแก่ฉันแล้ว แต่พระองค์เท่านั้น
บรรดาผู้มอบความไว้วางใจจะให้ความไว้วางใจ
[39.39] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย! จงทำงานตามสภาพของพวกท่าน แท้จริงฉันก็เป็นผู้ทำงาน
แล้วพวกท่านจะได้รู้
[39.40]
ผู้ที่การลงโทษจะมีมายังเขาก็จะทำให้เขาอัปยศ และการลงโทษตลอดกาลจะประสบแก่เขา
[39.41]
แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์แก่เจ้าเพื่อมนุษยชาติด้วยสัจธรรม
ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องก็จะได้แก่ตัวของเขาเองและผู้ใดหลงทางเขาก็จะหลงอยู่บนทางที่ผิดและเจ้ามิได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อพวกเขา
[39.42] แท้จริงในการนั้น
แน่นอนย่อมเป็นสัญญาสำหรับหมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
[39.43]
หรือว่าพวกเจ้าได้ยึดเอาบรรดาผู้ช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดทั้ง
ๆ ที่พวกมันมิได้มีอำนาจใด ๆ และพวกมันก็ไม่มีสติปัญญากระนั้นหรือ
[39.44] แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[39.45] และเมื่อ (พระนาม)
อัลลอฮ์ถูกกล่าวเพียงพระองค์เดียว
จิตใจของบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ก็รังเกียจ
แต่เมื่อบรรดาเจว็ดถูกกล่าวนอกจากพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาก็ดีใจ
[39.46] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ข้าแต่อัลลอฮ์พระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ
และสิ่งเปิดเผย
พระองค์ท่านจะทรงตัดสินระหว่างปวงบ่าวของพระองค์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันอยู่
[39.47]
และหากว่าบรรดาผู้อธรรมมีสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้ทั้งหมด
และมีเยี่ยงนั้นอีกด้วยแน่นอนพวกเขาจะขอไถ่ด้วยสิ่งนั้นให้พ้นจากการลงโทษที่ชั่วร้ายในวันกิยามะฮ์
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งที่มาจากอัลลอฮ์นั้นจะปรากฏขึ้นแก่พวกเขา
[39.48]
และความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้กระทำไว้ก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาได้เคยเยาะเย้ยไว้นั้นก็ห้อมล้อมพวกเขา
[39.49]
ครั้นเมื่อทุกขภัยใดประสบแก่มนุษย์เขาก็จะวิงวอนขอเรา
ต่อมาเมื่อเราได้ประทานความโปรดปรานจากเราแก่เขา เขาก็กล่าวว่าแท้จริงสิ่งที่ฉันได้รับมานั้นเนื่องจากความรอบรู้ของฉันต่างหาก
แต่ (เขาหารู้ไม่ว่า) มันคือการทดสอบ แต่ว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
[39.50] โดยแน่นอน
บรรดาหมู่ชนก่อนหน้าพวกเขาได้กล่าวมันไว้ เช่นนี้
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้นั้นหาได้อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาไม่
[39.51] ฉะนั้นความชั่วทั้งหลายที่เขาได้กระทำไว้
จึงประสบแก่พวกเขา และบรรดาผู้อธรรมจากหมู่ชนเหล่านั้น
ความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้กระทำไว้ก็จะประสบแก่พวกเขาเช่นกันและพวกเขาไม่สามารถจะหนีรอดพ้นไปได้
[39.52] พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า
อัลลอฮ์ทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้คับแคบ
แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา
[39.53] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย! บรรดาผู้ละเมิดต่อตัวของพวกเขาเอง
พวกท่านอย่าได้หมดหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอภัยความผิดทั้งหลายทั้งมวล
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[39.54] และจงผินหน้าไปหาพระเจ้าของพวกท่าน
และจงนอบน้อมต่อพระองค์ ก่อนที่การลงโทษจะมายังพวกท่าน
แล้วพวกท่านจะมิได้รับความช่วยเหลือ
[39.55]
และจงปฏิบัติตามสิ่งที่ดียิ่งที่ได้ถูกประทานลงมายังพวกท่าน จากพระเจ้าของพวกท่านก่อนที่การลงโทษจะมายังพวกท่านโดยฉับพลัน
โดยที่พวกท่านไม่รู้สึกตัว
[39.56] มิฉะนั้น ชีวิตหนึ่งจะกล่าวว่า
โอ้ความหายนะจงประสบแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ทอดทิ้ง (หน้าที่) ที่มีต่ออัลลอฮ์
และข้าพระองค์เคยอยู่ในหมู่ผู้เยาะเย้ยอีกด้วย
[39.57] หรือมัน (ชีวิต) จะกล่าวว่า
หากอัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางแก่ข้าพระองค์ แน่นอนข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ผู้ยำเกรง
[39.58] หรือมัน (ชีวิต)
จะกล่าวขณะที่เห็นการลงโทษว่า มาตรว่า ข้าพระองค์มีโอกาสกลับ (ไปสู่ดุนยา)
อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นข้าพระองค์ก็จะได้อยู่ในหมู่ผู้กระทำความดี
[39.59] (พระองค์ตรัสว่า) เปล่าเลย!
แน่นอนสัญญาณทั้งหลายของเขาได้มายังเจ้าแล้ว แต่เจ้าได้ปฏิเสธมัน
และเจ้าได้หยิ่งยะโส และเจ้าได้อยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธา
[39.60] และวันกิยามะฮ์
เจ้าจะเห็นบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำ ดังนั้น
ที่พำนักสำหรับบรรดาผู้หยิ่งยะโสนั้นมิใช่นรกดอกหรือ
[39.61]
และอัลลอฮ์จะทรงให้บรรดาผู้ยำเกรงรอดพ้น เพราะชัยชนะของพวกเขา
โดยที่ความชั่วร้ายจะไม่ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจ
[39.62] อัลลอฮ์ คือผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง
และพระองค์เป็นผู้ทรงดูแลและคุ้มครองทุกสิ่ง
[39.63]
การควบคุมดูแลกิจการแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นสิทธิของพระองค์
และบรรดาผู้ปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ขาดทุน
[39.64] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านใช้ให้ฉันเคารพสักการะสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ โอ้ปวงบ่าวผู้บัดซบเอ๋ย!
[39.65] และโดยแน่นอน ได้มีวะฮีย์ยฺมายังเจ้า
(มุฮัมมัด) และมายังบรรดานบีก่อนหน้าเจ้าหากเจ้าตั้งภาคีกับอัลลอฮ์
แน่นอนการงานของเจ้าก็จะไร้ผล และแน่นอนเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
[39.66] แต่ว่าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์
และจงอยู่ในหมู่ผู้กตัญญู
[39.67] และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แด่อัลลอฮ์อันพึงมีต่อพระองค์อย่างแท้จริง
และแผ่นดินนี้ทั้งหมดเป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์ในวันกิยามะฮ์
และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์
และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
[39.68] และสังข์ได้ถูกเป่าขึ้น
แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดินจะล้มลงตายเว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮ์ประสงค์
แล้วสังข์ได้ถูกเป่าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนมองดู
[39.69]
และแผ่นดินจะเป็นประกายด้วยรัศมีแห่งพระเจ้าของมัน และบันทึกจะถูกกางแผ่และบรรดานบี
และบรรดาพยานจะถูกนำมาและจะถูกตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรมและพวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม
[39.70]
และทุกชีวิตจะได้รับการตอบแทนอย่างครบครันตามที่มันได้กระทำไว้
และพระองค์ทรงรอบรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
[39.71] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกไล่ต้อนสู่นรกเป็นกลุ่ม
ๆ จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงมัน ประตูทั้งหลายของมันจะถูกเปิดออก
ยามเฝ้าประตูของมันจะกล่าวแก่พวกเขาว่า
บรรดาร่อซู้ลจากพวกท่านมิได้มายังพวกท่านเพื่อสาธยายสัญญาณต่าง
ๆแห่งพระเจ้าของพวกท่านแก่พวกท่าน และกล่าวเตือนพวกท่านถึงการพบในวันนี้ของพวกท่านดอกหรือ พวกเขากล่าวว่ามีครับ
แต่ว่าพระประกาศิตแห่งการลงโทษเป็นที่คู่ควรแล้วแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
[39.72] จะมีเสียงกล่าวว่า
พวกท่านจงเข้าไปในประตูทั้งหลายของนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
ดังนั้นที่พำนักของบรรดาผู้หยิ่งยะโสชั่วช้าแท้ ๆ
[39.73]
และบรรดาผู้ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาจะถูกนำสู่สวนสวรรค์เป็นกลุ่ม ๆ
จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงมัน และ ประตูทั้งหลายของมันจะถูกเปิดออก
ยามเฝ้าประตูสวรรค์จะกล่าวแก่พวกเขาว่า ความศานติจงมีแด่พวกท่าน
พวกท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นจงเข้าไปในสวรรค์เป็นผู้พำนักอยู่ตลอดกาล
[39.74] และพวกเขากล่าวว่า
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์
ผู้ซึ่งได้ทำให้สัญญาของพระองค์เป็นที่สมจริงแก่พวกเรา
และทรงทำให้เราได้ครอบครองแผ่นดินในสวนสวรรค์
เพื่อที่เราจะได้พำนักอยู่ตามที่เราประสงค์
ดังนั้นรางวัลของบรรดาผู้กระทำความดีช่างยอดเยี่ยมแท้ ๆ
[39.75]
และเจ้าจะเห็นมลาอิกะฮ์ห้อมล้อมรอบ ๆ บังลังก์
แซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขา
และจะถูกตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม และจะมีเสียงกล่าวว่า
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก
40. ซูเราะห์ฆอฟิร
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[40.1] ฮา มีม
[40.2] คัมภีร์นี้เป็นการประทานลงมาจากอัลลอฮ์
ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้
[40.3] ผู้ทรงอภัยในบาป
และผู้ทรงรับการขอลุแก่โทษ ผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ
ผู้ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโปรดปราน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์
ยังพระองค์คือการกลับไป
[40.4] ไม่มีผู้ใดจะโต้เถียงในอายาตของอัลลอฮ์
(อัลกุรอาน) นอกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
ดังนั้นอย่าให้การวางมาดของพวกเขาในหัวเมืองต่าง ๆ เป็นที่หลอกลวงแก่เจ้า
[40.5] (เพราะ) ก่อนหน้าพวกเขานั้น
หมู่ชนของนูห์ และพลพรรคต่าง ๆ หลังจากพวกเขาได้ปฏิเสธมาก่อนแล้ว และทุก ๆ
ประชาชาติได้ตั้งใจที่จะทำลายล้างร่อซู้ลของพวกเขาและโต้เถียงด้วยความเท็จ
เพื่อที่จะลบล้างความจริ งให้สูญสิ้นไป
ดังนั้นข้าจึงได้ลงโทษพวกเขาแล้วเป็นอย่างไรบ้างการลงโทษของข้า
[40.6] และเช่นนั้นแหละ
ประกาศิตแห่งพระเจ้าของเจ้าได้เป็นที่สมจริงแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่าพวกเขาเป็นชาวนรก
[40.7] บรรดาผู้แบกบัลลังก์ และผู้ที่อยู่รอบ
ๆ บัลลังก์ ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขา
และศรัทธาต่อพระองค์ และอภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา ข้าแต่พระเจ้าของเรา
พระองค์ท่านทรงแผ่ความเมตตาและความรอบรู้ไปทั่วทุกสิ่ง
ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยแก่บรรดาผู้ลุแก่โทษ และดำเนินตามแนวทางของพระองค์ท่าน
และทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษแห่งไพนรก
[40.8] ข้าแต่พระเจ้าของเรา
และขอพระองค์ทรงให้พวกเขาได้เข้าในสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกเขาพร้อมทั้งผู้กระทำความดีจากบรรพบุรุษของพวกเขา
และคู่ครองของพวกเขาและลูกหลานของพวกเขา แท้จริงพระองค์ท่านนั้นเป็นผู้ทรงมีอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[40.9]
และขอพระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย
และผู้ใดที่พระองค์ทรงคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายในวันนั้นดังนั้นแน่นอนพระองค์ท่านทรงเมตตาแก่เขา
และนั่นคือมันเป็นความสำร็จอันใหญ่หลวง
[40.10]
แท้จริงบรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธานั้นจะมีเสียงตะโกนบอกว่า
การเกลียดชังของอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่กว่าการเกลียดชังของพวกเจ้าต่อตัวของพวกเจ้าเอง
เมื่อพวกเจ้าถูกเรียกร้องสู่การศรัทธา แล้วพวกเจ้าก็ได้ปฏิเสธศรัทธา
[40.11] พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา
พระองค์ท่านได้ทรงทำให้เราตายสองครั้ง
และพระองค์ท่านได้ทรงทำให้เรามีชีวิตสองครั้ง
ดังนั้นเราขอสารภาพต่อความผิดทั้งหลายของเราดังนั้นจะมีทางออก (แก่เรา) ไหม
[40.12] นั่นก็เพราะว่า
แท้จริงเมืออัลลอฮ์พระองค์เดียวถูกกล่าวขึ้น พวกเจ้าก็ปฎิเสธศรัทธา
และเมื่อหากให้มีการตั้งภาคีกับพระองค์พวกเจ้าก็ศรัทธา ดังนั้น
การตัดสินชี้ขาดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรางยิ่งใหญ่
[40.13] และจะไม่มีใครใคร่ครวญนอกจากผู้
สำนึกตัว
[40.14] ดังนั้นจงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์
โดยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนาต่อพระองค์
แม้ว่าพวกปฎิเสธศรัทธาจะเกลียดชังก็ตาม
[40.15]
ผู้ทรงตำแหน่งอันสูงเจ้าแห่งบัลลังก์ทรงส่งวะฮีย์ยฺตามพระบัญชาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์เพื่อเตือนให้รำลึกถึงวันแห่งการพบปะร่วมกัน
(วันกิยามะฮ์)
[40.16] วันที่พวกเขาจะปรากฎตัวออกมา
ไม่มีสิ่งใดของพวกเขาจะซ่อนเร้นไปจากอัลลอฮ์ อำนาจในวันนี้เป็นของผู้ใดเล่า แน่นอนมันเป็นของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะผู้ทรงพิชิตโดยเด็ดขาด
[40.17]
วันนี้ทุกชีวิตจะได้รับการตอบแทนตามที่มันได้กระทำไว้
ไม่มีการอธรรมในวันนี้แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงฉับพลันในการสอบสวน
[40.18]
และจงเตือนพวกเขาให้ทราบถึงวันที่ใกล้เข้ามา (วันกิยามะฮ์)
เมื่อหัวใจเข้ามาติดอยู่ที่ลำคอด้วยความอดกลั้น
ไม่มีมิตรที่สนิทสนมสำหรับบรรดาผู้อธรรม และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟัง
[40.19] พระองค์ทรงรอบรู้การทรยศของดวงตา
และสิ่งที่ทรวงอกปกปิดอยู่
[40.20] และ อัลลอฮ์ทรงตัดสินด้วยความยุติธรรม
และบรรดาผู้ที่วิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้น พวกมันไม่อาจจะตัดสินใด ๆ ได้
แท้จริงอัลลอฮ์ พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
[40.21] พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่าบั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด
เขาเหล่านั้นมีพลังที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา และได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย แล้วอัลลอฮ์
ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขาด้วยความผิดของพวกเขา และไม่มีผู้ใดจะช่วยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮ์ได้
[40.22]
นั่นก็เพราะว่าเมื่อบรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้มายังพวกเขาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานต่าง
ๆ อันชัดแจ้งพวกเขาก็ได้ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นอัลลอฮ์จึงทรงลงโทษพวกเขา
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ
[40.23] และโดยไม่แน่นอน เราได้ส่งมูซามาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง
ๆ ของเราและหลักฐานอันชัดแจ้ง
[40.24] ไปยังฟิรเอาน์และฮามาน และกอรูน
แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า (มูซาเป็น) มายากรนักโกหกตัวฉกาจ
[40.25]
ครั้นเมื่อมูซาได้มายังพวกเขาด้วยสัจธรรมจากเรา พวกเขากล่าวว่า
จงฆ่าลูกชายของบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขา และไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกเขา
แต่แผนการณ์ของพวกปฏิเสธศรัทธานั้นมิใช่อื่นใด นอกจากการผิดพลาด
[40.26] และฟิรเอาน์กล่าวว่า จงปล่อยฉัน
ฉันจะฆ่ามูซา และให้เขาวิงวอนขอพระเจ้าของเขา
แท้จริงฉันเกรงว่าเขาจะมาเปลี่ยนศาสนาของพวกท่าน หรือจะก่อการร้ายให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน
[40.27] และ มูซากล่าวว่า
แท้จริงฉันของความคุ้มครองต่อพระเจ้าของฉัน
และพระเจ้าของพวกท่านให้พ้นจากผู้หยิ่งผยองทุกคนที่ไม่ศรัทธาต่อวันแห่งการชำระบัญชี
[40.28]
และชายผู้ศรัทธาคนหนึ่งจากพวกพ้องของฟิรเอาน์
ซึ่งปกปิดการศรัทธาของเขากล่าวว่าพวกท่านจะฆ่าชายคนหนึ่ง ที่เขากล่าวว่า
พระเจ้าของฉันคืออัลลอฮ์กระนั้นหรือ และแน่นอนเยาได้นำหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง
มาจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่าน และหากว่าเขาเป็นคนโกหก
การโกหกของเขาก็อยู่บนเขาเอง และหากว่าเขาเป็นคนพูดจริง
ส่วนหนึ่งจากที่เขาได้สัญญาไว้กับพวกท่านก็จะประสบแก่พวกท่าน
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ชี้แนะทางแก่ผู้ที่เขาเป็นผู้ละเมิดนักโกหกตัวฉกาจ
[40.29] โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย!
วันนี้อำนาจการปกครองเป็นของพวกท่าน เป็นผู้อยู่เบื้องบนในแผ่นดิน (อียิปต์)
แล้วใครเล่าจะช่วยเหลือเราจากการลงโทษของอัลลอฮ์ หากมันได้เกิดขึ้นแก่เรา ฟิรเอาน์กล่าวว่า
ฉันมิได้ชี้นำพวกท่านเว้นแต่สิ่งที่ฉันเห็นว่ามันถูกต้อง
เท่านั้นและฉันมิได้ชี้แนะทางแก่พวกท่านเว้นแต่ทางที่เป็นสัจธรรมเท่านั้น
[40.30] และชายผู้ศรัทธากล่าวอีกว่า
โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย! แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านยี่ยงวันแห่งการลงโทษของกลุ่มชนต่าง
ๆ ในอดีต
[40.31] เยี่ยงกับเคราะห์กรรมของหมู่ชนของนูห์
และอ๊าด และซะมูด และกับหมู่ชน หลังจากพวกเขา และอัลลอฮ์ มิ ทรงประสงค์การอธรรมใด
ๆแก่ปวงบ่าว
[40.32] และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย!
ฉันกลัวแทนพวกท่าน เยี่ยงวันแห่งการร้องเรียกหาซึ่งกันและกัน
[40.33] วันที่พวกท่านหันหลังกลับหนี
ไม่มีผู้ใดจะช่วยปกป้องพวกท่านให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ไดเ
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทางแล้ว ก็จะไม่มีผู้ชี้แนะทางให้แก่เขา
[40.34] และโดยแน่นอน แต่ก่อนนี้ยูซุฟ
ได้มายังพวกท่านพร้อมด้วยหลักฐ่านอันชัดแจ้งแต่พวกท่านก็ยังคงอยู่ในการสงสัยในสิ่งที่เขาได้นำมายังพวกท่าน
จนกระทั่งเมื่อเขาได้ตายไปแล้ว
พวกท่านก็กล่าวว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงตั้งร่อซู้ลคนใดอีกแล้วหลังจากเขา
เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ที่เขาฝ่าฝืนสงสัยหลงทาง
[40.35] บรรดาผู้โต้เถียงในสัญญาณต่าง ๆ
ของอัลลอฮ์โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ มายังพวกเขา เป็นที่น่าเกลียดชังยิ่ง ณ ที่อัลลอฮ์
และ ณ บรรดาผู้ศรัทธา เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงประทับบนทุก ๆ
หัวใจของผู้จองหองหยิ่งยะโส
[40.36] และฟิรเอาน์กล่าวว่า โอ้ฮามานเอ๋ย!
จงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อฉันจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป
[40.37] ทางที่จะขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าทั้งหลาย
เพื่อฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดอย่างแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนโกหก
เช่นนั้นแหละ
การงานที่ชั่วช้าของเขาได้ถูกทำให้เพริศแพร้วแก่ฟิรเอาน์และเขาถูกปิดกั้นจากแนวทาง
(ของอัลลอฮ์) และแผนการของฟิรเอาน์นั้นมิใช่อื่นนอกจากอยู่ในความหายนะ
[40.38] และผู้ศรัทธากล่าวว่า
โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย! จงปฏิบัติตามฉัน ฉันจะชี้แนะทางแก่พวกท่านสู่ทางแห่งสัจธรรม
[40.39]
โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ยแท้จริงชีวิตแห่งโลกนี้เป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้นและแท้จริงปรโลกนั้นมันเป็นที่อยู่อันมั่นคง
[40.40] ผู้ใดที่กระทำความชั่ว เขาจะไม่ได้รับการตอบแทน
เว้นแต่เยี่ยงเช่นนั้น
และผู้ใดกระทำความดีจากเพศชายหรือเพศหญิงก็ตามและเขาเป็นผู้ศรัทธาด้วย
ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์ จะได้รับปัจจัยยังชีพในนั้น
โดยปราศจากการคำนวณ
[40.41] และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย!
ทำไมฉันจึงเชิญชวนพวกท่านไปสู่การรอดพ้น แต่พวกท่านเชิญชวนฉันไปสู่ไฟนรก
[40.42]
พวกท่านเชิญชวนฉันให้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และให้ฉันตั้งภาคีต่อพระองค์โดยที่ฉันไม่รู้มาก่อนเลยในเรื่องนั้น
และฉันได้เชิญชวนพวกท่านไปสู่ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงอภัยอย่างมากหมาย
[40.43] ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
แท้จริงที่พวกท่านเชิญชวนฉันไปสู่นั้น มันไม่เหมาะสม (ที่จะเอาใจใส่)
แก่มันทั้งในโลกนี้และในปรโลกด้วย และแท้จริง การกลับของเรานั้นไปสู่อัลลอฮ์
[40.44]
ดังนั้นพวกท่านจะต้องระลึกถึงสิ่งที่ฉันได้กล่าวแก่พวกท่าน
และฉันขอมอบภารกิจของฉันแต่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้เฝ้าดูปวงบ่าว
[40.45]
อัลลอฮ์ได้ทรงคุ้มครองเขาให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาวางแผนไว้
และการลงโทษที่ชั่วช้าก็จะห้อมล้อมบริวารของฟิรเอาน์
[40.46]
ไฟนรกนั้นพวกเขาจะถูกนำมาให้เห็นทั้งในยามเช้า และยามเย็น และวันกิยามะฮ์นั้น
จะมีเสียงกล่าวว่า จะให้บริวารของฟิรเอาน์เข้าไปรับการลงโทษอันสาหัสยิ่ง
[40.47]
และจงรำลึกถึงเมื่อพวกเขาโต้เถียงกันในนรก พวกอ่อนแอแกล่าวกับพวกหัวหน้าว่า
แท้จริงพวกเราเป็นผู้ตามพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจะช่วยพวกเราให้พ้นจากการลงโทษสักส่วนหนึ่งของไฟนรกนี้ได้ไหม
[40.48] บรรดาหัวหน้ากล่าวว่า
แท้จริงเราทั้งหมดอยู่ในนรก แท้จริงอัลลอฮ์ทรงตัดสินระหว่างปวงบ่าวแล้วอย่างแน่นอน
[40.49] และบรรดาผู้อยู่ในนรก
กล่าวแก่ยามเฝ้าประตูนรกว่า
โปรดช่วยวิงวอนขอต่อพระเจ้าของพวกท่านให้ทรงลดหย่อนการลงโทษแก่เราสักวันหนึ่ง
[40.50] พวกเขากล่าวว่า
บรรดาร่อซู้ลของพวกท่านมิได้มายังพวกท่านพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งดอกหรือ พวกเขากล่าวว่ามีครับเขาทั้งหลายกล่าวว่า พวกท่านจงวิงวอนขอเองซิ
แต่การวิงวอนขอของผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น มิใช่อื่นใดนอกจากอยู่ในการหลงทาง
[40.51] แท้จริงเราจะช่วยเหลือบรรดาร่อซู้ลของเรา
และบรรดาผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน ทั้งในชีวิตของโลกนี้
และวันที่ซึ่งปวงพยานจะยืนขึ้นเป็นพยาน
[40.52]
วันที่การแก้ตัวของพวกเขาจะไม่อำนวยผลแก่บรรดาผู้อธรรม
และสำหรับพวกเขาจะได้รับการสาปแช่ง และสำหรับพวกเขาจะมีที่พำนักอันชั่วช้า
[40.53] และโดนแน่นอนเราได้ประทานการชี้นำทางแก่มูซา
และเราได้ให้มรดกแก่วงศ์วารของอิสรออีล คือคัมภีร์
[40.54]
เพื่อเป็นการชี้นำทางและเป็นการเตือนรำลึกแก่บรรดาผู้มีสติปัญญา
[40.55] ดังนั้น
เจ้าจงอดทนเพราะแท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นความจริง
และจงขออภัยโทษต่อความผิดของเจ้า และจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าทั้งในยามเย็นและในยามเช้า
[40.56] แท้จริง
บรรดาผู้โต้เถียงในเรื่องอายาตของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน)
โดยปราศจากหลักฐานมายังพวกเขานั้น
ไม่มีอะไรในทรวงอกของพวกเขานอกจากต้องการจะเป็นใหญ่
ซึ่งพวกเขาจะไม่เป็นผู้บรรลุถึงมันได้ ดังนั้น จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
[40.57]
แน่นอนการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นใหญ่ยิ่งกว่าการสร้างมนุษย์
แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[40.58]
และคนตาบอดกับคนตาดีนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน และบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลายกับพวกกระทำความชั่วก็ไม่เท่าเทียมเช่นกัน
เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ
[40.59] แท้จริง
วันอวสานนั้นจะมีมาอย่างแน่นอน ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในวันนั้น
แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่ยอมศรัทธา
[40.60] และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า
จงวิงวอนขอต่อข่า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า
ส่วนบรรดาผู้โอหังกต่อการเคารพภักดีข้านั้น จะเข้าไปอยู่ในนรกอย่างต่ำต้อย
[40.61]
อัลลอฮ์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนให้แก่พวกเจ้า เพื่อจะได้พักผ่อนในเวลาของมัน
และกลางวันเพื่อจะได้มองเห็น
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นเจ้าของความโปรดปรานแก่ปวงมนุษย์แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่ขอบคุณ
[40.62] นั่นคืออัลลอฮ์
พระเจ้าของพวกเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์
ดังนั้นทำไมพวกเจ้าจึงถูกหันเหออกจากพระองค์เล่า
[40.63] เช่นนั้นแหละ
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์ จะถูกทำให้หันเหออก (จากสัจธรรม)
[40.64]
อัลลอฮ์คือผู้ทรงทำให้แผ่นดินนี้เป็นที่พำนักแก่พวกเจ้า และชั้นฟ้าเป็นเพดานมั่นคง
และทรงทำให้พวกเจ้าเป็นรูปร่าง และทรงทำให้รูปร่างของพวกเจ้าสวยงาม
และทรงประทานปัจจัยยังชีพจากสิ่งที่ดี ๆ แก่พวกเจ้านั่นคืออัลลอฮ์
พระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นอัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลกทรง จำเริญยิ่ง
[40.65] พระองค์คือผู้ทรงมีชีวิต
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์
ดังนั้นจงวิงวอนขอต่อพระองค์โดยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจในสาสนาของพระองค์
บรรดาการสรรเสริญนั้นเป็นของอัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก
[40.66] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพภักดีต่อบรรดาที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์
เมื่อหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของฉันได้มีมายังฉันแล้ว
และฉันถูกบัญชาให้นอบน้อมต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก
[40.67]
พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้าจากฝุ่นดิน แล้วจากเชื้ออสุจิ แล้วจากก้อนเลือดแล้วทรงให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารกแล้วเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้า
แล้วเพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นคนชรา และในหมู่พวกเจ้ามีผู้เสียชีวิตในวัยหนุ่ม
และเพื่อให้พวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยที่ถูกกำหนดไว้
และเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ
[40.68] พระองค์ คือผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย
ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด ๆ พระองค์ก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น
แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา
[40.69] เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า
บรรดาผู้ที่โต้เถียงในอายาตของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) พวกเขาถูกให้พันเหออกไปอย่างไร
[40.70] บรรดาผู้ปฏิเสธต่อคัมภีร์
และต่อสิ่งที่เราได้ส่งมาพร้อมกับรรดาร่อซู้ลของเราแล้วพวกเขาก็จะได้รู้
[40.71] เมื่อห่วงคล้องคออยู่บนต้นของพวกเขา
และโซ่ตรวนถูกลากไป
[40.72] ในน้ำเดือดพล่าน
แล้วในไฟนรกพวกเขาจะถูกเผาไหม้
[40.73]
แล้วจะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่าไหนเล่าสิ่งที่พวกเจ้าตั้งภาคี
[40.74] อื่นจากอัลลอฮ์
พวกเขากล่าวว่ามันได้หลงหายไปจากพวกเราแล้ว
แต่ว่าพวกเรามิได้วิงวอนขอต่อสิ่งใดก่อนหน้านี้ดอก!
เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหลงทาง
[40.75] นั่นก็เพราะว่า
พวกเจ้าหลงระเริงในแผ่นดิน โดยไม่เป็นธรรม และเพราะว่าพวกเจ้าอวดดี
[40.76] จงเข้าไปในประตูทั้งหลายของนรก
เป็นผู้พำนักอยู่ตลอดกาลในนั้น ฉะนั้นที่พำนักของพวกหยิ่งผยองมันชั่วช้าแท้ ๆ
[40.77] ดังนั้นเจ้าจงอดทน
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง
บางทีเราจะให้เจ้าได้เห็นบางสิ่งที่ได้สัญญาแก่พวกเขา หรือเราจะทำให้เจ้าตายเสียก่อน
ดังนั้นพวกเขาจะถูกกลับไปยังเรา
[40.78] และโดยแน่นอน
เราได้ส่งบรรดาร่อซู้ลมาก่อนหน้าเจ้าบางคนในหมู่พวกเขามีผู้ที่เราบอกเล่าแก่เจ้า
และบางคนในหมู่พวกเขามีผู้ที่เรามิได้บอกเล่าแก่เจ้า
และไม่บังควรแก่ร่อซู้ลที่จะนำสัญญาณใด ๆ มาเว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์มาถึงเรื่องนั้นก็จะถูกตัดสินด้วยความยุติธรรม
และขณะนั้นบรรดาผู้กล่าวเท็จก็จะขาดทุนอย่างย่อยยับ
[40.79]
อัลลอฮ์คือผู้ทรงทำปศุสัตว์บางชนิดให้พวกเจ้าเพื่อใช้เป็นพาหนะ และบางชนิด
เพื่อให้พวกเจ้าใช้กิน
[40.80]
และสำหรับพวกเจ้าในตัวมันนั้นมีประโยชน์มากหลาย และเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่สมความปราถนาที่มีอยู่ในทรวงอกของพวกเจ้า
และพวกเจ้าบรรทุกบนหลังมันเช่นเดียวกับใช้บรรทุกบนเรือ
[40.81]
และพระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์ดังนั้น ด้วยสัญญาณต่าง ๆ
ของอัลลอฮ์อันใดเล่าที่พวกเจ้าปฏิเสธ
[40.82] พวกเข้ามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่า บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด
เขาเหล่านั้นมีจำนวนมากกว่ายพวกเขา และมีพลังเข้มแข็งว่า
และได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมายในแผ่นดิน
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้นั้นหาได้อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาไม่
[40.83]
ดังนั้นเมื่อบรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานต่าง ๆ
อันชัดแจ้งพวกเขาก็ดีใจกับความรู้ (ทางด้านวัตถุ) ที่มีอยู่กับพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยไว้นั้นก็ห้อมล้อมพวกเขา
[40.84]
ครั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษอย่างหนักของเรา พวกเขาก็กล่าวว่า
เราศรัทธาต่อัลลอฮ์องค์เดียว
และเราปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่เราเคยตั้งภาคีต่อพระองค์
[40.85]
แต่การศรัทธาของพวกเขาจะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลยในเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษอย่างหนักของเรา
นี่คือแนวทางของอัลลอฮ์ที่ได้มีมาแต่ในอดีตในปวงบ่าวของพระองค์
และขณะนั้นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ได้ขาดทุนอย่างย่อยยับ
41. ซูเราะห์ฟุศศิลัต
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[41.1] ฮามีม
[41.2] (อัลกุรอานนี้)
เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[41.3] คัมภีร์ซึ่งอายาตทั้งหลายได้ให้คำอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นอัลกุรอานภาษาอาหรับสำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้
[41.4] เป็นการแจ้งข่าวดีและเป็นการตักเตือน
แต่ส่วนมากของพวกเขาผินหลังให้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้ยิน
[41.5] และพวกเขากล่าวว่า
หัวใจของเราอยู่ในที่ปกปิดจากสิ่งที่พวกท่านเชิญชวนเราไปสู่สิ่งนั้น
และในหูของเราก็หนวก และระหว่างเรากับท่านก็มีม่านกั้นอยู่ ดังนั้นท่านจงทำ
(สิ่งที่ท่านพึงกระทำ) เถิด สำหรับพวกเราก็จะทำ (ตามที่เราต้องการจะกระทำ)
[41.6] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ฉันก็คือสามัญชนเยี่ยงพวกท่าน แต่ได้มีวะฮีย์ยฺแก่ฉันว่า พระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว
ดังนั้นจงมุ่งตรงสู่พระองค์เถิด
และจงขออภัยต่อพระองค์และความวิบัติจงมีแต่บรรดาผู้ตั้งภาคี
[41.7] บรรดาผู้ไม่จ่ายซะกาต และพวกเขา
คือพวกปฏิเสธศรัทธาต่อวันปรโลก
[41.8] แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธา
และกระทำความดีทั้งหลาย สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับรางวัลอย่างมิขาดสาย
[41.9] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้สร้างแผ่นดินเพียงในสองวัน
และพวกท่านตั้งภาคีคู่เคียงกับพระองค์กระนั้นหรือ ? นั่นคือพระเจ้าแห่งสากลโลก
[41.10] และใน (แผ่นดิน)
นั้นพระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น
และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้นในระยะเวลา 4 วัน
อย่างทัดเทียมกันแก่บรรดาผู้ไต่ถาม
[41.11]
แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก
พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า
เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม มันทั้งสองกล่าวว่า
ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว
[41.12]
ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา 2 วัน
และทรงกำหนดในทุกชั้นฟ้าหน้าที่ของมัน
และได้ประดับท้องฟ้าแห่งโลกนี้ด้วยดวงดาวทั้งหลาย และเป็นการป้องกัน
(ให้พ้นจากชัยตอน) นั่นคือ การกำหนดแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้
[41.13]
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ฉันขอเตือนพวกท่าน
(ให้ระลึกถึงความหายนะเยี่ยงความหายนะของพวกอ๊าดและพวกซะมูด)
[41.14]
จงรำลึกเมื่อบรรดาร่อซู้ลได้มายังพวกเขา (เรียกร้องเชิญชวน)
จากทางข้างหน้าพวกเขาและจากทางข้างหลังพวกเขา (โดยกล่าว) ว่า
พวกท่านอย่าได้เคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ พวกเขากล่าวว่า
หากพระเจ้าของเราทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะต้องส่งมลาอิกะฮ์ลงมา
ดังนั้นเราจึงปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา
[41.15] ส่วนพวกอ๊าดนั้น
พวกเขาได้หยิ่งผยองในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรม และพวกเขากล่าวว่า
ผู้ใดจะมีพลังเข้มแข็งกว่าพวกเรา ? พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างพวกเขานั้นทรงพลังเข้มแข็งกว่าพวกเขาแต่พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธสัญญาณต่าง
ๆ ของเรา
[41.16]
ดังนั้นเราได้ส่งลมพายุที่หนาวเหน็บมีเสียงกึกก้องมายังพวกเขาในหลายวันแห่งความหายนะ
เพื่อเราจะให้พวกเขาลิ้มการลงโทษอันน่าอับยศในชีวิตแห่งโลกนี้
และแน่นอนการลงโทษแห่งปรโลกนั้นย่อมอัปยศยิ่งกว่า
และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
[41.17]
และส่วนพวกซะมูดนั้นเราได้ชี้แนะทางให้แก่พวกเขา
แต่พวกเขาชอบเลือกเอาการตาบอดมากกว่าการอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นความหายนะแห่งการลงโทษที่น่าอดสูก็ได้คร่าพวกเขาตามที่พวกเขาได้แสวงหาเอาไว้
[41.18] และเราได้ช่วยบรรดาผู้ศรัทธา
และบรรดาผู้ยำเกรงให้รอดพ้น (จากการลงโทษนั้น)
[41.19] และ (จงรำลึกถึง)
วันหนึ่งซึ่งเมื่อเหล่าศัตรูของอัลลอฮ์จะถูกชุมนุมเข้าสู่ไฟนรกและ
พวกเขาจะถูกจัดแถว ๆ
[41.20] จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงนรก
หูของพวกเขา
และตาของพวกเขาและผิวหนังของพวกเขาก็จะเป็นพยานคัดค้านพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
[41.21] และพวกเขากล่าวแก่ผิวหนังของพวกเขาว่า
ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นพยานคัดค้านแก่เราล่ะ พวกมันกล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงให้เราพูด ซึ่งพระองค์ทรงให้รู้ทุกสิ่งที่พูด
และพระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าเป็นครั้งแรก
และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไป
[41.22] และพวกเจ้าก็ไม่เคยปิดปัง
(การทำความชั่ว) ว่าหูของพวกเจ้า และตาของพวกเจ้าและผิวหนังของพวกเจ้าจะเป็นพยานคัดค้านพวกเจ้า
แต่พวกเจ้านึกคิดว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงรอบรู้ส่วนมากในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[41.23]
และนั่นและการนึกคิดของพวกเจ้าซึ่งพวกเจ้านึกคิดต่อพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
เป็นการทำให้พวกเจ้าประสบความหายนะแล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นผู้ขาดทุน
[41.24] ดังนั้น หากพวกเขาอดทน (ต่อการลงโทษ)
ได้ ไฟนรกก็คือที่พำนักของพวกเขา
และถ้าพวกเขาวิงวอนขอความโปรดปรานพวกเขาก็จะไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้ได้รับความโปรดปราน
[41.25] และเราได้กำหนดสหายไว้สำหรับพวกเขา
แล้วพวกเขาก็ทำให้สิ่งที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหนังของพวกเขาให้เป็นที่ลุ่มหลงแก่พวกเขา
ดังนั้นพระประกาศิต (การลงโทษ) แก่ประชาชาติต่าง ๆ
ของพวกญินและมนุษย์ที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกเขานั้น ก็เป็นการสาสมแก่พวกเขาแล้ว
แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ขาดทุน
[41.26] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวว่า
พวกท่านอย่าฟังอัลกุรอานนี้ แต่จงทำเสียงอึกทึกในขณะนั้น หวังว่าพวกท่านจะมีชัยชนะ
[41.27]
และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาตามความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้
[41.28] นั่นคือ
การตอบแทนแก่เหล่าศัตรูของอัลลอฮ์ คือ ไฟนรก
สำหรับพวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลเป็นการตอบแทนตามที่พวกเขาปฏิเสธสัญญาณต่าง
ๆ ของเรา
[41.29] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า
ข้าแต่พระจ้าของเราได้โปรดให้เราได้เห็นทั้งสองแห่งหมู่ญินและมนุษย์ผู้ซึ่งทำให้เราหลงทางเพื่อที่เราจะให้มันทั้งสองอยู่ใต้เท้าของเรา
เพื่อว่ามันทั้งสองจะได้อยู่ในหมู่ผู้เลวทรามยิ่ง
[41.30] แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่าอัลลอฮ์คือ
พระเจ้าของพวกเราแล้วพวกเขาก็ยืนหยัดตามคำกล่าวนั้น มะลากิกะฮ์จะลงมาหาพวกเขา
(โดยกล่าวกับพวกเขาว่า) พวกท่านอย่าหวาดกลัวและอย่าเศร้าสลดใจแต่จงต้อนรับข่าวดี
คือสวนสวรรค์ซึ่งพวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้
[41.31]
พวกเราเป็นผู้อารักขาพวกท่านทั้งในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และปรโลก
และสำหรับพวกท่านในสวนสวรรค์นั้น จะได้สิ่งที่จิตใจของพวกท่านปรารถนา
และสำหรับพวกท่านในสวนสวรรค์นั้นจะได้ในสิ่งที่พวกท่านเรียกร้อง
[41.32]
เป็นการต้อนรับด้วยความเมตตาจากพระผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
[41.33]
และผู้ใดเล่าจะมีคำพูดที่ดีเลิศยิ่งไปกว่าผู้เชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์
และเขาปฏิบัติงานที่ดี และกล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้นอบน้อม
[41.34]
และความดีและความชั่วนั้นหาเท่าเทียมกันไม่ เจ้าจงขับไล่ (ความชั่ว)
ด้วยสิ่งที่มันดีกว่า
แล้วเมื่อนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกันก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน
[41.35] และไม่มีผู้ใดได้รับมัน
(คุณธรรมดังกล่าว) นอกจากบรรดาผู้อดทน
และจะไม่มีผู้ใดรับมันนอกจากผู้ที่มีโชคลาภอันใหญ่หลวง
[41.36] และหากว่าการยุแหย่ใด ๆ
จากชัยตอนมายั่วยุเจ้าเข้า ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์เถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
[41.37]
และส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือ การมีกลางคืน และ กลางวัน
และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ พวกเจ้าอย่าได้สุญูด แต่อัลลอฮ์พระผู้ทรงสร้างพวกมัน
หากพวกเจ้าจะเคารพภักดีแด่พระองค์เท่านั้น
[41.38] แต่ถ้าพวกเขาหยิ่งยะโส กระนั้นก็ดีบรรดาผู้ที่อยู่
ณ ที่พระเจ้าของเจ้า (มลาอิกะฮ์) ก็จะแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน
โดยที่พวกเขาจะไม่เหนื่อยหน่าย
[41.39]
และส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือ เจ้าจะเห็นแผ่นดินแห้งกรัง
ต่อเมื่อพระองค์ทรงหลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็จะมีชีวิตชีวาและให้พืชผล แท้จริง
ผู้ซึ่งให้มันมีชีวิตขึ้นมานั้น ก็จะทรงให้ชีวิตแก่คนตายได้อย่างแน่นอน
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่ง
[41.40]
แท้จริงบรรดาผู้บิดเบือนทั้งหลายของเรา
พวกเขาจะไม่ซ่อนเร้นไปจากเราได้ผู้ที่ถูกโยนลงในนรกจะดีกว่า หรือผู้ที่มาอย่างปลอดภัยในวันกิยามะฮ์ จงทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด
แท้จริงพระองค์ทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[41.41]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อข้อตักเตือน (อัลกุรอาน)
เมื่อได้มีมายังพวกเขาและแท้จริงอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มีอำนาจยิ่ง
[41.42] ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่คืบคลานเข้าไปสู่อัลกุรอานได้
(เพราะ) เป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[41.43] ไม่มีสิ่งใดที่ถูกกล่าวแก่เจ้า
เว้นแต่ได้มีการกล่าวขึ้นแล้ว แก่บรรดาร่อซู้ล ก่อนหน้าเจ้า
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นแน่นอน พระองค์ทรงเป็นผู้อภัย
และทรงเป็นผู้ลงโทษอย่างเจ็บปวด
[41.44] และมาตรว่า
เราได้ประทานอัลกุรอานมาเป็นภาษาต่างชาติ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า
ทำไมอายาตทั้งหลายของอัลกุรอานจึงไม่ชัดแจ้งเล่า (อัลกุรอาน)
เป็นภาษาต่างชาติ และ (นบี) เป็นคนอาหรับกระนั้นหรือ ? จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด อัลกุรอานนั้นเป็นแนวทางที่เที่ยงธรรม
และเป็นการบำบัดแก่บรรดาผู้ศรัทธา ส่วนบรรดาผู้ไม่ศรัทธานั้น
อัลกุรอานจะทำให้หูของพวกเขาหนวก และนัยตาของพวกเขาบอด
ชนเหล่านี้จะถูกร้องเรียกจากสถานที่อันไกล
[41.45] และโดยแน่นอน เราได้ประทานคัมภีร์
แต่ได้เกิดมีการขัดแย้งกันขึ้นในนั้น
และมาตรฐานว่าคำกล่าวหนึ่งจากพระเจ้าของเจ้ามิได้ถูกบันทึกไว้ก่อนแล้ว
ก็คงจะถูกตัดสินระหว่างพวกเขาอย่างแน่นอน
และแท้จริงพวกเขานั้นอยู่ในการคลางแคลงสงสัยจากในคัมภีร์นั้น
[41.46]
ผู้ใดกระทำความดีก็จะได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดกระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง
และพระเจ้าของเจ้านั้นมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 24 ]
ป้ายกำกับ: ญุซอ์ที่ 24, ฟะมัน อัฎลัม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก