อัลกุรอานญุซอ์ที่ 22
ญุซอ์ที่
22
[33.31]
และผู้ใดในหมู่พวกเธอภักดีต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
และกระทำความดีเราจะให้รางวัลของนางแก่นางสองครั้ง
และเราได้เตรียมปัจจัยยังชีพอันดีงามแก่นาง
[33.32] โอ้ บรรดาภริยาของนบีเอ๋ย!
พวกเธอไม่เหมือนกับสตรีใด ๆ ในเหล่าสตรีอื่นหากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮ์)
ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ
แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร
[33.33]
และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โออวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น
การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน และจงดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต
และจงภักดีต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
อัลลอฮ์เพียงแต่ต้องการที่จะขจัดความโสโครกออกไปจากพวกเจ้า โอ้สมาชิกของวงศ์ตระกูล
(นบี) เอ๋ย และทรง (ประสงค์) ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์
[33.34] และจงอ่านสิ่งที่ได้ถูกอ่านในบ้านเรือนของพวกเธอ
(เช่น) จากอายาตทั้งหลายของอัลลอฮ์และฮิกมะฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
[33.35] แท้จริง บรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง
บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง
บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง
บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิงบรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง
บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิง
บรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น
[33.36]
ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว
สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา
และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์แล้ว
แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[33.37]
และจงรำลึกถึงขณะที่เจ้าพูดกับผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่เขา
และเจ้าได้ให้ความสงเคราะห์แก่เขา และจงดูแลรักษาภริยาของเจ้าไว้ให้อยู่กับเจ้า
และจงยำเกรงอัลลอฮ์
และเจ้าได้ซ่อนไว้ในจิตใจของเจ้าเรื่องที่อัลลอฮ์จะทรงเปิดเผยมัน
และเจ้ากลัวเกรงมนุษย์ แต่อัลลอฮ์ทรงสมควรยิ่งกว่าที่เจ้าจะกลัวเกรงพระองค์
ครั้นเมื่อเซด ได้หย่ากับนาง แล้ว เราได้ให้เจ้าแต่งงานกับนางเพื่อที่จะไม่เป็นที่ลำบากใจแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายใน
เรื่องการ (การสมรสกับ) ภริยาของบุตรบุญธรรมของพวกเขา
เมื่อพวกเขาหย่ากับพวกนางแล้วและพระบัญชาของอัลลอฮ์นั้นจะต้อง บรรลุผลเสมอ
[33.38] ไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่ท่านนบี
ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้แก่เขา (นี่คือ) แนวทางของอัลลอฮ์ (ที่ได้มีขึ้นแล้ว)
ต่อบรรดาผู้ได้ล่วงลับในสมัยก่อน และพระบัญชาของอัลลอฮ์นั้นได้กำหนดไว้แล้ว
[33.39] บรรดา (นบี)
ผู้ที่ได้เผยแผ่สาสน์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และพวกเขากลัวเกรงพระองค์
และไม่กลัวเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงชำระสอบสวน
[33.40]
มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า
แต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี
[33.41] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย!
จงรำลึกถึงอัลลอฮ์โดยการรำลึกอย่างมากมาย
[33.42]
และแซ่ซ้องสะดุดีพระองค์ทั้งยามเช้าและยามเย็น
[33.43] พระองค์คือผู้ทรงประทานความเมตตาให้แก่พวกเจ้า
และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ด้วย
เพื่อพระองค์จะทรงนำพวกเจ้าออกจากความมืดทึบทั้งหลายสู่ความสว่าง
และพระองค์ทรงเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาเสมอ
[33.44]
การกล่าวคำทักทายของพวกเขาในวันที่พวกเขาพบพระองค์คือ ศานติ (สลาม) และพระองค์ทรงเตรียมรางวัลอันมีเกียรติไว้ให้แก่พวกเขาแล้ว
[33.45] โอ้ นบีเอ๋ย! แท้จริง
เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้เป็นพยาน และผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือน
[33.46]
และเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ ตามพระบัญชาของพระองค์
และเป็นดวงประทีปอันแจ่มจรัส
[33.47] และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า
แท้จริง สำหรับพวกเขาจะได้รับความโปรดปรานอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮ์
[33.48]
และอย่าเชื่อฟังพวกปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิกีน และอย่าสนใจการระรานของพวกเขา
และจงมอบความไว้วางใจแด่อัลลอฮ์ และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้รับการมอบหมาย
[33.49] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย!
เมื่อพวกเจ้าได้สมรสกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา
แล้วพวกเจ้าได้หย่าพวกเธอก่อนที่พวกเจ้าจะแตะต้องตัวพวกเธอ
(คือร่วมหลับนอนกับพวกเธอ) ดังนั้น สำหรับพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ (ที่จะให้พวกเธออยู่)
ในอิดดะฮ์ โดยที่พวกเจ้าจะนับเวลาการอยู่ในอิดดะฮ์ ฉะนั้น พวกเจ้าจงให้ผลประโยชน์แก่พวกเธอบ้าง
แล้วปล่อยให้พวกเธอจากไปโดยดีงาม
[33.50] โอ้ นบีเอ๋ย!
เราได้อนุมัติแก่เจ้าในบรรดาภริยาของเจ้า ซึ่งเจ้าได้มอบมะฮัรแก่พวกเธอ
และสิ่งที่มือขวาของเจ้าครอบครองจากพวกที่อัลลอฮ์ทรงมอบหมายให้แก่เจ้า
และบุตรสาวของอา ลุง ของเจ้า และบุตรสาวของอา ป้า ของเจ้า และบุตรสาวของน้า ลุง
ของเจ้า และบุตรสาวของน้า ป้า ของเจ้า ซึ่งพวกเธอได้อพยพร่วมไปกับเจ้า
และหญิงผู้ศรัทธาเมื่อนางเสนอตัวของนางแก่ท่านนบีหากท่านนบีปรารถนาจะสมรสกับนางทั้งนี้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะมิใช่สำหรับบรรดา
ผู้ศรัทธา แน่นอนเรารู้ดีถึงสิ่งที่เราได้กำหนด
แก่พวกเขาในเรื่องบรรดาภริยาของพวกเขา และสิ่งที่มือขวาของพวกเขาครอบครอง เพื่อ
ที่จะไม่เป็นที่ลำบากใจแก่เจ้าและอัลลอฮ์เป็น ผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[33.51]
เจ้ามีสิทธิ์ที่จะหย่าผู้ที่เจ้าปรารถนาในหมู่พวกเธอ และเจ้าจะรับผู้ที่เจ้าประสงค์มาอยู่ร่วมกับเจ้า
และผู้ใดที่เจ้าต้องการ (ให้มาอยู่ร่วม) จากผู้ที่เจ้าเคยแยกกันอยู่
ก็ไม่เป็นที่ตำหนิแก่เจ้า นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่จะทำให้นัยตาของพวกเธอรื่นรมย์
และไม่ทำให้พวกเธอเศร้าโศก และพวกเธอพอใจในสิ่งที่เจ้าได้ให้แก่พวกเธอทั้งหมด
และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงขันติธรรม
[33.52]
ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เจ้าที่จะแต่งงานกับหญิงอื่นหลังจากนี้
และเจ้าอย่าได้เปลี่ยนพวกเธอเพื่อภริยาอื่น ๆ
ถึงแม้ว่าความสวยงามของพวกเธอจะทำให้เจ้าพอใจก็ตาม นอกจากสิ่งที่มือขวาของเจ้าครอบครอง
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่าง
[33.53] โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าอย่าได้เข้าไปในบ้านทั้งหลายของนบี
เว้นแต่จะเป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้า
เพื่อรับประทานอาหารโดยมิต้องคอยการปรุงอาหารให้สุกเสียก่อน
แต่เมื่อพวกเจ้าได้รับเชิญก็จงเข้าไปครั้นเมื่อพวกเจ้ารับประทานเสร็จแล้วก็จงแยกย้ายกันออกไป
และอย่าเป็นผู้ชอบวิสาสะในการสนทนา แท้จริง ในการนั้นย่อมทำความรำคาญให้แก่ท่านนบี
ซึ่งท่านกระดากอายพวกเจ้า แต่อัลลอฮ์ไม่ทรงกระดากอายต่อความจริง
และเมื่อพวกเจ้าขอสิ่งใดจากพวกนาง ก็จงขอพวกนางจากหลังม่าน
เช่นนั้นแหละเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกเจ้าและจิตใจของพวกนาง
และไม่เป็นการบังควรแก่พวกเจ้าที่จะก่อความรำคาญให้แก่ร่อซู้ลของอัลลอฮ์
และพวกเจ้าจะต้องไม่แต่งงานกับบรรดาภริยาของท่าน หลังจากท่าน (ได้สิ้นชีพไปแล้ว)
เป็นอันขาด แท้จริงในการนั้น ณ ที่อัลลอฮ์เป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงนัก
[33.54] หากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งใดหรือปิดบังมัน
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
[33.55] ไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกนาง
เกี่ยวกับบิดาของพวกนาง และลูก ๆ ของพวกนางและพี่น้องผู้ชายของพวกนาง
และลูกชายของพี่น้องหญิงของพวกนาง และบรรดาผู้หญิงของพวกนาง
และสิ่งที่มือขวาของพวกนางครอบครอง และพวกนางยำเกรงต่ออัลลอฮ์ แท้จริง
อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง
[33.56]
แท้จริงอัลลอฮ์และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ประสาทพรแก่นบี โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ
[33.57] แท้จริง
บรรดาผู้กล่าวร้ายแก่อัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งพวกเขาทั้งในโลกนี้และปรโลก
และทรงเตรียมการลงโทษอันอัปยศไว้สำหรับพวกเขา
[33.58]
และบรรดาผู้กล่าวร้ายแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง
ในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำ แน่นอนพวกเขาได้แบกการกล่าวร้าย และบาปอันชัดแจ้งไว้
[33.59] โอ้นบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า
และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง
นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน
และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
[33.60] แน่นอน
ถ้าพวกมุนาฟิกีนและบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค
และกลุ่มผู้ก่อกวนความสงบในนครมะดีนะฮ์ไม่ระงับ (การกระทำที่เลวทรามของพวกเขา)
แน่นอน เราจะให้เจ้ามีอำนาจเหนือพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่กลับมาพำนักเป็นเพื่อนบ้านของเจ้าในนั้นอีกเว้นแต่เพียงชั่วเวลาอันเล็กน้อยเท่านั้น
[33.61] พวกเหล่านั้นถูกสาปแช่ง
ไม่ว่าพวกเขาจะถูกพบ ณ แห่งหนใด ก็จะถูกจับกุมและถูกสังหาร (โดยปราศจากความเมตตา)
[33.62]
นั่นคือแนวทางของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อน และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในแนวทางของอัลลอฮ์
[33.63] มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ ณ ที่อัลลอฮ์
และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง
[33.64] แท้จริง อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
และทรงเตรียมไฟที่ลุกโชติช่วงไว้สำหรับพวกเขา
[33.65] พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
พวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือ
[33.66]
วันที่ใบหน้าของพวกเขาจะถูกพลิกกลับไปกลับมาในไฟนรก พวกเขาจะกล่าวว่า
โอ้ความระทมทุกข์ของเรา !
หากเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์
และเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซู้ลก็จะดีหรอก !!
[33.67] และพวกเขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงเราได้เชื่อฟังปฏิบัติตามบรรดาหัวหน้าของเรา
และบรรดาผู้นำของเรา ดังนั้นพวกเขาได้ทำให้พวกเราหลงทาง
[33.68] ข้าแต่พระเจ้าของเรา ได้โปรดลงโทษพวกเขาสองเท่าเถิด
และทรงสาปแช่งพวกเขาซึ่งการสาปแช่งอันยิ่งใหญ่
[33.69] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้สบประมาทมูซา
แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงให้เขาพ้นจากที่พวกเขากล่าวร้าย และเขาเป็นผู้ควรแก่การคารวะ ณ
ที่อัลลอฮ์
[33.70] โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงยำเกรงอัลลอฮ์ และจงกล่าวถ้อยคำที่เที่ยงธรรมเถิด
[33.71]
พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า
และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์แล่ะร่อซู้ลของพระองค์
แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง
[33.72] แท้จริงเราได้เสนอการอะมานะฮ์
แก่ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และขุนเขาทั้งหลาย
แต่พวกมันปฏิเสธจะแบกรับมันและกลัวต่อมัน (คือภาระอันหนักอึ้ง)
และมนุษย์ได้แบกรับมัน แท้จริงเขา (มนุษย์) เป็นผู้อธรรมงมงายยิ่ง
[33.73]
เพื่ออัลลอฮ์จะได้ทรงลงโทษแก่พวกมุนาฟิกีนชายและพวกมุนาฟิกีนหญิง
และบรรดาผู้ตั้งภาคีชาย (มุชริกีน) และบรรดาผู้ตั้งภาคีหญิง (มุชริก๊าต)
และเพื่ออัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย และบรรดาผู้ศรัทธาหญิง
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
34. ซูเราะห์สะบะอ์
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี
[34.1]
บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
และบรรดาการสรรเสริญในปรโลกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญ
[34.2] พระองค์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่เข้าไปอยู่ในแผ่นดิน
และสิ่งที่ออกมาจากมัน และสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้า และสิ่งที่ขึ้นไปสู่ในนั้น
และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงอภัยเสมอ
[34.3] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า
วันอวสานนั้นจะไม่มาถึงเราดอก จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด หามิได้ ขอสาบานด้วยพระเจ้าของฉัน
ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย มันจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านอย่างแน่นอน
ไม่มีแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดิน
และที่เล็กยิ่งกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น จะรอดพ้นจากพระองค์
เว้นแต่จะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น
[34.4] เพื่อที่พระองค์จะทรงตอบแทนแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลายชนเหล่านั้น
สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติ (คือสวนสวรรค์)
[34.5]
ชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเลวร้ายอย่างเจ็บปวด
[34.6] ตระหนักดีว่า
สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม
และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[34.7] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าว
(เยาะเย้ย) ว่า
เราจะชี้แนะแก่พวกท่านไหมเล่าถึงชายคนหนึ่งที่เขาจะบอกเล่าแก่พวกท่านว่า
เมื่อพวกท่านถูกทำให้แตกสลายกระจัดกระจายเป็นผุยผงแล้ว
พวกท่านจะถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่
[34.8] เขาได้ปั้นความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว?
หามิได้! บรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น
จะอยู่ในการลงโทษและการหลงผิดอันไกลลิบ
[34.9] พวกเขามิเห็นดอกหรือ
ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
ที่มีอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน
หากเราประสงค์เราจะให้แผ่นดินสูบพวกเขาลงไปหรือเราจะให้ส่วนต่าง ๆ
จากท้องฟ้าหล่นลงมาบนพวกเขา แท้จริง
ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอนแก่บ่าวทุกคนที่หันหน้าเข้าสู่อัลลอฮ์
[34.10] และโดยแน่นอน เราได้ให้ความโปรดปรานจากเราแก่ดาวู๊ด
โอ้ภูเขาเอ๋ย จงแซ่ซ้องสดุดีพร้อมกับเขาและนกด้วย
และเราได้ทำให้เหล็กอ่อนสำหรับเขา
[34.11]
เจ้าจงทำเสื้อเกราะและทำห่วงของมันให้ได้สัดส่วน และพวกเจ้าจงทำความดีเถิดแท้จริง
ข้านั้นรู้เห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[34.12] และเราได้ให้มีลมพัดแก่สุลัยมาน
ซึ่งมันจะพัดไปในยามเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน
และมันจะพัดกลับในยามเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน
และเราได้ให้ไหลมาแก่เขาซึ่งตาน้ำทองเหลือง
(คือให้ทองเหลืองที่หลอมตัวเป็นตาน้ำไหลมาสำหรับสุลัยมาน) ในหมู่ญินนั้น
มีผู้ทำงานอยู่เบื้องหน้าเขาด้วย อนุมัติแห่งพระเจ้าของเขา
และผู้ใดในหมู่พวกเขาหันเหจากพระบัญชาของเรา
เราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกโชติช่วง
[34.13] พวกเขา (ญิน) ทำงานให้เขา (สุลัยมาน)
ตามที่เขาต้องการ (เช่นสร้าง) ปราสาทหลายแห่งที่สูงตระหง่าน และบรรดาหุ่นจำลอง
และบรรดาโคมใส่อาหารมีขนาดเท่าบ่อน้ำและบรรดาหม้อสำหรับหุงอาหารตั้งอยู่กับที่
พวกเจ้าจงทำงานเถิด วงศ์วานของดาวู๊ดเอ๋ย! ด้วยการขอบคุณ
และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราที่เป็นผู้ขอบคุณ
[34.14] ครั้นเมื่อเราได้กำหนดความตายแก่เขา
มิได้มีสิ่งใดบ่งชี้แก่พวกเขาถึงความตายของเขา
นอกจากปลวกใต้ดินแทะกินไม้เท้าของเขา ดังนั้น
เมื่อเขาล้มลงพวกญินก็รู้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยแล้ว
พวกเขาจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่น่าอดสูเช่นนี้
[34.15] โดยแน่นอน
สำหรับพวกสะบะอ์นั้นมีสัญญาณหนึ่งในที่อาศัยของพวกเขา
มีสวนสองแห่งทางขวาและทางซ้าย พวกเจ้าจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระเจ้าของพวกเจ้า
และจงขอบคุณต่อพระองค์ อันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และมีพระเจ้าผู้ทรงอภัย
[34.16] แต่พวกเขาได้ผินหลัง ดังนั้น
เราจึงปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ท่วมพวกเขา
และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขาสวนสองแห่งของพวกเขา แทนสวนอีกสองแห่ง
มีผลไม้ขมและต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย
[34.17] เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเรามิได้ลงโทษผู้ใด (ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้)
นอกจากพวกเนรคุณ
[34.18] ระหว่างพวกเขาและระหว่างหัวเมืองต่าง
ๆ ซึ่งเราได้ให้ความจำเริญในนั้น เราได้ให้มีขึ้นซึ่งหัวเมืองที่เด่นชัด
และเราได้กำหนดการเดินทางไว้ในนั้น พวกเจ้าจงเดินทางไปตามนั้นเถิด
ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างปลอดภัย
[34.19] และพวกเขาได้อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง
ดังนั้นเราจึงได้ทำให้พวกเขาเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมา
[34.20] และโดยแน่นอน
อิบลีสได้ทำให้การนึกคิดของมันที่มีต่อพวกเขาเป็นจริง
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ปฏิบัติตามมัน เว้นแต่ส่วนน้อยของบรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น
[34.21] และมันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกเขา
เว้นแต่เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดศรัทธาต่อวันปรโลก
จากผู้ที่เขามีความสงสัยในเรื่องนั้น และพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงดูแลคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่าง
[34.22] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาที่พวกท่านจินตนาการ (ว่าเป็นพระเจ้า)
อื่นจากอัลลอฮ์พวกมันมิได้ครอบครองแม้แต่เพียงน้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดินและพวกมันมิได้มีหุ้นส่วนในทั้งสองนั้น และสำหรับพระองค์นั้นมิได้มีผู้ช่วยเหลือมาจากพวกมัน
[34.23] การชะฟาอะฮ์ จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ณ
ที่พระองค์ นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงอนุญาตแก่เขา
จนกระทั่งเมื่อความหวาดกลัวได้คลายจากจิตใจของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า
พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ พวกเขากล่าวว่าสัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด
ผู้ทรงยิ่งใหญ่
[34.24] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน จากชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์ และแท้จริงไม่เราก็พวกท่านแน่นอน ที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง
หรืออยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[34.25] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับที่เราทำผิด
และเราก็จะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับพวกที่ท่านกระทำ*
[34.26] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พระเจ้าของเราจะทรงรวบรวมพวกเราทั้งหมด
แล้วพระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเราด้วยความจริง และพระองค์คือผู้ทรงตัดสิน
ผู้ทรงรอบรู้
[34.27] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจงแสดงให้ฉันเห็นบรรดาที่พวกท่านได้นำไปตั้งเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ ไม่ดอก!
พระองค์คืออัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[34.28] และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด
เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย
แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้*
[34.29] และพวกเขากล่าวว่า
เมื่อใดเล่าสัญญานี้ (จะมาถึง) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[34.30] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
สำหรับพวกท่านมีกำหนดวันวันหนึ่งซึ่งพวกท่านจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าสักระยะหนึ่งก็ไม่ได้
และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็ไม่ได้
[34.31] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า
เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้ และต่อสิ่งที่มีมาก่อนอัลกุรอาน และหากเจ้า
(มุฮัมมัด) ได้เห็นเมื่อบรรดาผู้อธรรมจะถูกให้หยุดยืนต่อหน้าพระเจ้าของพวกเขา
บางคนในพวกเขาจะกล่าวซัดถ้อยคำแก่อีกคนหนึ่ง บรรดาผู้อ่อนแอกว่า (ลูกน้อง)
กล่าวแก่บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ว่า หากมิใช่พวกท่านแล้ว แน่นอน
พวกเราคงได้เป็นผู้ศรัทธากันแล้ว*
[34.32] บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า)
ก็กล่าวแก่บรรดาผู้อ่อนแอ (ลูกน้อง) ว่า
พวกเรานะหรือที่ได้หน่วงเหนี่ยวพวกท่านจากแนวทางที่ถูกต้องหลังจากที่มันได้มายังพวกท่าน
มิใช่เช่นนั้นแต่พวกท่านเองเป็นผู้กระทำผิด
[34.33] บรรดาผู้อ่อนแอ (ลูกน้อง)
กล่าวแก่บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ว่า มิใช่เช่นนั้นดอก!
แต่มันเป็นแผนการทั้งกลางคืนและกลางวัน
เมื่อพวกท่านใช้ให้พวกเราปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และให้เราตั้งภาคีคู่เคียงกับพระองค์
และพวกเขาจะซ่อนความสำนึกผิดเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ
และเราได้คล้องพันธนาการที่คอของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนใด ๆ นอกจากที่พวกเขาได้กระทำไว้
[34.34]
และเรามิได้ส่งผู้ที่ตักเตือนคนใดไปยังเมืองใด นอกจากบรรดาผู้ฟุ่มเฟือยของมันจะกล่าวว่า
แท้จริง เราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา
[34.35] และพวกเขาได้กล่าวอีกว่า
พวกเรามีทรัพย์สินและลูกหลานมากกว่า และพวกเราจะไม่ถูกลงโทษ*
[34.36] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริง
พระเจ้าของฉันทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้คับแคบ
แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[34.37] และมิใช่ทรัพย์สินของพวกเจ้า
และมิใช่ลูกหลานของพวกเจ้าที่จะทำให้พวกเจ้าใกล้ชิดสนิทกับเรา นอกจากผู้ศรัทธาและกระทำความดี
ดังนั้นชนเหล่านั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับการตอบแทนเป็นสองเท่า
ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์อย่างผู้ปลอดภัย
[34.38]
และบรรดาผู้มุ่งมั่นเพื่อทำลายล้างสัญญาณทั้งหลายของเราชนเหล่านั้นจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้า
(เรา) ในการลงโทษ
[34.39] จงกล่าวเถิด แท้จริง
พระเจ้าของฉันทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์
และทรงให้แคบแก่เขา และอันใดที่พวกเจ้าบริจาคสิ่งใดก็ดีพระองค์จะทรงทดแทนมัน
และพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศแห่งบรรดาผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
[34.40] และวันที่พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเขาทั้งหมด
แล้วพระองค์จะตรัสแก่มะลาอิกะฮ์ว่า พวกเขาเหล่านั้นนะหรือที่เคารพภักดีต่อพวกเจ้า
[34.41] พวกเขา (มะลาอิกะฮ์) กล่าวว่า
มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองพวกข้าพระองค์ มิใช่พวกเขา
แต่พวกเขาเคารพภักดีญิน (ชัยตอน) ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาต่อพวกมัน (ชัยตอน)
[34.42] ดังนั้น
วันนี้บางคนในพวกเจ้าไม่มีอำนาจที่จะให้คุณและให้โทษซึ่งกันและกัน
และเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้กระทำผิดเหล่านั้นว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรก
ซึ่งพวกเจ้าได้ปฏิเสธมัน
[34.43] และเมื่อบรรดาอายาตอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขา
(มุชริกีน) แล้วพวกเขากล่าวว่านี่มิใช่ใครอื่น
นอกจากชายคนหนึ่งที่ปรารถนาจะยับยั้งท่าน
จากการที่บรรพบุรุษของพวกท่านได้เคารพภักดีมาก่อน
และพวกเขากล่าวว่านี่มิใช่อะไรอื่น นอกจากเรื่องเท็จที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวในเรื่องของสัจธรรม
เมื่อมันได้มีมายังพวกเขาว่านี่มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเล่ห์กลอย่างชัดแจ้ง
[34.44]
และเรามิได้ประทานบรรดาคัมภีร์ให้แก่พวกเขา (เพื่อให้)
พวกเขาศึกษาค้นคว้ากันและเราก็มิได้ส่ง (บรรดารอซูล) ไปยังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า
(ในฐานะ) เป็นผู้ตักเตือน
[34.45]
และบรรดาผู้มาก่อนหน้าพวกเขาก็ได้ปฏิเสธ (สัจธรรมมาแล้ว) และพวกเขา (กุเรชมักกะฮ์)
มิได้มีถึงหนึ่งในสิบของที่เราได้ให้ (ความมั่งคั่ง) แก่พวกเขา กระนั้นก็ดี
พวกเขาก็ได้ปฏิเสธบรรดารอซูลของข้า ดังนั้น การปฏิเสธ (ต่อข้าจะมีผล) เป็นอย่างไร
(ต่อพวกเขา)
[34.46] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ฉันขอเตือนพวกท่านเพียงข้อเดียวว่า พวกท่านจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮ์ (ครั้งละ)
สองคนและคนเดียว แล้วจงไตร่ตรองดู (ก็จะประจักษ์ว่า)
สหายของพวกท่านนั้นมิได้เป็นบ้า
แต่เขาเป็นเพียงผู้ตักเตือนพวกท่านถึงการเผชิญหน้ากับการลงโทษอย่างสาหัสเท่านั้น
[34.47] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ไม่มีรางวัลอันใดที่ฉันจะขอจากพวกท่าน เพราะมันเป็นของพวกท่าน
แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮ์ และพระองค์ทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง
[34.48] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงให้ความจริงทำลาย (ความเท็จเพราะพระองค์เป็น)
ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย
[34.49] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
เมื่อความจริงได้ปรากฏขึ้น ความเท็จก็จะไม่เกิดขึ้นและจะไม่กลับมาอีก
[34.50] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
หากฉันหลงผิดฉันก็หลงผิดเฉพาะตัวของฉันเอง แต่ถ้าฉันอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
นั่นก็คือพระเจ้าของฉันได้ทรงวะฮีย.แก่ฉัน
แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงใกล้ชิด
[34.51]
และหากเจ้าได้เห็นเขาที่พวกเขาตื่นตระหนกตกใจ แล้วไม่มีทางหนีรอด
และพวกเขาจะถูกจับเอาไปจากสถานที่อันใกล้
[34.52] และพวกเขาก็จะกล่าวว่า
พวกเราได้ศรัทธาต่อมัน (ความจริง) แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาเรียกร้องจากสถานที่อันใกล้เช่นนี้
[34.53] และแน่นอน พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธามัน
(ความจริง) มาก่อนแล้วและพวกเขาขว้างทิ้ง (ปฏิเสธ) สิ่งเร้นลับจากสถานที่อันไกล
[34.54]
และระหว่างพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาต้องการมีสิ่งกีดขวาง ดั่งเช่นที่ได้ถูกปฏิบัติมาก่อนแล้วกับพลพรรคของพวกเขา
แท้จริงพวกเขานั้นอยู่ในความสงสัย ความสนเท่ห์
35. ซูเราะห์ฟาฏิร
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[35.1]
บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
ผู้ทรงแต่งตั้งมลาอิกะฮ์ให้เป็นผู้นำข่าว ผู้มีปีกสอง สาม และสี่
ทรงเพิ่มในการสร้างตามที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริง
อัลลอฮ์นั้นเป็นผุ้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[35.2]
สิ่งใดที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้จากความเมตตาแก่มนุษย์ชาติ ไม่มีผู้ยับยั้งมันได้
และสิ่งใดที่พระองค์ทรงยับยั้งไว้ ก็ไม่มีผู้ใดให้มันได้หลังจาก (การยับยั้ง)
ของพระองค์และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[35.3] โอ้มนุษย์เอ๋ย!
พวกเจ้าจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า
จะมีพระผู้สร้างอื่นใดจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่จะประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากฟากฟ้าและแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์
ดังนั้น ทำไมเล่าพวกเจ้าจึงถูกหลอกลวงให้หันห่างออกไป (จากความจริง)
[35.4]
และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันของพวกเขาว่า
หากมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา
แน่นอนพวกเขาก็จะเป็นประชาชาติหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องยิ่ง (กว่าประชาชาติอื่น
ๆ) ครั้นเมื่อได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา
มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขานอกจากการเตลิดหนี
[35.5] โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริงเสมอ ดังนั้น
อย่าให้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ล่อลวงพวกเจ้า และอย่าให้การหลอกล่อ (ชัยตอน)
มาล่อลวงพวกเจ้าเกี่ยวกับอัลลอฮ์เป็นอันขาด
[35.6] แท้จริง
มารชัยตอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู แท้จริง
มันเรียกร้องพลพรรคของมัน เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง
[35.7] บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันสาหัส ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันยิ่งใหญ่
[35.8] ดังนั้น
ผู้ที่ความชั่วแห่งการงานของเขาได้ถูกนำให้เพริศแพร้วแก่เขา
แล้วเขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งดีกระนั้นหรือ ? แท้จริง
อัลลอฮ์จะทรงทำให้หลงผิดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
ดังนั้น เจ้าอย่าทำให้จิตใจของเจ้ากลับกลายเป็นระทมทุกข์ เนื่องเพราะพวกเขา
แท้จริง อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ
[35.9] และอัลลอฮ์ซึ่งทรงส่งลมทั้งหลายออกไป
และมันได้หอบเป็นเมฆขึ้น แล้วเราได้ให้มันพัดพาไปยังดินแดนที่แห้งแล้ง
แล้วเราได้ให้แผ่นดินนั้นมีชีวิต (ชุ่มชื้นด้วยน้ำฝน) หลังจาการแห้งแล้งของมัน
เช่นนั้นแหละการฟื้นคืนชีพ
[35.10] ผู้ใดต้องการอำนาจ ดังนั้น
อำนาจทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์ คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน
และบรรดาผู้วางแผนชั่วร้ายทั้งหลายนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
และแผนการณ์ของชนเหล่านั้นย่อมจะพินาศ
[35.11]
และอัลลอฮ์ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากฝุ่นดิน แล้วก็มาจากเชื้ออสุจิ
แล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นคู่สามีภริยา และจะไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์และนางจะไม่คลอด
เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และไม่มีผู้สูงอายุคนใดจะถูกยืดอายุออกไป
และอายุของเขาก็จะไม่ถูกตัดทอน เว้นแต่อยู่ในบันทึก (ของพระองค์) แท้จริง
นั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์
[35.12] และทะเลทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน
อันนี้จืดสนิทอร่อยน่าดื่ม พอใจในเครื่องดื่มของมัน และอันนี้เค็มจัด
และจากแต่ละทุกแห่งนั้น พวกเจ้าจะได้กินเนื้ออันอ่อนนุ่ม และพวกเจ้า เอาออกมาจาก
(ทะเลทั้งสอง) เครื่องประดับ เพื่อใช้มันเป็นอาภรณ์ และเจ้าเห็นเรือแล่น
ฝ่าผิวน้ำไป เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์
และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
[35.13]
พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน
และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน
และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์)
ทุกสิ่งโคจรไปตามวาระที่ได้กำหนดไว้ นั่นคือ อัลลอฮ์พระเจ้าของพวกเจ้า อำนาจการปกครองทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของพระองค์
และสิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้นพวกมันมิได้ครอบครองสิ่งใดแม้แต่เยื่อบางหุ้มเมล็ดอินทผลัม
[35.14] หากพวกเจ้าวิงวอนขอพวกมัน
พวกมันจะไม่ได้ยินการวิงวอนของพวกเจ้า
ถึงแม้พวกมันได้ยินพวกมันก็จะไม่ตอบรับพวกเจ้า และในวันกิยามะฮ์พวกมันจะปฏิเสธการตั้งภาคีของพวกเจ้า
และไม่มีผู้ใดแจ้งแก่เจ้าได้นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ ตระหนักยิ่ง
[35.15] โอ้มนุษย์เอ๋ย ! พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสนต้องการพึ่งอัลลอฮ์ แต่อัลลอฮ์นั้น
พระองค์ทรงมั่งมีอย่างล้นเหลือ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[35.16] หากพระองค์ทรงประสงค์
พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าสูญสิ้นไป และจะทรงนำมาซึ่งกลุ่มชนรุ่นใหม่
[35.17]
และในการณ์นั้นมิใช่เป็นการยากแก่อัลลอฮ์ เลย
[35.18]
และไม่มีผู้แบกภาระคนใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้ และ
ถ้าผู้ที่แบกภาระหนักอยู่แล้วขอร้อง (ผู้อื่น) ให้ช่วยแบกมัน ก็จะไม่มีสิ่งใดถูกแบกออกจากเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นญาติสนิทก็ตาม
แท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนบรรดาผู้เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาในสิ่งเร้นลับ
และพวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและผู้ใดขัดเกลาตนเอง แท้จริง
เขาก็ขัดเกลาเพื่อตัวของเขาเอง และยังอัลลอฮ์เท่านั้นคือการกลับไป
[35.19] และคนตาบอดกับคนตาดีนั้น
ย่อมไม่เหมือนกัน
[35.20] และความมืดทึบกับแสงสว่าง
ก็ไม่เหมือนกัน
[35.21] และที่เงาร่มกับที่ร้อนแดด
ก็ไม่เหมือนกัน
[35.22] และคนเป็นกับคนตายนั้น
ย่อมไม่เหมือนกัน แท้จริง อัลลอฮ์ทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ยิน
และเจ้าไม่สามารถที่จะให้ผู้ที่อยู่ในหลุมฝังศพได้ยินได้
[35.23]
เจ้ามิใช่อื่นใดนอกจากเป็นผู้ตักเตือนเท่านั้น
[35.24] แท้จริงเราได้ส่งเจ้ามาด้วยสัจธรรม
เป็นผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน และไม่มีประชาชาติใด (ในอดีต)
เว้นแต่จะต้องมีผู้ตักเตือน (ถูกส่งมา) ยังพวกเขา
[35.25] และหากพวกเขาปฏิเสธเจ้า
แน่นอนบรรดาผู้ที่มีมาก่อนพวกเขาก็ได้ปฏิเสธ (มาก่อน) แล้ว
บรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขา และด้วยคัมภีร์ต่าง
ๆและคัมภีร์อันแจ่มจรัส
[35.26] และข้าได้ลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธ ศรัทธา
ดังนั้น การปฏิเสธต่อเราจะ (มีผล) เป็นอย่างไร (ต่อพวกเขา)
[35.27] เจ้ามิได้พิจารณาดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า
แล้วเราได้ให้พืชผลงอกเงยออกมาด้วยกัน (จากน้ำ) สีสรรของมันแตกต่างกันไป
และในหมู่ภูเขาทั้งหลายมีชนิดต่าง ๆ ขาวและแดง หลากหลายสี และสีดำสนิท
[35.28] และในหมู่มนุษย์ และสัตว์ และปศุสัตว์
ก็มีหลากหลายสีเช่นเดียวกัน แท้จริง
บรรดาผู้ที่มีความรู้จากปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้นที่เกรงกลัวอัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงอภัยเสมอ
[35.29] แท้จริง
บรรดาผู้อ่านคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และดำรงการละหมาด และบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา
โดยซ่อนเร้นและเปิดเผย เพื่อหวังการค้าที่ไม่ซบเซา (ขาดทุน)
[35.30]
เพื่อพระองค์จะทรงตอบแทนรางวัลของพวกเขา
ให้แก่พวกเขาอย่างครบถ้วนและจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์
แท้จริง พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงชื่นชม (เพราะการภักดีของพวกเขา)
[35.31]
และคัมภีร์ที่เราได้ให้แก่เจ้านั้นมันคือสัจธรรม
เป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้มีมาก่อนมัน แท้จริง อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงตระหนัก
ผู้ทรงเห็น ต่อปวงบ่าวของพระองค์
[35.32] และเราได้ให้คัมภีร์ เป็นมรดกสืบทอดมา
แก่บรรดาผู้ที่เราคัดเลือกแล้วจากปวงบ่าวของเรา
บางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเอง
และบางคนในหมู่พวกแป็นผู้เดินสายกลางและบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้รุดหน้าในการทำความดีทั้งหลาย
ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ นั่นคือความโปรดปรานอันใหญ่หลวง
[35.33] สวนสวรรค์หลากหลายเป็นที่พำนักอันสถาพร
พวกเขาจะเข้าไปอยู่ในนั้น ในสวนสวรรค์พวกเขาจะได้ประดับด้วยกำไลทองและไข่มุก
และอาภรณ์ของพวกเขาในนั้นคือผ้าไหม
[35.34] และพวกเขากล่าวว่า
"บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงขจัดความระทมทุกข์ออกจากเรา
แท้จริงพระเจ้าของเราเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงชื่นชม (ต่อผู้จงรักภักดีต่อพระองค์)
[35.35]
ซึ่งพระองค์ทรงให้เราได้พำนักในสถานที่พำนักอันสถาพร ด้วยความโปรดปรานของพระองค์
ความเหน็ดเหนื่อยจะไม่ประสบแก่เราในนั้น และความเบื่อหน่าย
ก็จะไม่ประสบแก่เราในนั้น
[35.36] ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
พวกเขาจะได้รับไฟนรกญะฮันนัม (เป็นการตอบแทน)
จะไม่ถูกตัดสินลงโทษให้พวกเขาตายเพื่อที่พวกเขาจะได้ตาย
และการลงโทษของมันก็จะไม่ถูกลดหย่อนแก่พวกเขา
เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนแก่ทุกผู้เนรคุณ (ปฏิเสธศรัทธา)
[35.37] และพวกเขาจะตะโกนอยู่ในนรกนั้นว่า
"ข้าแต่พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ได้ทรงโปรดนำเราออกไป (จากนรก)
เพื่อเราจะได้ปฏิบัติการงานที่ดี อื่นจากที่เราได้ปฏิบัติไปแล้ว"
และเรามิได้ให้อายุของพวกเจ้ายืนนานพอดอกหรือ
เพื่อผู้ที่ใคร่ครวญจะได้รำลึกถึงข้อตักเตือนและ (ยิ่งกว่านั้น)
ได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงลิ้มรส (การลงโทษ) เถิด
เพราะสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือ
[35.38] แท้จริง
อัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก
[35.39]
พระองค์คือผู้ทรงแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นตัวแทนรับช่วงในแผ่นดิน ดังนั้น
ผู้ใดปฏิเสธศรัทธา การปฏิเสธของเขาก็จะตกอยู่แก่เขา
และการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกปฏิเสธศรัทธา ณ
ที่พระเจ้าของพวกเขาเลย นอกจากความอัปยศอดสู
และการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกปฏิเสธศรัทธา
นอกจากความหายนะ
[35.40] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ
บรรดาภาคี (เจว็ด)
ของพวกท่านที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์
จงแสดงให้ฉันเห็นซิว่าพวกมันได้สร้างอะไรในแผ่นดินนี้ หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมในชั้นฟ้าทั้งหลาย หรือว่าเราได้ให้คัมภีร์แก่พวกมัน
พวกมันจึงยึดมั่นอยู่บนหลักฐานจากมัน เปล่าดอก บรรดาผู้อธรรมนั้นต่างก็มิได้มีสัญญาอะไรต่อกัน
นอกจากการหลอกลวงเท่านั้น
[35.41] แท้จริง
อัลลอฮ์ทรงค้ำจุนชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเอาไว้ มิให้มันหล่นลงมา
และหากมันทั้งสองหล่นลงมา ก็ไม่มีผู้ใดค้ำจุนมันทั้งสองไว้ได้ นอกจากพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงขันติ
ผู้ทรงอภัยเสมอ
[35.42]
และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์ด้วยการสาบานอย่างแข็งขันว่า
หากมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา
แน่นอนพวกเขาก็จะเป็นประชาชาติหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องยิ่ง
(กว่าประชาชาติอื่นๆ) ครั้นเมื่อได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา
มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขานอกจากการเตลิดหนี
[35.43] ด้วยการหยิ่งยะโสในแผ่นดิน
และการวางแผนชั่ว แต่แผนชั่วนั้นจะไม่ห้อมล้อมผู้ใด นอกจากเจ้าของของมันเท่านั้น
พวกเขาจะคอยอะไรอีกเล่า นอกจากแนวทางของบรรพชน ดังนั้น
เจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงในแนวทางของอัลลอฮ์
และเจ้าจะไม่พบการบิดเบือนในแนวทางของอัลลอฮ์แต่ประการใด
[35.44]
พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่า
บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขานั้นเป็นเช่นใด ? เป็นที่ปรากฏว่าพวกเหล่านั้นมีพลังเข้มเข็งกว่าพวกเขา และอัลลอฮ์นั้น
ไม่มีสิ่งใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะทำให้พระองค์หมดความสามารถไปได้
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงอานุภาพเสมอ
[35.45]
และหากอัลลอฮ์จะทรงเอาโทษมนุษย์ตามที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้แล้ว
พระองค์จะไม่ทรงให้เหลือไว้บนหน้าแผ่นดินซึ่งสัตว์โลกต่าง ๆ แต่ว่าพระองค์ทรงประวิงเวลาให้พวกเขาจนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้
ครั้นเมื่อวาระกำหนดของพวกเขาได้มาถึง เมื่อนั้นแหละ
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวของพระองค์เสมอ
36. ซูเราะห์ยาซีน
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[36.1] ยาซีน
[36.2] ขอสาบานด้วยอัลกุรอานที่มีคำสั่งอันรัดกุม
[36.3] แท้จริง
เจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ถูกส่งมาอย่างแน่นอน
[36.4] (เป็นผู้) อยู่บนแนวทางอันเที่ยงธรรม
[36.5]
อัลกุรอานนี้เป็นการประทานลงมาจากพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[36.6]
เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขามิได้ถูกตักเตือนมาก่อนดังนั้น
พวกเขาจึงไม่สนใจ
[36.7] โดยแน่นอน
พระประกาศิตได้เป็นที่สมจริงแล้วแก่ส่วนมากของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ศรัทธา
[36.8]
แท้จริงเราได้คล้องพันธนาการที่คอของพวกเขา มันจึงห้อยลงมาที่คางของพวกเขา ดังนั้น
(ศรีษะของ) พวกเขาจึงเงยขึ้น
[36.9] และเราได้ทำเครื่องกีดขวางไว้ข้างหน้าพวกเขา
และเครื่องกีดขวางไว้ข้างหลังพวกเขา
[36.10] และมีผลเท่ากันแก่พวกเขา
เจ้าจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตักเตือนพวกเขาก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ศรัทธา
[36.11]
แท้จริงเจ้าเพียงแต่ตักเตือนผู้ที่ปฏิบัติตามข้อตักเตือนเท่านั้น และเขาเกรงกลัวพระผู้ทรงกรุณาปรานีโดยทางลับ
ดังนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยการอภัยโทษและรางวัลอันมีเกียรติ
[36.12]
แท้จริงเราเป็นผู้ให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้น
และเราบันทึกสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้แต่ก่อน และร่องรอยของพวกเขาและทุกสิ่งนั้น
เราได้รวบรวมไว้อย่างครบถ้วนในบันทึกอันชัดแจ้ง
[36.13] และจงเล่าเรื่องชาวเมือง
(อันฏอกียะฮ์) แก่พวกเขา เมื่อมีทูตหลายคนมายังเมืองนั้น
[36.14] เมื่อเราส่งทูตสองคนไปยังพวกเขา
พวกเขาได้ปฏิเสธเขาทั้งสอง ดังนั้น เรา (อัลลอฮ์)
จึงเพิ่มพลังด้วยการส่งทูตคนที่สามแล้วพวกเขา (บรรดาทูต) ได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราถูกส่งมายังพวกท่าน
[36.15] พวกเขา (ชาวเมือง) กล่าวว่า
พวกท่านมิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นสามัญชนเช่นเดียวกับพวกเรา
และพระผู้ทรงกรุณาปรานีมิได้ประทานสิ่งใดลงมา
พวกท่านมิได้เป็นอื่นใดนอกจากกล่าวเท็จ
[36.16] พวกเขา (บรรดาทูต) กล่าวว่า
พระเจ้าของเราทรงรู้ดียิ่งว่า แท้จริงเราถูกส่งมายังพวกท่านอย่างแน่นอน
[36.17]
และไม่มีหน้าที่อื่นใดแก่พวกเรานอกจากการประกาศเชิญชวนอันชัดแจ้งเท่านั้น
[36.18] พวกเขากล่าวว่า
แท้จริงพวกเราถือเป็นลางร้ายต่อพวกท่าน หากพวกท่านไม่ยอมหยุดยั้ง
เราจะเอาหินขว้างพวกท่านจนตายและแน่นอน การลงโทษอันเจ็บปวดจากพวกเราจะประสบแก่พวกท่าน
[36.19] พวกเขา (บรรดาทูต) กล่าวว่า
ลางร้ายของพวกท่านเพราะพวกท่านเอง พวกท่านได้ถูกตักเตือนมาก่อนแล้วมิใช่หรือ เปล่าดอกพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืนต่างหาก
[36.20]
และมีชายคนหนึ่งจากสุดหัวเมืองได้มาอย่างรีบเร่ง
[36.21]
พวกท่านจงปฏิบัติตามผู้ที่มิได้เรียกร้องรางวัลใด ๆ จากพวกท่าน
[36.22]
และทำไมเล่าฉันจะไม่เคารพภักดีผู้ทรงบังเกิดฉัน
และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะถูกนำกลับไป
[36.23]
จะให้ฉันยึดถือพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์กระนั้นหรือ หากพระผู้ทรงกรุณาปรานี
ทรงประสงค์จะก่อความทุกข์ยากแก่ฉัน
การชะฟาอะฮ์ของพวกเขาจะไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ฉันเลยและพวกเขาก็จะช่วยฉันให้รอดพ้น
(จากการลงโทษ) ไม่ได้เลย
[36.24] แท้จริง
เมื่อนั้นฉันจะอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[36.25] แท้จริงฉันศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกท่าน
ดังนั้น พวกท่านจงฟังฉันซิ
[36.26] เขากล่าวว่า โอ้
มาตรว่าหมู่ชนของฉันได้รู้ (สภาพของฉัน)
[36.27]
ถึงการที่พระเจ้าของฉันทรงอภัยให้แก่ฉัน และทรงทำให้ฉันอยู่ในหมู่ผู้มีเกียรติ
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 22 ]
ป้ายกำกับ: ญุซอ์ที่ 22, วะ มัน ยักนุต
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก