วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประวัติศาสตร์อิสลาม

بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ

ประวัติศาสตร์อิสลาม


คำว่า อิสลาม اِسْلاَمُ Peace แปลว่า ศานติ สงบ ปลอดภัย คำนี้มีให้ท่านนบี อาดัมใช้มาตั้งแต่สมัย ที่ท่านถูกส่งมาดำเนินชีวิตบนพื้นโลกนี้ ใช้อิสลามดำเนินชีวิตให้ปลอดภัยจาก การล่อลวงของ ชัยฏอน มารร้าย เพราะอัลลอฮฺกำชับกับ นบีอาดัมแล้วว่า ชัยฏอนคือ ศัตรูของอาดัม มันจะชักชวน ยั่วยวนให้อาดัมหลงผิดว่า หนทางของชัยฏอน นั้นหอมหวานบนดุนยา (โลกียะ) ถ้าเชื่อชัยฏอน จะได้รับนรกเป็นรางวัลตอบแทน ถ้าเชื่ออัลลอฮฺ จะลำบากในการใช้ชีวิตที่ต้องระมัดระวังการทำผิดบาป
คำว่าอิสลามจึงถูกใช้มากับท่านนบีอาดัมแล้ว โดยที่ต้องระลึกเสมอว่า “อัลลอฮฺ คือหนึ่งเดียว ที่พวกเราเหล่ามนุษยชาติต้องยึดมั่น แล้วดำเนินชีวิตไปตามครรลองของอิสลาม” อัลลอฮฺจะประทานคำตักเตือนมาสู่มนุษยชาติเสมอๆ ในแต่ละยุคสมัย ก็จะประทานคัมภีร์และเราะซูล (เราะซูลคือ ศาสดาผู้ได้รับคัมภีร์มาเผยแผ่อิสลาม ในแต่ละชื่อของศาสดาและคัมภีร์) เช่นศาสดา มูซา (Moses) ได้รับคัมภีร์ชื่อ เตาร็อต (Torah), ศาสดาดาวูด (David) ได้รับคัมภีร์ษะบูร (Sabur), ศาสดาอีซา (Jesus) ได้รับคัมภีร์อินญีล (Bible), ศาสดามุฮัมมัด (Muhammad) ได้รับคัมภีร์อัลกุอาน (Al Quran)
ทุกคัมภีร์สอนเน้นเพียงยึดมั่นใน อัลลอฮฺ เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เราเหล่ามนุษยชาติ พึงเคารพ สักการะ และพระองค์เท่านั้นที่เราขอความคุ้มครองและความช่วยเหลือ ในแต่ศาสดาและคัมภีร์มีความแตกต่างในข้อปลีกย่อยกันไปตามยุคตามสมัยประชาชาตินั้นๆ หลายยุคหลายสมัยผู้คนมักจะเสื่อมถอยความเอาใจใส่ต่ออิสลาม หลงลืมไปว่า อัลลอฮฺ อยู่เคียงข้างมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย หลงลืมและหลงทาง ในความศรัทธาต่อ อัลลอฮฺ จนทำการสร้างรูปเคารพ เป็นตัวแทน ให้นำพาความเคารพภักดี การสักการบูชาอัลลอฮฺ ผ่านทางตัวแทนรูปปั้นต่างๆไป นานมากเข้าก็ผิดเพี้ยนไปเป็นเคารพสักการะ บูชารูปปั้นนั้นเสียเลย พึ่งหวังต่อรูปปั้น รูปสลัก ที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมากับมือ จนถึงทางแห่งวิบัติ รูปปั้นที่สร้างขึ้นมาประโคมข่าวจนเกินเลยไปถึงความศักดิ์สิทธิ์               มีอิทธิฤทธิ์มากมาย จนมาถึงขั้น ซื้อขายสิ่งปรุงแต่ง รูปปั้น รูปสลัก ในราคาสูงต่ำตามอิทธิฤทธิ์ที่ข่าวจะแพร่กระจาย ไปมากน้อยเพียงไร
อัลลอฮฺได้ทรงสอน เตือนมนุษยชาติมาทุกยุคทุกสมัย ให้เคารพ ภักดี สักการะ บูชา ศรัทธามั่นในคำสอน ของพระองค์ เพื่อมิให้หลงผิดไป เชื่อมารร้ายชัยฏอน ที่มันจะยั่วยวนให้หลงผิดตามมัน แล้วจะได้ลงนรกไปพร้อมกับมัน การเชื่อฟังและศรัทธาในคำสอนของ อัลลอฮฺ จะนำพาให้ได้รับสวรรค์เป็นสิ่งตอบแทน ในวันกิยามะต์ (วันที่วิญญาณจะผุดมาจากโลกบัรซัค[[1]] ในร่างใหม่  يَوْمِ الْقِيَامَةُ  The Day of Judgment) พระองค์ไม่ได้บังคับผู้ใด ให้ศรัทธาคำสอนของพระองค์
                อัลลอฮฺส่งศาสดา (นบีและหรือเราะซูลุลลอฮ์) มาเทศนา นำทางเหล่ามวลมนุษยชาติ ไปสู่ดินแดนสุขาวดี (ดินแดนสวรรค์ชั้นฟ้า “ญันนะห์ جَنَّةِ Heaven) อัลลอฮฺส่งศาสดามามากมายหลายร้อยพัน ที่ปรากฏนามในอัลกุรอานมีประมาณ 25 ท่าน ทุกๆท่านจะสอนเรื่องการ ยึดศรัทธามั่นใน อัลลอฮฺองค์เดียว ไม่ให้หลงเชื่อมารร้ายชัยฏอนที่ยั่วยวนให้เราเห็นชอบกับอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่มันแผลงฤทธิ์ออกมาให้มนุษย์เห็น เพื่อมนุษย์จะได้หลงเชื่อและศรัทธามันด้วยความ หลงใหลในไสยศาสตร์ตามอิทธิฤทธิ์ชัยฏอนมัน
ตั้งแต่นบีอาดัมคนแรกมาจนถึงท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่ง อัลลอฮฺ บอกมาแล้วว่าจะเป็น นบีสุดท้ายแห่งดุนยา(โลกโลกียะ) นี้ โดยพระองค์คัมภีร์อัลกุรอาน ที่เพียบพร้อมไปด้วยวิทยาการล้ำยุค รายละเอียดกับการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เกิดจนวันตาย ว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร
ท่านนบีมุฮัมมัด ศาสดาสุดท้ายแห่งสากลโลก ประสูติเมื่อ ค.ศ. 570 พระชันษา 40 ได้รับโองการจาก อัลลอฮฺให้ได้รับคัมภีร์ อัลกุรอาน เทศนาอยู่ประมาณ 23 ปี อัลลอฮฺก็เอาท่านนบีกลับคืนไป พระชนมายุ 63 ชันษา (ประสูติปี ค.ศ.570 สิ้นพระชนม์ ปีค.ศ.632) ให้เศาะฮาบะห์ เคาะลิฟะห์ทั้งสี่ (อัครสาวกเอกทั้งสี่ท่าน) ปกครองอาณาจักรสืบต่อไป คือ
1.        ท่าน อบู บักร์ อัศศิดดิก เอกอัครสาวก ค.ศ. 632-634 (อัศศิดดิกแปลว่า เพื่อนแท้หรือกัลยาณมิตรของท่านนบีฯ) มีนามเดิมว่า อับดุลลอฮฺ บุตร อบู กุฮาฟะฮฺ ทำนุ บำรุงด้านการศาสนาให้แน่นแฟ้นเหมือนดั่งสมัยท่านนบียังอยู่ ท่าน อบู บักร์ ถึงอสัญกรรมด้วยโรคชรา
2.        ท่าน อุมัร บุตร ค็อตต็อบ ค.ศ. 634-644 (ชื่อท่านนี้ ให้อ่านในภาษาไทยว่า “อุ-มัด-รุ) อัครสาวกที่สอง ที่ปกครองดูแลทุกข์สุขประชาชน ทั้งยามค่ำคืนที่ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว และยามกลางวันที่ร้อนระอุ ท่านอุมัรทำการเผยแผ่อิสลามกว้างไกลออกไปจากเดิมสมัยท่านนบีฯและท่าน อบู บักร์ จนถึง อิยิปต์ อิรัก อิหร่าน ด้านการศาสนาก็เคร่งครัดในหลักธรรมอิสลาม ท่านอุมัรถึงอสัญกรรมด้วยอาชญากรรม ด้วยคนปองร้ายแทงท่านขณะออกตรวจเยี่ยมราษฎรในยามวิกาล
3.        ท่าน อุษมาน บุตร อัฟฟาน ค.ศ. 644-656 เป็นอัครสาวกที่สาม ท่านเผยแผ่อิสลามไปถึงเยเมน เอธิโอเปีย อิยิปต์ ลิเบีย อัลจีเรีย โมร็อคโค ทางตะวันออกก็เผยแผ่ไปถึงแอฟกานิสตาน ด้านทิศเหนือถึงเมืองชาม (ซีเรีย) การปกครองด้วยระบอบอิสลาม ก็ทำให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แต่ระยะท้ายรัชสมัยของท่านอุษมาน มีกลุ่มนอกศาสนาก็หวอดขึ้นมาแข็งข้อ ท่านก็ปราบปราม แต่ด้วยแผนการที่พวกนอกศาสนาวางไว้เนิ่นนาน ทำให้ยุทธการท่านอุษมาน ไม่บรรลุผลสำเร็จ ท่านถูกปิดล้อมอยู่ในป้อมปราการ และสุดท้ายพวกนอกศาสนาแหวกเข้าวงในได้ เข้า ฆาตกรรม สังหารท่านอุษมานในป้อมนั้น
4.        ท่าน อาลี บุตร อบี ฏอลิบ ค.ศ. 656-661 เป็นหลานท่านนบีฯ และเป็นลูกเขยด้วย โดยมีท่านหญิงฟาติมะห์บุตรีท่าน นบีฯ เป็นมเหสี ท่านอาลีอัครสาวกที่สี่ ได้ปราบปรามพวกนอกศาสนาได้สำเร็จ และออกเผยแผ่อิสลามเน้นไปทางตะวันออก ไปทำการตั้งเมืองเอกทางตะวันออกที่เมืองกูฟะห์ (ทิศใต้แบกแดด 150กิโลเมตร) จังหวัดนาจาฟ สมันท่านอาลีนี้ มีกลุ่มกบฏมากมายก่อตัวขึ้นมา สร้างความระส่ำระสายทั้งด้านการเมืองและด้านการศาสนา ที่เรียกว่า “กลุ่มเคาะวาริจ (กลุ่มมุสลิมเดิมแต่ไม่ยอมรับศาสนาอิสลามอีกต่อไป)” ด้านการเมืองมีกลุ่มกบฏทางทิศเหนือ แต่ทำท่าทีอ่อนข้อเมื่อท่านอาลีจะเตรียมทัพ จนเมื่อกลุ่มเคาะวาริจและกลุ่มนอก (กลุ่มที่ปฏิเสธอิสลามแต่แรก) และกลุ่มเมืองเหนือรวมตัวกันก่อกบฏ ได้ฆาตกรรม สังหาร ท่านอาลี โดยใช้ดาบอาบยาพิษฟันโดนที่หน้าผาก  ท่าน ขณะที่ท่านกำลังเดินไปละหมาดในเช้ามืดคืนวันหนึ่ง
ฮะซัน บุตร อาลี ลูกชายคนโตท่านอาลี ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดา โดนกบฏเมืองเหนือ (ผู้นำชื่อมุอาวิยะห์ บิน[[2]] อบี[[3]] ซุฟยาน) บีบบังคับให้โอนอำนาจการปกครองประเทศให้ และสถาปนาตนเป็นเจ้าผู้ครองนครชามต่อไป แล้วต่อมาก็เข้าจับกุมท่านฮะซันประหารชีวิต ในข้อหากบฏแข็งข้อ ไม่ยอมศิโรราบต่อราชวงศ์อุมัยยะฮ์ของมุอาวิยะห์ บิน อบี ซุฟยาน
ฮูเซน บุตร อาลี น้องชายฮะซัน เกรงจะถูกลอบปลงพระชนม์ก็หลบหนีลงไปอยู่นครมักกะห์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง แต่ในที่สุดก็หลงกลพวกมุอาวิยะห์ ที่ล่อลวงเขียนจดหมายปลอมแปลงเป็นเจ้าเมืองกูฟะห์ ขอกำลังให้ยกทัพไปช่วยชาวกูฟะห์ที่กำลังถูกโจมตีด้วยกองกำลังของมุอาวิยะห์ พอกองทัพ ฮูเซนยกทัพมาถึงเมือง “กัลบาลา” อยู่ทางเหนือของกูฟะห์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือค่อนไปเหนือ 70กิโลเมตร กองทัพมุอาวิยะห์ซึ่งดักซุ่มอยู่แล้ว ว่ากองทัพฮูเซนต้องยกทัพอ้อมขึ้นมาทางเหนือแน่นอน โหมเข้าโจมตีอย่างหนักหน่วง ทำให้   ฮูเซนถึงกับอสัญกรรมในสงครามกัลบาลานี้ พวกกลุ่มมุสลิมกูฟะห์หรือในอิรัก (ส่วนใหญ่เป็นชิอะต์) โกรธแค้นที่ตนมาช่วยท่านฮูเซนไม่ทัน จึงทำพิธีลงโทษตนเองด้วยการตีอกชกหัว กรีดเนื้อตัวหัวหูให้หลั่งเลือด แสดงถึงความเสียใจที่มาช่วยท่านฮูเซนไม่ทันการ
·          สิ้นสมัยของมุอาวิยะห์ 1 ค.ศ. 602 – ค.ศ. 680
·          ลูกชาย ยะซิด ที่ 1 บุตรชายมุอาวิยะห์ 1  ก็ขึ้นมาครองราชย์แทน หลังจากยะซิดสิ้นชีวิต
·          มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ลูกชายของยะซิดได้ขึ้นมาครองราชย์ต่อ แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไป ในเวลาต่อมา มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ไม่มีบุตรและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้ง
·          มัรวาน อิบนุ อิลหากัม เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ มัรวานอยู่ในอำนาจได้ไม่ถึงปีก็สิ้นชีพ และได้แต่งตั้งลูกชาย ชื่ออับดุล มาลิก เป็นกษัตริย์ต่อไป
·          อับดุล มาลิก บิน มัรวาน ( ค . ศ . 685 – 705) บูรณะความเป็นระเบียบภายในอาณาจักรอิสลาม ได้ทำการปฏิรูปและนำเอามาตรการการบริหารแผ่นดินใหม่ๆ มาใช้ ปฏิรูปเหรียญกษาปณ์อาหรับใหม่ ทั้งเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ซึ่งมีชื่อว่า ดินาร์ (เหรียญทองدِنَارِ Dinar), ดิรฮัม (เหรียญเงิน دِرْحَمُ  Dirham) (สมัยท่านนบีฯมีใช้สองอย่างคือเหรียญทอง และเหรียญเงิน), และ ฟอล (เหรียญทองแดง فَالُ  Fal) นอกจากนี้ในสมัยของอับดุล มาลิก ได้มีการปฏิรูปภาษาอาหรับโดยการนำเอาสระและเครื่องหมายจุดใส่ลงในตัวอักษรอย่างที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้
·        วะลีด ที่ 1 บิน อับดุล มาลิก ( ค . ศ . 705–715)  ซึ่งเป็นลูกชายก็ขึ้นครองอำนาจในชาม วะลีดที่ 1 นี้นับเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกมุสลิม ในสมัยของ วะลีด ที่ 1 อาณาจักรอิสลามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ ท่านทรงปราบปรามการแข็งข้อของพวก ชีอะต์ และคอวาริจญ์จนราบคาบลง อาณาจักรเต็มไปด้วยความสงบสันติ ขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองบุคอรอ Bukara สมรขันด์ (Samarkand Uzbekistan) เมืองสินธ์ เอเชียกลางทั้งหมด อาณาจักรของวะลีดที่ 1 ขยายเข้าชายแดนจีนไปไม่ได้ เพราะติดภูเขาเทียนชาน เพราะพวกอาหรับไม่คุ้นเคยพื้นที่ภูเขาที่หนาวเย็นและสูงมากถึง 5 พันเมตร) ไปจนถึงอ่าวบิสเค (Biscay) และจากทะเลโอรอล (Oral Sea) ไปจนถึงเขตแดน กุจญ์ราตและบอมเบย์ในอินเดีย มีการสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล จัดหาเงินช่วยเหลือคนชราและคนพิการ จัดให้มีโรงพยาบาลคนตาบอดโดยเฉพาะ ในสมัยของวะลีด ที่ 1 นี้ ศิลปะและวัฒนธรรมเริ่มเจริญรุ่งเรือง เป็นนักสร้างที่ยิ่งใหญ่ บูรณะและขยายมัสยิดแห่งมะดีนะห์ และมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม พัฒนาการทางการค้าก็เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย นับได้ว่าเป็นอาณาจักรอิสลามที่มีความสงบ รุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อวะลีดที่ 1 ผู้เป็นพี่ชายสิ้นชีพลง  
แผนที่ด้านล่างคือแผนที่ดินแดนวาลีดที่ 1 ราชวงศ์อุมัยยะห์ แผ่ขยายอำนาจไปทางตะวันออกจนถึงมุมไบ อินเดีย ทาจิกิสตาน อุษเบกิสตาน เตอกมานิสตาน แอฟกานิสตาน ปากีสตาน อิหร่าน อิรัก เยเมน อิยิปต์ ซูดาน เอธิโอเปีย ลิเบีย แอลจีเรีย โมร็อคโค คอโดบา(สเปน) เหตุที่ต้องขยายอาณาจักรออกไปกว้างไกล ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน




·          สุไลมาน บิน อับดุล มาลิก ก็ขึ้นครองอำนาจต่อ เป็นกาหลิบ ปี ฮ.ศ. 96 – 99 ( ค.ศ. 715 – 718 ) ที่มีเมตตาต่อสหายแต่โหดร้ายต่อศัตรูมีชื่อเสียงในเรื่องฮาเร็มและการมีชีวิตอย่างหรูหรา ในสมัยการปกครองของสุไลมาน ไม่มีอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ที่โดดเด่นต่อราชอาณาจักรอิสลามมากนัก คุณประโยชน์อย่างเดียวที่ทำให้แก่รัฐอิสลามก็คือการแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อว่า อุมัร อิบนุ อัล อะซีซ เป็นกาหลิบ ซึ่งเป็นกาหลิบที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม สุไลมาน สิ้นชีพหลังจากที่เป็นกาหลิบได้ 2 ปีกับอีก 5 เดือน
·          อุมัร อิบนุ อัล อะซีซ ขึ้นเป็นกาหลิบในปี ฮ.ศ. 99 – 101 ( ค.ศ. 718 – 720 ) เป็นน้องของอับดุล มาลิก บิดาเป็นผู้ปกครองอียิปต์มาเป็นเวลานานและมารดาของท่านเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะห์ อุมัร อิบนุ อัล ค็อตต็อบ อุมัร อิบนุ อัล อะซีซเป็นกาหลิบที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก บริหารอาณาจักรอิสลามอย่างยุติธรรมจนได้สมญานามว่า เคาะลีฟะห์อัรรอชิดูน คนที่ 5 อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ พยายามจำกัดความไม่เสมอภาคระหว่างมุสลิมชาวอาหรับกับมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ นอกจากนี้อุมัรได้แต่งตั้งบุคคลสำคัญๆ ขึ้นครองตำแหน่งสูงๆ โดยเลือกเอาผู้ที่เที่ยงธรรมและซื่อตรงเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแก่เหล่าประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ปกครอง อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เห็นความสำคัญในการทำนุบำรุงดินแดนที่ได้มาครอบครองแล้วให้เจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างไกลออกไปอีก ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอุมัรก็คือ การรวบรวมหะดีษอย่างเป็นทางการ ตลอดการปกครองของอุมัรประชาชนในราชอาณาจักรอิสลามทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต่างก็มีความสุขและได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมกันทั่วหน้า เมื่อท่านอุมัรสิ้นชีพลง
·          ยะชีด ที่ 2 บิน อับดุลมาลิก ปี ฮ.ศ. 101 – 105 ( ค.ศ. 720 – 724 ) ขึ้นปกครอง ในสมัยปกครองของยะชีดที่ 2 เกิดกลุ่มกบฏต่างๆ ที่ไม่พอใจในตัวกาหลิบเอง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตในขณะเดียวกัน ยะซีดที่ 2 ก็ไม่ค่อยสนใจในการบริหารประเทศมากนัก ระหว่างสมัยยะซีดนี้ พวกอับบาสียะฮ์เริ่มมีอำนาจและแข็งข้อขึ้น ตอนแรกกระทำกันอย่างลับๆ แต่ต่อมาก็ทำอย่างเปิดเผยเพื่อโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ลง
·          ฮิชาม บิน อับดุลมาลิก จาก ปี ฮ.ศ. 105 – 125 ( ค.ศ. 724 – 743 ) น้องชายของยะซีดที่ 2 ขึ้นครองอำนาจต่อจากท่านยะซีดที่ 2  ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ การต่อสู้ระหว่างพวกอุมัยยะฮ์กับพวกอับบาสียะฮ์ดำเนินไปอย่างรุนแรง มีการก่อการจลาจลวุ่นวายทั่วอาณาจัก ฮิชามสิ้นชีพในปี ค . ศ . 743 เมื่อฮิชามสิ้นชีพ
·        วะลีดที่ 2 บิน ยะซีด ที่ 2 จาก ปี ฮ.ศ. 125 – 126 ( ค.ศ. 743 – 744 ) ขึ้นครองอำนาจ ในตอนแรกพยายามเอาชนะใจประชาชน โดยการเพิ่มเงินช่วยเหลือแก่คนยากจน คนชราและคนพิการ แต่ความโหดร้ายที่วะลีดที่ 2 มีต่อครอบครัวท่านอาลี และ บนี ฮาชิมก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ วะลีดที่2 ปกครองได้ไม่ถึงปีก็ถูกท่านยะซีดที่ 3 ลูกชายของกาหลิบวะลีดที่ 1 ก่อการกบฏและสังหารวะลีดที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวะลีดที่ 2 สิ้นอำนาจ
·          ยะซีดที่ 3 บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 126 ( ค.ศ. 744 – 744 ) ผู้ก่อการกบฏก็ขึ้นเป็นกาหลิบแทน ยะซีดเป็นคนใจบุญและเคร่งศาสนา เมื่อครองอำนาจ ก็ได้สัญญาว่าจะปลดเปลื้องความเดือดร้อนของประชาชน จะลดภาษีและจะปราบปราบข้าราชการที่ทุจริตคดโกง แต่ท่านอยู่ในราชสมบัติไม่นานพอที่จะทำตามที่ทรงสัญญาไว้ได้ ก็ต้องผจญกับความยากลำบากนานาประการมาตั้งแต่ต้น มีการก่อกบฏทั้งในปาเลสไตน์และแอฟริกา ยะซีดครองอำนาจได้แค่ 6 เดือนก็สิ้นชีพ และ
·          อิบรอฮีม บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 127 ( ค.ศ. 744 – 744 ) น้องชายของยะซิดที่ 3 ขึ้นเป็นกาหลิบแทน แต่ได้รับการยอมรับจากคนเพียงบางส่วนเท่านั้น จนกระทั่ง
·        มัรวานที่ 2 บิน มูฮัมมัด จาก ปี ฮ.ศ. 127 – 132 ( ค.ศ. 744 – 749 ) ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจาก อิบรอฮีม มัรวาน ที่ 2 หรือ มัรวาน อัลหิมาร์ ได้ย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัสไปอยู่ที่ ฮัรรอน ซึ่งทำให้ชาวซีเรียไม่พอใจและรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้าน มัรวานต้องผจญกับความยากลำบากต่างๆ นานา มีการกบฏในปาเลสไตน์ พวกคอวาริจญ์ก็แข็งข้อขึ้น และพวก บนีฮาชิมก็แพร่ขยายตัวออกไปอย่างน่ากลัว เกิดความครุ่นแค้นคุกรุ่นขึ้นทั่วอาณาจักรอุมัยยะฮ์ กองทัพซีเรียก็อ่อนแอลง ฉะนั้นสมัยของ มัรวานที่ 2 จึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ จนกระทั่งในปี  ค . ศ . 750 อบู มุสลิม ซึ่งเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอับบาสียะห์พร้อมกับพรรคพวกได้ก่อกบฏ และยึดเมืองคูราซาน (Khurasan) ได้สำเร็จ พร้อมกับขับไล่ นัศร์ อิบนุ สัยยาร ซึ่งเป็นข้าหลวงของ มัรวานที่ 2 ประจำแคว้นคูราซานออกจากพื้นที่ การก่อกบฏและยึดอำนาจได้ขยายไปเรื่อยๆ ยังแคว้นอื่นๆ จนกระทั่งมัรวานที่ 2 ซึ่งเป็นกาหลิบสุดท้ายของตระกูลอุมัยยะฮ์ถูกสังหารเสียชีวิต เมื่อกลุ่มอับบาสียะห์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจและโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ได้ พวกอับบาสิยะห์ได้พยายามกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลอุมัยยะฮ์ให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถหนีรอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ได้ ในบรรดาผู้ที่หนีรอดเหล่านั้นคือ อับดุลเราะห์มาน  ซึ่งเป็นหลานปู่ของฮิซาม ได้หนีเอาชีวิตรอดไปที่แอฟริกาเหนือและต่อมาได้สร้างตระกูลอุมัยยะฮ์ขึ้นมาใหม่ที่แคว้นแอนดาลุส สเปน
ในสมัยการปกครองโดยตระกูลอุมัยยะฮ์นั้น ผู้ครองอำนาจการปกครอง จะให้ความสำคัญในด้านการศึกษา ตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ มักกะห์ มะดีนะห์ บัสเราะฮ์ กูฟะฮ์ ซีเรีย อิสกันดัร (ประเทศสเปน) ฟุรตอต และอีกหลายๆเมืองในสมัยนั้น สาขาวิชาต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยอุมัยยะฮ์ได้แก่
วิชา นาฮู (วิชาสกยสัมพันธ์) แต่งขึ้นโดย อบู อัลอัซวัด อัฎฎออาลี
การเรียบเรียงหะดีษจากบรรดาเหล่าศอฮาบะห์ และวิชา ตัฟซีร ที่เมืองบัสเราะฮ์ โดยมีบรรดาอุลามาอฺหลายคนให้ความสำคัญกับวิชา ตัฟซีร เช่น อับดุลลอฮ์ บิน อับบาสและในสมัยนี้ได้มีการขยายความรู้ด้าน
วิชาสามัญ (วิชาการทางโลก) เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาเคมี การแพทย์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา
วิชาการแพทย์คือ อัล ฮาริษ อิบนุ กะลาดะฮ์ ผู้ที่มีชื่อเสียงสาขา
วิชาเคมี คือ คอลิด อิบนุ ยะสีด และมีกำเนิดการทำ
ฮาลาเกาะฮ์ (หมายความว่า การจัดกลุ่มศึกษาขึ้นเพื่อการศึกษาอิสลามร่วมกัน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมฮาลาเกาะฮฺจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาที่จะนำมาพูดคุยกันเอง เช่น การศึกษาอัลกุรอาน พร้อมกับความหมาย , การศึกษาอัลหะดีษ, การศึกษาประวัติท่านนบีและ เศาะฮาบะห์, การศึกษามรรยาทต่างๆ ของอิสลาม,
การศึกษาวิชาฟิกฮฺร่วมกัน สำหรับในเรื่องฟิกฮฺนั้น ควรผ่อนปรนในเรื่องที่แตกต่างและร่วมมือกันในเรื่องที่เหมือนกัน อีกทั้งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีความเห็นที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการการแตกแยกที่อาจจะเกิดในเรื่องประเด็นปลีกย่อย เพราะสิ่งเหล่านี้พบมากปัจจุบัน เยาวชนนักศึกษาบางที่บางแห่ง ถึงกับจับกลุ่มกันนินทาพี่น้องหรืออาจจะถึงขั้นไม่ละหมาดตามกันเลยก็มี) ฮาลาเกาะฮ์ที่ทำกันในมัสยิดเริ่มทำที่ มักกะห์ โดย อับดุลลอฮ์ บิน อับบาส
หลังจากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ถูกโค่นล้ม ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ก็ขึ้นมาครองอำนาจแทน คำว่าอับบาสียะฮ์ มาจากชื่อของท่านอับบาส บุตร อับดุล มุฎฎอลิบ บุตร ฮาชิม ซึ่งเป็นน้าชายของท่านศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อล ลัลลอฮุ อาลัยฮิ วะ ซัลลัม) บางครั้งเรียกว่าเชื้อสายฮาชิมี ตระกูบอับบาสียะฮ์ได้ย้ายเมืองหลวงจากชามมายังเขตอิรักในแบกแดด อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดเรืองอำนาจตั้งแต่ ค . ศ . 750-1258 ซึ่งมีระยะเวลาการครองอำนาจยาวนานเป็นลำดับที่สองรองจากราชวงศ์ออตโตมาน ราชวงศ์อับบาสียะฮ์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์โลก แบ่งยุคประวัติศาสตร์อับบาสียะฮ์ออกเป็นสองยุคใหญ่ๆ คือ
•               ยุคต้น เริ่มตั้งแต่การสถาปนาตระกูลอับบาสียะฮ์ในปี ฮ . ศ . 132 - 232 (ค . ศ . 750 - 847) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณหนึ่งศตวรรษ ส่วน
•               ยุคปลาย ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 232 (ค . ศ . 847) จนถึงพวก มองโกล เข้ามายึดครองเมืองแบกแดด หรือการสิ้นอำนาจของอับดุลลอฮ์ อัลมุอ์ ตะซิม บิลลาฮ์ ในปี ฮ . ศ . 656  (ค . ศ . 1258) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณ 424 ปี
ในยุคปลายของอับบาสียะฮ์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงคือ
1. ช่วงชาวเติร์กเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 232-334  (ค . ศ . 847-946) รวมระยะเวลาประมาณ 102 ปี ช่วงดังกล่าวนี้ชาวเติร์กมีบทบาทมากในการกำหนดทิศทางทางการเมืองการปกครองและการทหารของอับบาสียะฮ์
2. ช่วงพวก บูไวยะฮ์เรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 334-447 (ค . ศ . 946-1055) รวมระยะเวลา 113 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองและการปกครองของอับบาสียะฮ์ตกอยู่ในมือของพวก บูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะต์
3. ช่วงเซลจูกเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 447-530 / ค . ศ . 1055-1136 รวมระยะเวลา 83 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ถูกควบคุมโดยพวกเซลจูกซึ่งเป็นซุนนี ที่เข้ามาโค่นอำนาจของพวก บูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะต์
4. ช่วงสุดท้ายที่ล่มสลาย คือระหว่างปี ฮ . ศ . 530-656 / ค . ศ . 1136-1258 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเซลจูกกำลังเสื่อมโทรม ในขณะเดียวกันมีการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูอำนาจของอับบาสียะฮ์ใหม่ แต่ก็ถูกคุกคามโดยอำนาจใหม่   แห่งมองโกล จนล่มสลายไปในที่สุด ช่วงนี้มีระยะเวลาการปกครองประมาณ 126 ปี
ตระกูลอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดมีผู้ปกครองรวมทั้งหมด 37 คน ในช่วง 3 ศตวรรษแรกของการปกครองของอับบาสียะฮ์ อาณาจักรอิสลามมีความเจริญก้าวหน้ามากทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นยุคฟื้นฟูแห่งอิสลาม
สมัยการปกครองของอับบาสียะฮ์ เป็นสมัยของการสร้างความเป็นเอกภาพและความรุ่งเรืองสูงสุด มีการขยายอาณาเขตการปกครองมากขึ้น ทางทิศตะวันตกถึงแอฟริกาเหนือ สเปน ส่วนทางด้านทิศตะวันออกถึง ฝั่งเปอร์เซียและอินเดีย โดยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล อับบาสิยะห์ ที่มีศูนย์อยู่ที่แบกแดด การเรือง อำนาจของอับบาสียะฮ์เป็นการเปิดศักราชใหม่ของมุสลิมในด้าน ศิลปะวิทยาการสาขาต่างๆ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ของมุสลิมได้เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มขึ้นของอับบาสียะฮ์ ผู้ปกครองในตระกูลอับบาสียะฮ์เป็นผู้อุปถัมภ์วิทยาการอย่างใหญ่หลวง ทำนุบำรุงเลี้ยงดูนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถซึ่งได้สร้างประโยชน์อันมีค่าให้แก่วัฒนธรรมของโลก
·          กาหลิบ อัล มะอ์มูน ( ค . ศ . 813-833) เปิดแผนกแปลเพื่อรักษาผลงานด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของต่างชาติไว้เช่น ผลงานของ อริสโตเติล กาเลน แต่คงจะหายสาบสูญไปถ้าหากมุสลิมไม่ได้เก็บรักษามันไว้ด้วยการแปลเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้มุสลิมยังมีความรู้ในเรื่องทางเคมี การแพทย์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก มีแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่โลกรู้จักกัน ตำรา อัลกอนูน ของอิบนุชินาได้ใช้เป็นตำราทางการแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรปมาหลายร้อยปี
ต้นๆของยุคอับบาสียะฮ์ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นในกรุงแบกแดด ต่อมาก็ได้มีโรงพยาบาลเกิดขึ้นอีก 34 แห่งในส่วนต่างๆของโลกมุสลิม
นักปรัชญาแล้วยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นักประดิษฐ์กล้อง และนักทฤษฏีด้านดนตรีอีกด้วย อีกทั้งได้เขียนตำราในด้านต่างๆ กว่า 200 เล่ม
ตำราทางด้านจิตวิทยา การเมืองและอภิปรัชญา นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น
ดาราศาสตร์ในสมัยของ อัลมะอ์มูนได้มีการสร้างหอดูดาวแห่งแรกขึ้นที่เมืองจันดีชาปูร ในเปอร์เซียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อมาได้มีการสร้างอีกแห่งหนึ่งในเมืองแบกแดด
ตำรา “ กิตาบ ซูรอตุลอัรฏ์ ” ซึ่งอธิบายแผนโลกที่เป็นเล่มแรกในศตวรรษที่ 9
วิชาเคมี ญาบิร อิบนุ ฮัยยาน แห่งเมืองกูฟะฮ์นับว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเคมีสมัยใหม่ ได้สร้างห้องทดลองขึ้นในเมืองกูฟะฮ์ ได้ค้นพบสารประกอบทางเคมีมากมายและได้เขียนตำราเกี่ยวกับวิชาเคมีไว้หลายเล่ม
ทางด้านประวัติศาสตร์ มีมุสลิมมากมายมีความรู้เรื่องนี้ และเจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าสาขาอื่นๆ
วรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงก็มี อิสฟาฮานีย์ อิบนุ ค็อลลิกาน
สาขาอื่นๆ ที่รุ่งเรืองมากก็มี ศัลยกรรม เภสัชกรรม วิชาเกี่ยวกับสายตา
นิติศาสตร์ในสมัยอับบาสียะฮ์เกิดสำนักทางฟิกห์หรือที่เรียกว่า มัซฮับขึ้นสี่สำนัก ซึ่งมี
1.             อิมามอบู หะนีฟะฮ์
2.             อิมามมาลิก
3.             อิมามชาฟิอี
4.             ท่าน อิมาม อะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล เป็นผู้นำของแต่ละสำนัก จึงกล่าวได้ว่านักปราชญ์และผู้รู้ของมุสลิมในสมัยอับบาสียะฮ์มีอยู่ในทุกสาขาวิชาการและเป็นทองแห่งศิลปะวิทยาการอิสลาม
ในศตวรรษที่ 9 อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์เริ่มสั่นคลอนโดยการประกาศตั้งตัวเป็นรัฐเอกราชของราชวงศ์อุมัยยะฮ์แห่งสเปน ราชวงศ์ ตุลูน แห่งอียิปต์ ราชวงศ์ ตอฮิรีย์ แห่งคูรอซาน ราชวงศ์ สามานีย์ แห่งแทรน โซเซียนา และคูรอซาน ราชวงศ์ สัฟฟารีย์ แห่งซิสถาน
ในศตวรรษที่ 10 กลุ่มชีอะต์ ได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางและมีบทบาททางการเมืองมาก ได้ขยายอำนาจสู่อียิปต์และซีเรีย พร้อมกับประกาศตั้งตนเป็นรัฐอิสระที่อียิปต์แข่งกับราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดด
นอกจากนี้ในปี ค . ศ . 845 กลุ่มชีอะต์  บูไวยฮีย์ ได้บุกเข้ายึดกรุงแบกแดด และกุมอำนาจอับบาสียะฮ์ ไว้ได้สำเร็จ ต่อมา
ในปี ค . ศ . 1055 ชาวเซลจูกเข้ามามีบทบาทและกุมอำนาจในราชวงศ์อับบาสียะฮ์แทน จนกระทั่งได้อำนาจคืนจากชาวเซลจูกในปี ค . ศ . 1194 แต่ต้องเผชิญมรสุมลูกใหญ่จากการรุกรานของทหาร
มองโกล  ปี ค . ศ . 1258 ( ฮ . ศ .656) มองโกลสามารถเข้ายึดเมืองแบกแดดได้ และได้สังหารสุลต่านสุดท้ายของอับบสิยะฮ์แห่งแบกแดด จนสิ้นสุดอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดที่เรืองอำนาจมาเกือบ 6 ศตวรรษ
อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 หลังจากอาณาจักรเซลจูกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมองโกล รุกรานและล่มสลายในที่สุด อาณาจักรอุษมานียะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน ได้ประกาศตนเป็นปาดีชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แคว้นโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย ประมุขสุงสุดของอาณาจักรออตโตมาน เรียกว่า ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน มีสุลต่านปกครองทั้งหมด 36 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1299-1922 การปกครองในสมัยของสุลต่านสิบคนแรกนับว่าเป็นสุลต่านที่มีความสามารถเข้มแข็งในการรบ เพราะต้องรักษาดินแดนของตนพร้อมกับการขยายดินแดนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
สุลต่านที่ 2 คือ อรฮัน ที่ 1 ได้จัดตั้งกองทหารราบแจนิส ซารีขึ้น เพื่อเป็นกองทหารกล้าตายพิทักษ์สุลต่าน เป็นผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อสุลต่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในภายหลังกองทหารแจนิสซารีเป็นผู้ก่อการจลาจลเสียเอง เพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์ บางรัชสมัยกองทหารแจนิสซารีมีอิทธิพลถึงขั้นถอดถอนแต่งตั้งสุลต่านได้ จนในที่สุดรัชสมัยสุลต่านมะห์มูดที่ 2 พระองค์ได้ปราบปรามกองทหารแจนิสซารีอย่างเด็ดขาดและได้เลิกระบบกองทหารแจนิสซารี
ในสมัยของสุลต่านต้นๆ สิบคนแรกต้องทำศึกสงครามกับอาณาจักรไบแซนไทน์ กลุ่มประเทศในแหลมบอลข่าน เช่น เซอร์เบีย บัลกาเรีย วอเลคเชีย โรมาเนีย เฮงการี เป็นต้น ผลจากการสงครามในสมัยนี้ส่วนใหญ่ออตโตมานเป็นผู้ชนะ
ต่อมาสุลต่านคนที่ 7 เมร์เมดที่ 2 ได้รับสมญานามว่า ผู้พิชิต เพราะเป็นผู้พิชิตอาณาจักรไบแซนไทน์ได้สำเร็จ สามารถตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี ค.ศ. 1453 และได้เปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล ในสมัยสุลต่านสุไลมานที่ 1 นับว่าอาณาจักรออตโตมานเจริญสูงสุดแต่ในขณะเดียวกันในช่วงปลายสมัยของสุลต่านสุไลมานที่ 7 นี้ก็เป็นการเริ่มของความเสื่อมของอาณาจักรออตโตมาน
สาเหตุที่อาณาจักรออตโตมานเสื่อม
1.ความอ่อนแอของสุลต่านเอง คือ ไม่มีความสามารถในการรบ หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี
2.ปล่อยให้ แกรนด์วิเซียร์เป็นผู้บริหารแทน เป็นเหตุให้เกิดการการคอรัปชั่น
3.ขาดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยส่วนในยุโรปนั้นมีการอาวุธที่ทันสมัยและมีศักยภาพมากกว่า
4.กษัตริย์ในยุโรปได้ร่วมมือกันเพื่อล้มล้างอาณาจักรออตโตมาน
หลังจากสิ้นยุคการปกครองของสุลต่านสุไลมานเป็นต้นมา อาณาจักรออตโตมานเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อม ภายในราชสำนักมีแต่ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ฟุ่มเฟือย สุลต่านเอาแต่สนุกสนานอยู่ในฮาเร็ม มีการลอบปลงประชนแย่งชิงราชบัลลังก์ บรรดาข้าราชการแสวงหาความร่ำรวย ฉ้อราษฎร์บังหลวง สาเหตุดังกล่าวทำให้สุลต่านแห่งออตโตมานต้องปราชัยเป็นส่วนใหญ่และจากการรุกรานของชาติต่างๆในยุโรปทำให้ ไม่ สามารถขยายดินแดนได้อีก ต่อมาในสมัย
มะห์มูดที่ 2 ก็ได้จัดกองทัพแบบยุโรป โดยมีฝรั่งเศสให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ได้ทำสงครามกับกลุ่มประเทศในแหลมบอลข่าน อิตาลีและกรีก แต่ออตโตมานก็พ่ายแพ้มาตลอด ในสมัย
อับดุลฮามิดที่ 1 ได้เกิดกลุ่มยังเติร์กหรือเติร์กหนุ่มเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสุลต่านเป็นระบบสาธารณรัฐและให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายในการปกครองประเทศ ในที่สุด เคมาล ปาชา ผู้นำกลุ่มยังเติร์กสามารถชนะกรีก และต่อมาประกาศเลิกระบบสุลต่าน เลิกระบบเคาะลีฟะห์ เป็นการสิ้นราชวงศ์ออตโตมาน (อุษมานียะฮ์) เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประเทศตุรกีในปี ค . ศ. 1922 (เพราะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เข้าร่วมกับเยอรมัน) ประเทศต่างๆในคาบสมุทรบอลข่าน ตั้งตัวเป็นอิสระจากออโตมาน ตุรกีจึงเป็นประเทศสาธารณะรัฐมาจนถึงปัจจุบัน
                หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศมุสลิมต่างๆ ต่างก็ตั้งตนเองเป็นอิสระ ดินแดนอารอเบียตะวันออกกลาง ถูกครอบครองจากชาติยุโรปหลายประเทศ เช่นซีเรียฝรั่งเศสเข้าครอบครอง อิยิปต์ ปาเลสไตน์ อิรัก เยเมน โอมาน บาห์เรน อังกฤษเข้าครอบครอง



بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ

ท่านอบูบักร อบู กุฮาฟะฮฺ (اَبُو بَكْرِ) (ฉายา ) (اَلصِّدِّيْقَ  อัซซิดดิก) อายุน้อยกว่านบี 2 ปี เกิดปี ค . ศ .573 ปกครองมุสลิมที่นครมะดินะห์ปี ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634 ไม่ได้เผยแผ่ศาสนาออกไปมากนักปกครองมุสลิมอยู่ในเมืองมะดินะห์อย่างสงบ ทำนุบำรุง ฟื้นฟูด้านการศาสนาให้ดีขึ้น ให้มีการรวบรวมอัลกุรอานที่เขียนไว้บนวัสดุต่างๆ นำมาเขียนเพิ่มเติมใส่วัสดุที่คงทนถาวรมากขึ้น ชาวยิวในมะดินะห์ก็สงบไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนสมัยก่อนหน้า ปราบปรามกบฏผู้ทรยศต่อรัฐอิสลามและปราบปรามศาสดาปลอม ได้ส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปรบกับพวกโรมันที่ซีเรีย ภายใน 3 สัปดาห์ กองทหารของอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะที่มีต่อชาวโรมัน ท่านอบูบักร์เสียชีวิตในปีอิจญเราะฮฺที่ 13 ขณะที่ท่านอายุ 63 ปี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ ในระยะเวลา 2 ปี กับ 10 คืน ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้แต่งตั้งแต่งตั้งท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ต่อไป




بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ
ต่อมาสมัยท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ อายุน้อยกว่านบี 13 ปี เกิดปี ค.ศ. 513 เป็นเคาะลีฟะห์ที่ 2 ระหว่างปี ฮ.ศ. 13-23 หรือ ค.ศ. 634-644   ท่านอุมัรเข้ารับอิสลามเพราะได้ยินน้องสาวอ่านอัลกุรอาน เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เป็นอย่างดีและเข้าถึงทุกชนชั้น ด้านการศาสนาก็ดำริให้การละหมาดตะรอวี๊ห์ เป็นญะมะอะห์(ละหมาดร่วมกัน) ด้านการเมือง ก็ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุขพี่น้องอย่างทั่วถึง ด้านการเผยแผ่อิสลามไปต่างแดนก็ได้ส่งทูตไปหลายๆประเทศ เช่นทางตะววันตกส่งทูตไปถึงอิยิปต์แล้วข้ามแม่น้ำไนล์ไป แรกๆไปถึงแม่น้ำไนล์ไม่รู้จะไปต่อกันอย่างไร เพราะเป็นอาหรับทะเลทราย คณะทูตก็ส่งสาสน์กลับไปหาท่านอุมัรว่าติดอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ท่านอุมัรก็ตอบกลับไปให้คอยดูลักษณะน้ำ แล้วตรวจสอบกับคนพื้นเมือง จนมีโอกาสข้ามไปได้ในที่สุด คณะทูตท่านอุมัรก็เผยแผ่เลยออกไปตะวันตกมากขึ้นมากขึ้น ไม่มีการบันทึกว่าสมัยท่านได้ไปถึงไหน รู้แต่ว่าไปได้ไกลกว่าแม่น้ำไนล์ไปมาก จนไปถึงดินแดนทุระกันดารมากๆเข้าก็หยุด
ในสมัยอุมัรนี้ มุสลิมได้แผ่ขยายดินแดนออกไปจนเกือบจะถึงพรมแดนของประเทศปากีสถานในปัจจุบัน บรรดาประชาชนในสมัยนั้นยังคงเคารพบูชาไฟ และรูปเจว็ด และเขาเหล่านั้นได้แสดงความกระด้างกระเดื่องไม่ยอมอ่อนน้อมต่อมุสลิม สามารถพิชิต ปากีสถานได้สำเร็จ ไปถึงยังเมืองลาโฮร์
ด้านการทูตทางตะวันออกก็ส่งไปถึงอิรัก และอิหร่าน อิหร่านนับถือศาสนาบูชาไฟ
(Zoroaster และ فارسية) ซึ่งเป็นศาสนาที่มียิวและคริสต์ปะปนเรื่องความเชื่อความศรัทธาอยู่ เมื่อครั้งสมัยยิวอพยบไปอยู่ที่บาบิโลน(อิรัก ดินแดนเมโสโปเตเมีย) เมื่ออิสลามแผ่เข้ามาก็เกิดการเฉื่อยชา กระด้างกระเดื่องไม่ได้รับอิสลามแบบศรัทธา สมัยท่านอุมัรยังส่งทหารไปรบกับโรมันที่ชามจนได้ชัยชนะ และส่งทหารเข้าไปปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นอิสระจากโรมันด้วย
การทูตทางทิศเหนืออยู่ที่ดินแดนชามรบชนะโรมันมา (ปาเลสไตน์, ซีเรียและตุรกี) อุมัรเสียชีวิตเนื่องจากบาดเจ็บจากถูกลอบสังหารโดยชาวเปอร์เซียในปี ค.ศ. 643 ในขณะที่ท่านกำลังละหมาดอยู่ในมัสยิด





بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ
عثمان بن افان
ท่านอุษมานเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 3 ระหว่างปี ฮ.ศ. 23-35 หรือ ค.ศ. 644-656 แห่งเผ่าอุมัยยะฮ์(ตระกูลนี้ภายหลังได้ปกครองอาณาจักรอิสลามในภายหลัง) อุสมานมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 5 ปี ท่านอุษมานได้พิชิตดินแดนต่างๆ  ต่อจากท่านอุมัร ในการขยายดินแดนจนถึงอัฟกานิสถาน อาร์เมเนีย อาร์เซอร์ไบจัน และบางส่วนของเอเซียไมเนอร์(แถบบริเวณประเทศที่มีชื่อ***สถานต่อท้าย) ตลอดจนจนดินแดนที่อยู่ในอาฟริกาเหนือถึงประเทศ โมร็อกโค(อัลมักริบี้) และเกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน  ท่านอุสมานเป็นคนแรกที่จัดตั้งกองทัพเรือขึ้นต่อสู้กับการรุกรานของโรมัน กองทัพเรือมุสลิมยึดเกาะไซปรัส เกาะโรดส์ และยึดเมืองอเล็กซานเดเรียในอิยิปต์คืนจากพวกโรมันได้ พร้อมกับขับไล่อำนาจโรมันออกจากดินแดนอียิปต์ได้ กองทัพเรือมุสลิมได้แสดงวีรกรรมในการต่อสู้กับพวกโรมันในสงคราม " เสากระโดงเรือ " และได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
The Sasanian 
Empire 224 CE 651 CE จักรวรรดิซาซาเนี่ยน ปกครองอิหร่านอยู่นานกว่า 400 ปี นับถือศาสนา โซโลแอสเตอร์ พุทธ ฮินดู คริสต์ ยูดาย ได้รับความพ่ายแพ้แก่เคาะลิฟะห์ อุษมาน
ด้านภายในเมืองมะดินะห์อุษมานได้ขยายมัสยิดนะบะวีออกไปโดยใช้หินสกัด หลังคามุงด้วยไม้สัก ด้านการศาสนาได้คัดลอกอัลกุรอานจากต้นฉบับของฮับเซาะห์ ,ลูกสาวอุมัร ภรรยาท่านนบี แจกจ่ายไปตามหัวเมืองทั้งหลาย
ท่านอุษมานสิ้นชีวิต โดยการถูกสังหารในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ในบ้านของท่าน ค . ศ . 656 รวมอายุได้ 82 ปี ศพของท่านถูกฝังไว้ที่กุบูร อัล บะเกียะอ์ ที่มะดีนะฮ์ ปกครองได้ 12 ปี





بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ
علي بن ابي طالب

ท่านอาลี บิน อบู ฏอลิบ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ เกิดปี ค . ศ . 600 เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 4 ระหว่างปี ฮ.ศ. 35-40 หรือ ค.ศ. 656-661 มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านนบี ท่านมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 30 ปี อาลีมีความเก่งเรื่องการท่องจำอัลกุรอาน ท่านจำได้ทุกอายะห์ และท่านเคยตัดสินคดีความได้เฉียบขาดมากจนเป็นที่ยอมรับของนบี
เรื่องราวท่านอาลีนี่ค่อนข้างจะซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากเลยต้องให้รายละเอียดมากหน่อย ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความนี้ บทความนี้ไม่ใช่วิชาประวัติศาสตร์ จึงสอดแทรกข้อคิดเห็นส่วนตัวเข้ามา
คิดว่าเพราะสมัยท่านอุษมานแผ่ขยายอำนาจออกนอกประเทศ เรียกมะดินะห์ เมืองหลวงนครรัฐอิสลามมีเมืองมักกะห์เป็นเมืองคู่แฝดในทางศาสนา และมีเมืองอื่นๆ ในปกครองเลยเรียกว่าประเทศซะเลย การแผ่ขยายอาณาเขตปกครองออกไปกว้างขวางเพราะป้องกันการถูกรุกราน สมัยท่านนบีต่อเนื่องมาถึงอุษมานยังมีอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่แผ่อำนาจเหนือดินแดนอาราเบีย ไหนจะพวกกุร็อยช์มักกะห์ ไหนจะพวกยิวรอบๆมะดินะห์ ท่านนบีและเซาะฮาบะห์ทั้งหลายจึงต้องชิงขยายอาณาเขตออกไปก่อนที่จะมีผู้รุกรานเข้ามา การได้เมืองต่างๆ มาไว้ในการปกครองของอิสลาม ไม่ได้ได้มาด้วยความศรัทธาอิสลาม แต่เพราะได้มาด้วยการรบ ตัวแทนที่ไปเป็นผู้ปกครองดินแดนแคว้นต่างๆ ก็ขาดอิหม่านที่มั่นคง พวกเขาเพียงแต่รู้ศาสนาอิสลามว่ามีหลักการว่าอย่างไร แต่ขาดวิญญาณอิหม่านจึงปกครองแคว้นแดนต่างๆ ด้วยนัฟซู (ความเป็นปัจเจกบุคคล) มากเกินไป การขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางของอิสลามใช้เวลาไปเพียง 35 ปี จากท่านนบีจนถึงต้นสมัยอาลีปกครอง เวลาอันรวดเร็วนี้เองที่เป็นข้อเสีย ทำให้สมัยการปกครองของอาลีจึงระส่ำระสาย
ด้านการรบ ท่านเคยเป็นแม่ทัพในสงครามตะบูก สงครามบะดัร สงครามอุหุด สงครามคอนดักที่ได้รับฉายาว่า สิงโตแห่งอัลลอฮุ ก็รบชนะที่คอนดักนี่เอง
หลังจากท่านอุษมานถูกฆาตกรรม ประชาชนชาวมะดีนะฮ์ รวมถึงกลุ่มกบฏได้ให้การสัตย์สาบาญต่อท่านอะลี อิบนุ อบีฎอลิบให้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์คนที่ 4 แห่งอาณาจักรอิสลาม ท่านอะลีเป็นผู้นำรัฐอิสลามในขณะที่สถานการณ์รอบด้านเต็มไปด้วยความวุ่นวายระสำระสายและมีความแตกแยกกันอันสืบเนื่องจากฟิตนะตุลกุบรอ ท่านหญิงอาอิชะฮ์พร้อมกับท่านฏ็อลฮะฮ์ และท่านซุบัยร์ รวมตัวกันบีบคั้นท่านอะลีให้รีบเร่งดำเนินคดีต่อกลุ่มกบฏฆาตกรท่านอุษมาน ในขณะที่มุอาวิยะฮ์ อิบนุ อบี สุฟยาน ซึ่งเป็นข้าหลวงในซีเรียมาตั้งแต่สมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัรปฏิเสธที่จะให้การสัตย์สาบานต่อเคาะลีฟะฮ์อะลี พร้อมกับกล่าวหาท่านเคาะลีฟะฮ์อะลี มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ฆาตกรรมท่านอุษมาน จุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันระหว่างเคาะลีฟะฮ์อะลีกับท่านหญิงอาอีชะฮ์และท่านมุอาวิยะฮ์ข้าหลวงแห่งซีเรียจบลงโดยการสงครามญะมาล ( สงครามอูฐ ) และสงครามซิฟฟีนตามลำดับ ซึ่งเป็นศึกสายเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลามและทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังทหารและศอหาบะฮ์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลุ่มคอวาริจญ์ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งมัจลิสตะห์กีม ( คณะอนุญาโตลาการเพื่อหาทางออกปัญหาคิลาฟะฮ์ ) ในสงครามซิฟฟีน และนำไปสู่สงครามนะห์รอวาน ระหว่างกองทัพเคาะลีฟะฮ์อาลีกับกลุ่มคอวาริจญ์

ท่านอาลีเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร ด้วยการใช้ดาบอาบยาพิษฟันบนศีรษะในขณะที่ท่านละหมาดอยู่ที่มัศญิดในเมือง กูฟะฮ์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีสิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 40 (ค . ศ . 661) ขณะนั้นท่านอายุ 63 ปี ศพของท่านฝังไว้ที่เมืองนาจ๊าบ เพื่อป้องกันการมาทำลายศพจึงไปแอบฝังลับๆที่นาจ๊าบเป็นจังหวัดใหญ่กว่ากูฟะห์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีเป็นแบบอย่างที่ดีของความเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธา ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านได้อุทิศทุกอย่างเพื่อศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า พวกยุโรปจะเรียกสมัยเคาะลิฟะห์ทั้งสี่ว่า ”จักรวรรดิรอชิดีน”
หะซัน บิน อาลี ลูกชายคนโตของอาลี บิน อบู ตอลิบ เกิดปี ฮ.ศ.3 (ค.ศ. 625) เขาได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่ 5 ในปีฮ.ศ. 41 (ค.ศ.661)  ขึ้นมาครองตำแหน่งเคาะลีฟะห์ได้เพียงหกเดือน ก็ต้องโอนอำนาจไปให้มุอาวิยะห์  หะซันเสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษ เมื่อปี ฮ.ศ. 50 (ค.ศ. 675) ร่างถูกฝังที่กุบูรอัลบะกีอะ นครมะดินะห์ ตำแหน่งเคาะลิฟะห์นั้นสิ้นสุดที่หะซัน มุอาวิยะห์เป็นได้แค่กาลิบ หรือซุลตอน (ผู้นำ ผู้ปกครองบ้านเมือง)
ฮุเซน  บิน  อาลี (น้องชายหะซัน) เกิดเมื่อ ฮ.ศ.4 (ค.ศ.626) อ่อนกว่าหะซันหนึ่งปี ตายเมื่อ  (10 มุฮัรรอม ฮ.ศ.61
) ค.ศ. 680 อายุ 54 ปี ตายที่เมือง “กัรบาลา” ห่างจากกูฟะห์ (เมืองที่อาลีผู้พ่ออาศัยและตาย) สาเหตุที่ตายคือนำทัพไปเมืองกัรบาลา (ชื่อเมืองนี้แปลว่า “เมืองที่จะพิสูจน์การทรมาน พวกชีอะห์ให้ความเคารพนับถือฮุเซนมากด้วยเหตุที่ฮุเซนประกาศปฏิเสธการมอบคำปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อ ยะซีด ที่ 1 เพื่อแลกกับตำแหน่ง เพื่อหลบเลี่ยงการมีปัญหากับ ยะซีด ฮุเซนก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในมักกะห์ ส่วนยะซีดมีแผนการกำจัดฮุเซนโดยการปลอมแปลงเป็นพวกชาวกูฟะห์ แล้วส่งหนังสือมาแสดงความจงรักภักดีว่าจะสวามิภักดิ์ต่อฮุเซนและร้องขอให้ฮุเซนยกทัพไปช่วยเหลือ ฮุเซนก็ยกทัพไปกัรบาลา เมื่อทัพมาถึงกัรบาลา กองทัพฝ่ายยะซีดก็เข้ามาขวางทันที และจับฮุเซนได้ แล้วตัดหัว เชื่อกันว่าแม่ทัพยะซีดได้นำหัวของฮุเซนกลับไปให้ยะซีดที่ดามัสกัตด้วย เรื่องย่อๆ ของเคาะลีฟะห์อาลี-เคาะลิฟะห์หะซันและฮุเซน พอแค่นี้ก่อน



بِـــسْــــــمِ اللَّهِ الرَّحْمَانِ الرَّحِــيْــمِ


ชิริก  شِركُ  หรือ Allah accompany คือ การเคารพบูชาสิ่งอื่นพร้อมกับเคารพภักดีอัลลอฮฺ
ความหมายในศาสนาอิสลามคือ การเคารพ สักการะ หรือยึดถือ หรือเชื่อว่า หรือเกรงกลัว หรือพึ่งหวัง ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลใด ที่จะให้คุณให้โทษแก่บุคคลนั้นๆได้ ฉะนั้นจึงต้องกลัวและพึ่งหวังในอำนาจของ อัลลอฮฺเพียงองค์เดียว
                เช่น บางคนกลัวผีที่จะมาหลอกหลอน ทั้งๆ ที่อิสลามไม่เคยสอนเรื่องผี เพราะเมื่อตายไปวิญญาณจะถูกส่งเข้าไปเก็บใน อะลัม บัรซัค  (عَالَمُ بَرْزَخُ Pause world.) วิญญาณไม่ได้อยู่ที่หลุมศพ หรือล่องลอยเป็นสัมภเวสี หรือบางคนกลัวเวทย์มนต์ในบางแห่งบางสถานที่จนเกินไป ทำให้ไม่กล้าที่จะไปหรือผ่านที่นั้น หรือบางคนกลัวสัตว์บางชนิดมากเกิน ทั้งๆ ที่มันไม่สามารถทำให้ตายได้ กลัวหนู กลัวจิ้งจก กลัวปลิง ความกลัวต่างๆ ต้องให้ลดน้อยลงไปให้กลัวในอำนาจของ อัลลอฮฺที่กำชีวิตเราทุกคนอยู่พระหัตถ์ของพระองค์ สัตว์ต่างๆ เหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งบังเกิดมาจากการบันดาลของ อัลลอฮฺ ให้มาเป็นข้อคิดถึงว่า เหล่าสรรพสัตว์ต่างเกิดมาให้เป็นเพื่อนเป็นอาหารของมนุษย์ ฉaะนั้นการกลัวสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไปก็หมิ่นเหม่ต่อการเป็น “ชิริกต่อ อัลลอฮฺ” ชิริกจึงไม่ใช่แต่การเคารพสักการะอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ แล้วยังมีความหมายรวมไปถึงสิ่งอื่นๆ ที่เทียบเคียงแล้วว่า กลัวหรือหวังในอำนาจมืดหรือสัตว์ต่างๆ
                การเอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นถือมั่นว่าตนนั้นทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ทั้งๆ ที่มีคนอื่นตักเตือนว่าไม่ถูกในหลักธรรมอิสลาม แต่อ้างเหตุผลนี่ โน้น นั่น ที่จะยอมรับฟังคำตักเตือน การยึดมั่น ถือมั่นว่าตนนั้นทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ทั้งๆ ที่ทำไม่ถูกหลักเล็กๆ น้อยๆ ในศาสนาอิสลาม เพราะสิ่งผิดเล็กๆ น้อยๆ นั้นเป็นต้นเหตุแห่งความผิดที่ใหญ่ขึ้น มุสลิมคือ “ผู้นอบน้อม ถ่อมตน ยอมจำนนในหลักธรรมอิสลาม” การยึดมั่น ถือมั่นนี้ เป็นชิริกเล็กชนิดหนึ่ง ชิริกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ อัลลอฮฺไม่ให้อภัยแน่นอน

ชิริกแบ่งออกเป็นสองชนิด คือ ชิริกใหญ่ และชิริกเล็ก
การเคารพบูชาหรือ อิบาดะฮ์ต่อสิ่งอื่นคู่เคียงอัลลอฮฺมีมากมายหลายชนิดด้วยกัน เช่นวิงวอนขอ ความช่วยเหลือ การขอความคุ้มครอง การเชือด การบนบาน
ผู้ที่ทำชิริกใหญ่ต้องได้รับผลดังต่อไปนี้คือ อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เขา อัลลอฮฺตรัสว่า “ แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษในการที่พระองค์ถูกตั้งภาคี
            ชิริกเล็กมีดังนี้คือ การโอ้อวด เช่น การปฏิบัติความดี การทำซอดาเกาะฮ์ การละหมาด เพื่อโอ้อวดผู้อื่น ท่านเราะซูล (ศ็อล ลัลลอฮุ อาลัยฮิ วะ ซัลลัม) กล่าวว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ฉันมีความหวาดกลัวมากที่สุดที่เกิดกับท่านทั้งหลายคือ ชิริกเล็ก อันได้แก่ การโอ้อวด เวทย์มนต์ในบางแห่งบางสถานที่จนเกินไป ทำให้ไม่กล้าที่จะไปหรือผ่านที่นั้น หรือบางคนกลัวสัตว์บางชนิดมากเกิน
           การสาบานต่อผู้อื่น สิ่งอื่น ด้วยความพลั้งปากหรือความเคยชิน ท่านเราะซูล กล่าวว่า “ ผู้ใดที่สาบานอื่นจาก อัลลอฮฺ แท้จริง เขาได้ตั้งสิ่งอื่นเป็นภาคีกับ อัลลอฮฺ ” (รายงานโดย อะห์มัด)



"ข้อห้ามบางส่วนในอิสลาม"
1.        ห้ามตั้งหุ้นส่วนหรือภาคี หรือนำสิ่งใดมาเทียบเคียงกับ อัลลอฮฺ ว่าให้คุณให้โทษแก่เราได้
2.        ห้ามชิริก (ชิริกคือการเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นใหญ่แล้วยึดมั่น ถือมั่นว่า ดีแล้วถูกแล้ว) เช่นการเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ ทำอะไรผิดพลาดไปมีคนมาติเตียนแล้ว ไม่ยอมรับฟัง เอาแต่อ้างว่า ตนทำดี ทำถูกแล้ว นี่ก็เท่ากับชิริกกับ อัลลอฮฺ คือเอาใจตนเป็นที่ตั้ง
3.        ห้าม เชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง หมอดู ห้ามถือโชคลางของขลัง ฤกษ์ยามและไสยศาสตร์ ทั้งหลาย การทำเสน่ห์ เวทมนตร์ ตะกรุด ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง เชื่อการทำนายโชคชะตา การทำนายฝัน ท่านนะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า " แท้จริงการเป่าคาถาอาคม การแขวนเครื่องรางของขลัง และการทำเสน่ห์ยาแฝดนั้น เป็นชิริก (ตั้งภาคี)"
4.        ห้ามล่นการพนันทุกรูปแบบ เสี่ยงโชค
5.        ห้ามเสี่ยงทาย ดูดวง โชคชะตาราศี
6.        ห้ามซื้อขายหวยใต้ดินและสลากกินแบ่งรัฐบาล
7.        ห้ามกินสัตว์ที่ตายเอง และสัตว์ที่มิได้เชือดด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ยกเว้น ตั๊กแตน ปลา สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล
8.        ห้ามดื่ม กินอาหารอย่างฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย เหลือทิ้งขว้าง
9.        ห้ามเสพ หรือขาย หรือนำพา สิ่งของมึนเมาทุกชนิด และสิ่งเสพติดทุกรูปแบบ
10.     ห้าม ผิดประเวณี ห้ามสำส่อนทางเพศลักลอบเสพกามา ไม่ว่าระหว่างชาย หญิง หรือเพศที่3 ไม่ว่าด้วยการยินยอม หรือสมัครใจ หรือการจ่ายค่าตอบแทน และห้ามอ่านหรือสนับสนุนสื่อ ที่นำพาไปสู่การผิดประเวณีและอบายมุข
11.     ห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยเจตนา ปราศจากความเป็นธรรม (ฆ่าสัตว์เพื่อรับประทานได้ และฆ่าสัตว์ร้ายเพื่อปกป้องชีวิต แต่ก่อนอื่นพยายามไล่มันไปก่อน)
12.     ห้ามติดสินบนทุกชนิด
13.     ห้ามสู่รู้เรื่องของผู้อื่น และอย่านำเรื่องของผู้อื่นไปพูดหรือเปิดผย
14.     ห้าม เฉยเมย เมื่อมีคนทักทาย
15.     ห้ามบริโภคน้ำและอาหารที่รู้ว่ามาจากการทุจริต
16.     ห้ามกระทำการใดๆ ที่สร้างความเดือดร้อน อันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
17.     ห้ามเข้าไปในบ้านของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต
18.     ห้ามประกอบอาชีพที่ขัดต่อศีลธรรม คุณธรรม ซึ่งอาชีพเหล่านั้นจะนำไปสู่ความหายนะ
19.     ห้ามทำแท้ง เว้นแต่มีความจำเป็นที่ชอบด้วยบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
20.     ห้ามเป็นคนหลงชาติ หลงตระกูล หลงตัวเองว่า ดี มี เก่ง รู้ มากกว่าคนอื่น
21.     ห้ามกักตุนสินค้า และค้ากำไรเกินควร
22.     ห้ามขายสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ แล้วโฆษณาว่าดีมีคุณภาพ เท่ากับหลอกลวงขายสินค้า
23.     ห้ามสตรีเปิดเผยอวัยวะทีพึงสงวน นอกจากใบหน้าและมือ
24.     ห้ามสตรีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบาง รัดรูปร่าง ยั่วยวน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาอาชญากรรม
25.     ห้ามใช้เวลาและทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์
26.     ห้ามร่วมประเวณีกับภรรยาขณะมีประจำเดือน และทางทวารหนัก
27.     ห้ามเรียกผู้อื่นโดยฉายาแทนชื่อของเขา
28.     ห้ามคบค้าสมาคมกับทรราชผู้กดขี่ คนเลว
29.     ห้ามหนีทัพในขณะประจัญบานเมื่ออยู่ร่วมกันสามคน
30.     ห้ามคนสองคนพูดภาษาเดียวกันที่คนที่สามฟังไม่รู้เรื่อง หรือห้ามการซุบซิบในสองคนโดยมีคนที่สามอยู่ด้วย
31.     ห้ามเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยทุกรูปแบบ ทุกชนิด
32.     ห้ามถ่ายปัสสาวะ และอุจจาระลงในแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร สระ บ่อ
33.     ห้ามอิจฉาริษยา จงยินดีกับเขาที่มีฐานะดีหรือได้ดีมีสุข
34.     ห้ามเป็นพยานเท็จ
35.     ห้ามบิดพลิ้ว ผิดสัญญา
36.     ห้ามเบียดเบียน ยักยอก ทรัพย์สินของเด็กกำพร้าหรือผู้อื่น
37.     ห้ามสิ้นหวังในความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
38.     ห้ามสัมผัสมือและส่วนอื่นๆ กับผู้ที่แต่งงานกันได้
39.     ห้ามผู้ชายทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และห้ามผู้หญิงเลียนแบบผู้ชาย
40.     ห้ามมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
41.     ห้ามฆ่าตัวตายไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
42.     ห้ามมุสลิมใช้ภาชนะ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากทองคำและเงิน
43.     ห้ามปฏิเสธการเรียกหาของสามีต่อภรรยา หรือภรรยาเรียกหาสามี แม้จะทำครัวอยู่ก็ตาม เพราะต่างคนเป็นอาภรณ์ต่อกัน
44.     ห้ามปรึกษาหารือเรื่องภายในครอบครัวกับเพื่อนบ้านหรือบุคคลภายนอก
45.     ห้ามใช้เหตุผลหรืออารมณ์ตน เพียงคนเดียว อย่าลืมว่า ครอบครัวต้องประกอบด้วยคนสองคนขึ้นไป ลดหรือละทิ้ง มิจฉาทิฐิ (ความเป็นตัวเองด้านมืด) คำว่าครอบครัวสูงส่งกว่าคำว่าตนเอง
46.     ห้ามทำโทษด้วยการตบหน้า หรือทำร้ายที่ใบหน้า
47.     ห้ามยืนดื่มหรือกิน
48.     ห้ามพูดคุยขณะอุจจาระหรือปัสสาวะ
49.     ห้ามกินดื่มด้วยมือซ้าย
50.     ห้ามกินดื่มจนอิ่มเกินไป กินอาหารเพียง1/3 ของกระเพาะ และน้ำอีก 1/3 ที่เหลือเป็นลมอากาศ
51.     ห้ามซื้อ-ขายแมว หมา
52.     ห้าม ซื้อ-ขาย-นำพา-ดื่ม-ร่วมวง กับสุรา เมรัย หรือสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วมึนเมา
53.     ห้ามลูกๆ ตวาด ออกเสียง ออกอาการ ทำตาขึงขังจ้องมองหน้า ทำท่าทาง ไม่พอใจ บุพการี พ่อ แม่
อัลลอฮฺ บอกว่า “สวรรค์นั้น อยู่ใต้ฝ่าเท้าของแม่เจ้า จงหมั่นดูแล เอาใจใส่ เรื่อง อาหาร ยา เสื้อผ้า น้ำที่ท่านจะอาบเย็นไปไหม หิวของหวานไหม อยากได้อะไรเพิ่มเติมจากที่กิน ทุกๆ วันไหม สับเปลี่ยนผลไม้ให้กินบ่อยๆ มื้อละนิดละหน่อย พอชื่นใจ พาหลานๆ มาให้ท่านเล่น ชื่นชมบ่อยแค่ไหน
54.     ห้ามยุแหย่ ยุยงให้คนทะเลาะกัน แตกความรักความสามัคคีกัน
55.     ห้ามใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเงินทองสิ้นเปลือง ต้อง อดออมมัธยัสถ์
56.     ห้ามนินทา ว่าร้ายผู้อื่น (การนินทาเปรียบได้ดังการกินซากศพญาติพี่น้องกันเอง)
57.     ห้าม บ่น ว่าร้าย ดูถูก อาหาร (เช่นอาหารไม่อร่อย ให้กินได้เท่าที่กิน ห้ามบ่นว่า อาหารไม่อร่อยเลย)
และห้ามดูถูกน้ำ (เช่นการอ้างว่าน้ำนี่ไม่ดี ไม่อร่อย ต้องน้ำนั้น น้ำนี้สิ ดีกว่า)
58.     ห้ามกินอาหารและเครื่องดื่ม เย้ยหยัน ยั่วยวน โอ้อวด คนข้างบ้านที่ยากจนกว่า หรือถ้ามีอาหารที่เพียงพอในครอบครัวแล้ว จงแบ่งปันเพื่อนบ้านบ้าง อย่าให้ของเหลือจากกินแล้ว จงให้ของที่ไม่ใช่เศษเหลือเดน
59.     ห้ามพูดจา โอ้อวด โหวกเหวก ด้วยเสียงดัง ไปจนทั่วท้องถนน
60.     ห้ามนั่งอุจจาระ ปัสสาวะที่โล่งกลางแจ้ง โดยไม่มีอะไรปิดบังด้านหน้า ไม่อะไรจริงๆ ให้ใช้กิ่งไม้ปักไว้ข้างหน้าก็ยังดี
61.     ห้ามพูดจาเปรียบเปรยว่าคู่ครองของตนเหมือนพ่อแม่ เช่น เปรยว่า เธอนี่ช่างเหมือนแม่เธอเสียจริง
คุณนี่ทำเหมือนเป็นพ่อคนที่สองเลย
62.     ห้ามหญิงที่มีเลือดระดู น้ำคาวปลา เลือดเสียอื่นๆ เข้าไปในมัสญิด และหยิบ จับ หรือ อ่าน อัลกุรอาน
63.     ห้ามภรรยาถือศีลอดอาสา (นอกเดือน เราะมะฎอน) เว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตจากสามีก่อน
64.     ห้ามภรรยาออกนอกบ้านโดยไม่มีมะห์ร็อม (สามี ลูกชาย หลานชาย น้า อา ลุง ปู่ ตา ผู้ที่แต่งงานกันไม่ได้ ผู้ช่วยเหลือ คุ้มกัน) และต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน
65.     ห้ามภรรยาอยู่ในที่ลับระหว่างชายอื่น เว้นแต่มะห์ร็อม
66.     ห้ามภรรยาเปิดประตูรับชายอื่นเข้าบ้าน และห้ามสามีพาหญิงอื่นเข้าบ้าน ยกเว้นทาส และญาติชิด
67.     ห้ามสามี ดุ ด่า ว่ากล่าว เฆี่ยนตีภรรยาด้วยความโมโห โทโส เคียดแค้น โดยไร้เหตุอันควรและห้ามด่านางถึงบรรพบุรุษ
68.     ห้ามปฏิเสธคำเชิญในงานแต่งงาน และพิธีศพ(ละหมาดและตามไปส่งลงหลุม)
(สมัยโบราณแขกจะมาช่วยงานด้วยแรงกายและของช่วย เช่น พริก หอม กระเทียม ข้าวสาร เกลือ น้ำตาล มะพร้าว ไข่เป็ดไข่ไก่  แต่สมัยนี้ไม่มีใครตุนวัสดุเหล่านี้แล้ว ก็มาช่วยงานด้วยเงินแทน คิดเฉลี่ยตัวคนๆ ละ250.- ถ้าบ้านเราไปกัน4คนก็ควรใส่ซองช่วยไป 1,000.- อย่าเห็นแก่ตัว เมื่อถึงยามที่ต้องช่วยกันก็ต้องช่วย เพื่อหวังการตอบแทนที่เพิ่มพูนจาก อัลลอฮฺ (คุณกินอาหารตามห้างร้าน มื้อหนึ่งก็3-400แล้ว)
69.     ห้ามพูดจาโอ้อวด โหวกเหวก ด้วยเสียงอันดัง ไปจนทั่วท้องถนน
70.     ห้ามพูดจาโกหก หลอกลวง เพ้อเจ้อ ตลกโปกฮา
71.     ห้ามปล่อยให้เพื่อนบ้านหิวโหย ขณะที่ตนกินอิ่มก็ดี นอนหลับก็สบาย
72.     ห้ามพูดกับ สามี หรือภรรยา เปรียบเปรย เปรียบเทียบเหมือน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เช่น สามีพูดเปรียบกับภรรยาว่า “หน้าอกเธอ เหมือนของแม่เธอเลย”, สามีพูดว่า “เธอนี่บ่นเหมือนแม่เธอเลย”, ภรรยาพูดว่า “คุณนี่สอนฉันอย่างกับเป็นพ่อเลย”, สามีพูดว่า “พาลูกสาว (คือภรรยา) ไปเยี่ยมพ่อแม่หน่อย”

สิ่งที่ควรทำ
ซุนนะตุ้นนบี
(แบบอย่างท่านนบี)
1.     ตั้งแต่เกืด เมื่อกำเนิดทารกชายหญิง จงอะซานที่หูขวา อิกอมะห์ที่หูซ้าย จงตั้งชื่อ โกนผมไฟ ทำอะกีเก๊าะห์ ตะห์นีก ให้ลูกๆด้กินนมแม่สองขวบปี
- โกนผมไฟ ไม่ใช่ตัดเล็ม ขริบ ผมไฟ
- อะกีเก๊าะห์คือเชือดแพะหรือแกะ เด็กชายสองตัว เด็กหญิงหนึ่งตัว
- ตะห์นีก คือการบดอินทผาลัมเล็กน้อยผลมน้ำผึ้งเล็กน้อย สักเม็ดถั่วเขียวป้ายไปบนเพดานปากเด็ก ผู้เป็นพ่อควรทำให้ลูกตน
2.     อ่านกุรอานให้ลูกฟังตั้งแต่แบเบาะ เขาได้ยิน เขารับรู้
3.     ห้ามเรียกลูกเหมือนเรียกสัตว์
4.     ส่งให้เรียนอัลกุรอานเมื่อถึงเกณฑ์ (ประมาณเจ็ดชวบ)
5.     เรียกลูกละหมาดทุกๆวัคตู(เวลา) ถึงลูกจะเล่น ซน ปีนป่ายหลัง หัวของพ่อก็ปล่อยเขา ถ้าเขาขวางทางสุญูดก็เลี่ยงไป หรือค่อยๆผลักเขาออก
6.     ปัสสาวะเด็กชายที่ยังไม่กินอาหารอื่นนอกจากนมแม่ ถ้าเปลื้อนผ้าเจ้า ก็เพียงพรมน้ำใส่ ถ้าบนพื้นก็พรมน้ำใส่แล้วเช็ด
แต่ ถ้าปัสสาวะเด็กหญิงไม่ว่าจะอายุเท่าใด ต้องราดน้ำล้าง
7.     ห้ามดุด่า ประณาม เฆี่ยนตี ลูกๆเหมือนทาสหรือสัตว์
8.     ก่อนจะลงมือประกอบกิจใดๆ อ่าน “บิสมิลลาฮ์” ด้วยเสียงที่คนข้างเคียงได้ยิน (ยกเว้นขับถ่าย)
9.     กินอาหารหรือเครื่องดื่มแล้ว ควรกล่าว “อัลฮัมดุ ลิลลาฮ์”ทุกๆครั้ง
10.  การจาม ต้องกล่าว อัลฮัมดุ ลิลลาฮ์”ทุกๆครั้ง และตอบรับคนจามด้วยคำว่า “ยัร ฮัมมุ กัลลอฮ์”
11.  การหาวนอน ต้องกล่าว “อะอูดู บิลลาฮิ มินัช ชัยฏอ นิรเราะญีม”
12.  กล่าวกะลิมะห์ ชะฮาดะห์ทุกครั้งก่อนนอน และตื่นนอน
13.  กล่าว “บิสมิลลาฮิ วะ อัลลอฮุ อักบัร” เมื่อจะขึ้น-ลง พาหนะหรือขึ้นลิฟท์
14.  กล่าว “บิสมิลลาฮิ วะ อัลลอฮุ อักบัร” เมื่อจะเชือดสัตว์เป็นอาหาร และหันหน้าคนเชือดไปทางกิบละห์(บัยตุลลอฮ์ ในมักกะห์)
15.  ให้อาหาร เครื่องดื่ม สลาม แก่คนทางขวาเจ้าก่อน แล้ววนไปขวาของทุกคน(เรียกว่าวนซ้าย)
16.  ก้าวเท้าขวาออกจากบ้านพร้อมกับกล่าว “บิสมิลลาฮ์”
17.  กลับเข้าบ้าน ก้าวเท้าขวาเข้าบ้านพร้อมกับกล่าว “บิสมิลลาฮ์” และให้สลามทันที ด้วยเสียงที่คนข้างเคียงได้ยิน และเมื่อเข้ามาพบคนในบ้านก็ให้สลามซ้ำอีกที
18.  ก้าวเท้าซ้ายเข้าห้องน้ำ กล่าว “อะอูดู บิลลาฮิ มินัช ชัยฏอ นิรเราะญีม”
19.  ก้าวเท้าขวาออกจากห้องน้ำ
20.  สวมรองเท้าข้างขวาก่อน และถอดรองเท้าข้างซ้ายก่อน
21.  กิน ดื่มด้วยมือขวา
22.  คนอยู่บนยานพาหนะ หรือเดิน ยืน ให้สลามแก่คนนั่ง
23.  ให้สลามแก่เด็กๆก่อน
24.  เห็นศพเคลี่ยนย้ายผ่านหน้ามา ต้องยืนให้ศพ(ทุกศาสนา)
25.  จงพยายามละหมาดให้เป็น ญามะอะห์(รวมๆกัน)
26.  จงละหมาดสุนัตในบ้านมากๆ
27.  จงปลุกคนในครอบครัวมากินอาหารซะฮูร(เดือนเราะมะดอน)
28.  จงอ่านและฟังอัลกุอานมากๆ ในช่วงเราะมะดอน
29.  หมั่นเพียรละหมาดวิติร เราะกะอัตคี่(1,3,5,7)ในบ้าน
30.  หมั่นเพียรละหมาดสุนัตสองเราะกะอัตก่อนละหมาดศุบฮิ
31.  จงพูดและทำแต่สิ่งดี แม้แต่กับสัตว์ จะมีศิริมงคลแก่ตนเอง
32.  จงกิน ดื่มแต่พอดี ไม่มากเกินไปจนแน่นท้อง
33.  บริโภคอาหารและน้ำอย่างประหยัด อย่าเหลือทิ้ง
34.  จงทักทายเพื่อนบ้าน
35.  จงเยี่ยมคนรู้จักที่เจ็บ ไข้ได้ป่วย
36.  จงรับคำเชิญ
37.  จงร่วมงานศพ และงานแต่งงาน
38.  จงใช้จ่ายทุกอย่าง อย่างถี่ถ้วน ไม่สุรุ่ยสุร่าย
39.  จงทำทานอย่างสม่ำเสมอ (เริ่มจากคนในบ้าน เพื่อนบ้านและอื่นๆ)
40.  จงรักษา ทำสะอาดปากและฟัน ร่างกาย และเคหสถาน
41.  รีบละหมาดเมื่อเข้าเวลา และชักชวนกันละหมาดญะมาอะห์(ร่วมกัน)
42.  ถือศีลอดเราะมะดอน ให้ครบ อย่าหาเรื่องเจ็บป่วยมาอ้าง เพื่อหลีกเลี่ยง
43.  จ่ายซะกาต 2.5% เมื่อมีเงินเก็บครบรอบปี ในจำนวนหนึ่งแสนบาท(จ่าย2,500บาท)
จำนวน20ดินาร์ หรือน้ำหนักทองคำ85กรัม(น้ำหนัก5บาท,สองสลึง,สิบห้าสตางค์)
แก้ว แหวนเงินทอง เครื่องประดับที่มีใช้ประจำ ไม่ต้องจ่ายซะกาต
44.  ไปทำฮัจญ์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เมื่อภาวะพร้อม เงิน โอกาส สุขภาพ ความปลอดภัย
45.  หมั่นรำลึกถึงความเมตตากรุณาปรานีจากอัลลอฮ์ที่ให้หลายๆ สรรพสิ่งแก่เรามา
46.  มีจิตใจเมตตา(อยากให้เขาเป็นสุข) กรุณา(อยากให้เขาพ้นทุกข์) โอบอ้อม อารี ต่อผู้น้อย
47.  ขอดุอาอ์และขออภัยโทษจากอัลลออฮ์บ่อยๆ จงขอให้ตนเองและครอบครัว รองลงมาขอให้พ่อแม่ ต่อมาขอให้กับพี่น้องมุสลิมีน มุสลิมาต มุอฺมินีน มุอฺมินาตทั้งหลาย
48.  หมั่นช่วยเหลือจุนเจือ เด็กกำพร้า ผู้แก่เฒ่าชรา หญิงหม้าย ที่ขาดคนดูแลและยากจน ขัดสน ด้วยเหตุทำมาหากินได้ไม่พอใช้จ่ายในบ้าน (ห้ามให้เงินกับขอทาน นอกจากเขามีสิ่งแลกเปลี่ยน เช่นวนิพกร้องเล่นดนตรีแลกเปลี่ยนเงินเรา แสดงมายากล ฯลฯ)
49.  นับถือผู้อาวุโสที่มีคุณธรรม
50.  หมั่นตักเตือนกันให้ประกอบกิจกรรมด้วยความดี มีคุณธรรมตามอิสลามเป็นต้นแบบ (ไม่ใช่ความดีที่ตนนึกคิดเอาเองว่ามันคือความดีของตน)
51.  พูดจาสุภาพ อ่อนน้อม ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ
52.  ไม่เอาชนะ คะคานกันเองว่า “ฉันดีกว่าเธอ . . . อย่างนั้นอย่างนี้” สามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน ไม่มีใครเก่ง ใครดี ใครวิเศษณ์ไปกว่ากัน เราเป็นเพียงเศษหนึ่งในองค์ประกอบคำว่า “ครอบครัว”
53.  ขยันหมั่นเพียร พัฒนาให้เจริญก้าวหน้าในอาชพการงานที่หะล้าล ทำงานหนักไม่ทำให้ตาย ทำงานเป็นในหลายๆอย่างก็ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ต้องทำงานอย่างมีหลักเกณฑ์วิชาการ การจ้างถ้าถูกกว่าทำเองควรจ้าง การจ้างถ้าปลอดภัยกับตนเองก็ควรจ้าง
54.  ไม่จมปรักอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป ทำให้เสียเวลาอันมีค่าไป เช่น ดูทีวีรายการไร้สาระ ตลกโปกฮา เล่นเนตทั้งวัน ควรเล่นอย่างมาก 4ครั้งๆ ละสามสิบนาที เวลาที่มีเอาไปทำอาม้าลอื่นๆ ได้มากกว่า เช่น อ่านหนังสือศาสนา
55.  จงท่องเที่ยวไปบนหน้าแผ่นดินของอัลออฮ์ เพื่อเจ้าจะได้พบเห็นอายะติฮี(สิ่งบังเกิดจากอัลลอฮ์) ให้นำมาใคร่ครสญ พิจารณาถึงความเมตตากรุณา และความยิ่งใหญ่ จากอัลลอฮ์
56.  เจ็บไข้ได้ป่วยจงรักษา เยียวยา อย่าปล่อยให้อัลลอฮ์รักษาเจ้า อยู่ฝ่ายเดียว
57.  ผู้เป็นภรรยา เมื่อผู้เป็นสามีเรียกหา ควรจะต้องรีบเข้าไปหา แม้แต่จะทำครัวอยู่ก็ตาม
58.  ผู้เป็นภรรยา อย่าหลีกเลี่ยง บ่ายเบี่ยง หรือปฏิเสธ เมื่อสามีเข้าหา เพราะจะช่วยไม่ให้เขา ออกไปหาสิ่งเล็กสิ่งน้อยนอกบ้าน
59.  อ่านซูเราะห์อัลอิคลาส(กุลฮูวัลลอฮุ อะฮัด...) และมุอาวิดาตาน “กุลอะอูดู บิร็อบบิลฟะลัก...และกุลอะอูดู บิร็อบบินนาส” ก่อนนอน (เมื่อพร้อมที่จะนอนหลับ) อ่านแล้วเป่าใส่ฝ่ามือทั้งสอง แล้วนำมาลูบหัวลูบหน้าลูบตัว ผู้เป็นสามีอ่านแล้วควรเป่าใส่ภรรยาเจ้าด้วย
60.  หมั่นไปเยี่ยมกุบูร เพื่อรำลึกถึงว่า สักวันเราจะต้องมานอนที่นี่ พร้อมกับอ่านดุอาอ์
عليكم دار قوم مؤمنين وإنا إن شاء الله بكم لاحقون
อัสลามุ อ้าลัยกุม ดาเราะ เกามิลมุอ์มินีน วะ อินนา อินชา อัลลอฮ์ บิกุม ลา ฮิกูน
ขอความศานติแด่ทุกท่าน ณ บ้านแห่งผู้ศรัทธา(กุบูร)แห่งนี้
แน่แท้พวกฉันจะต้องติดตามพวกท่านไปอย่างแน่นอนด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์
61.  จงไปเยี่ยมศพเมื่อรู้ข่าว และนำเงินไปช่วยญาติๆเขา ซื้อน้ำซื้ออาหารเลี้ยงแขกที่มาไกลและหิว
62.  จงละหมาดให้แก่ผู้ตาย (จะได้บุญเท่าเขาอุหุด )
63.  จงติดตามไปส่งผู้ตายลงกุบูร(จะได้บุญเท่าเขาอุหุดอีกครั้ง)
64.  ไปเยี่ยมญาติผู้ตาย ที่เป็นญาติใกล้ชิด หลังจากฝังไปแล้ว 1 2 3 5 7วันตามสะดวก(ไม่บังคับ)
65.  จงอดทน อดกลั้น และศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์มากๆ ในการต่อสู้กับใจตนเองที่อาจจะไขว้เขวไป “สงครามที่ยิ่งใหญ่คือ สงครามที่ต่อสู้กับใจตนเอง”

اَلسَّلامُ عَلَيكُم وض رَحْمَةُ اللهِ وَ بَرَاكَاتُهُ
الشَّهَدُ اَنْ لا اِلَهَ اِلاَّاللهُ وَ الشَّهَدُ اَنَّ مُحَمَّداً رَّسُولُ اللهِ



ที่มาของเดือนอาหรับ (ชื่อเดือน)
Written by อาลี เสือสมิง
        าวอาหรับนับแต่สมัยโบราณได้อาศัยดวงจันทร์ในการกำหนดปฏิทินของตน (ด้วยการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดการเริ่มเดือนใหม่) ปฏิทินของชาวอาหรับจึงเป็นแบบจันทรคติ (Lunation) ในขณะที่ปฏิทินสากลที่นิยมกันเป็นแบบสุริยคติ (Calender)? จำนวนเดือนของชาวอาหรับมี 12 เดือน และกำหนดชื่อเดือนจากสภาพภูมิอากาศ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวอาหรับในยุคโบราณ ซึ่งมักจะสอดคล้องกับช่วงเวลาในการตั้งชื่อเดือนในจำนวนสิบสองเดือนนั้น
        มีอยู่สี่เดือนด้วยกันที่มีลักษณะพิเศษ เรียกขานกันว่าบรรดาเดือนต้องห้าม อันได้แก่ เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ , ซุ้ลฮิจยะห์ , อัลมุฮัรรอม เดือนทั้งสามนี้มีช่วงเวลาต่อเนื่องกัน และเดือนที่สี่คือ เดือนร่อญับ ซึ่งเว้นช่วงเป็นเอกเทศ ในช่วงเดือนทั้งสี่นี้ถือเป็นช่วงเวลาปลอดสงครามและการรุกรานในระหว่างชนชาติอาหรับด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อบัญญัติที่เป็นมรดกตกทอดในการจัดระเบียบสังคม นับจากยุคของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.ล.) และท่านศาสดาอิสมาอีล (อ.ล.) และรายชื่อของแต่ละเดือนที่ชาวอาหรับเรียกขานในภาษาตน เรียงตามลำดับได้แก่

        1. เดือนอัลมุฮัรรอม (اَلْمُحَرَّمُ) ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า ?เดือนที่ถูกต้องห้ามสิ่งที่ถูกต้องห้ามในเดือนนี้ คือ การทำสงคราม ตลอดจนการละเมิดในชีวิตทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย การปล้นสะดมภ์ เป็นต้น เดือนนี้มีช่วงเวลาการติดต่อกับเดือนแห่งการประกอบพิธีฮัจญ์ (เดือนซุ้ลฮิจญะห์) ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์ในเดือนซุ้ลฮิจญะห์แล้ว ชาวอาหรับจากทุกสารทิศที่มุ่งมาประกอบพิธีฮัจญ์ ก็จำต้องอาศัยช่วงเวลาในเดือนมุฮัรรอมเพื่อเดินทางกลับสู่มาตุภูมิของตนโดยได้รับความปลอดภัยจากการคุกคามในทุกรูปแบบตามเส้นทางขากลับ ทั้งนี้เดือนอัลมุฮัรรอมนับเป็นเดือนลำดับที่ 1 ของปฏิทินอาหรับ ? อิสลาม อยู่ระหว่างเดือนซุ้ลฮิจญะห์กับเดือนซอฟัร

        2. เดือนซอฟัร (صَفَر) เป็นเดือนลำดับที่สองของปฏิทินอาหรับทางจันทรคติ อยู่ระหว่างเดือนอัลมุฮัรรอมกับเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะมีรากศัพท์เดิมว่า "ว่างเปล่า" , "ปราศจาก" ทั้งนี้คำว่า อัซซอฟรุ่ , อัซซุฟรุ , อัซซิฟรุ มีความหมายว่า "ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย" หรือ "ศูนย์" นั่นเอง บ้างก็แปลว่า "หิวโหย" หรือ "ความหิว"  ชาวอาหรับมักจะกล่าวว่า อัซซ่อฟารอนี่ (الصَّفَرَانِ) ซึ่งหมายถึงเดือนอัลมุฮัรรอมและเดือนซ่อฟัร บ้างก็กล่าวว่า ถ้าหากชาวนครมักกะห์เดินทางในช่วงเดือนนี้ นครมักกะห์ก็จะร้างผู้คนหรือแทบจะหาคนอาศัยในมักกะห์ไม่ได้เลย เพราะชาวมักกะห์โดยส่วนใหญ่จะออกเดินทางไปยังเขตปริมณฑลนอกนครมักกะห์ บ้างก็อธิบายว่าชาวอาหรับที่ถูกรุกรานและปล้นสะดมภ์ เรียกว่าริบทุกอย่างจนไม่มีเหลือ

        3. เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล (رَبِيْعُ الأَوَّل) เป็นเดือนลำดับที่สาม เหตุที่เรียกชื่อเช่นนี้เป็นไปได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ตรงกับฤดูกาลแรกที่ต้นไม้ใบหญ้าผลิใบเต็มท้องทุ่งที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้เพราะคำว่า ร่อบีอุนฺ (رَبِيْعٌ) มีรากศัพท์ที่หมายถึง อุดมสมบูรณ์ , เขียวชอุ่ม และชาวอาหรับซึ่งนิยมเลี้ยงอูฐและปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ มักจะนำเอาสัตว์ออกไปยังทุ่งหญ้าในช่วงเวลาของเดือนนี้ เมื่อสมัยโบราณที่มีการตั้งชื่อเดือน

        4. เดือนร่อบีอุ้ลอาคิร (رَبِيْعُ الآخِر) หรือ ร่อบีอุซซานีย์ (رَبيْعُ الثَّانِيْ) เป็นเดือนอาหรับลำดับที่ 4 เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ อันอุดมสมบูรณ์ต่อเนื่องจากเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ซึ่งจะมีฝนตกชุกมากกว่าเดือนอื่นๆ

        5. เดือนญุมาดา อัลอูดา (جُمَادٰىالأُوْلى) เดือนลำดับที่ 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติในครั้งโบราณ เมื่อแรกตั้งชื่อเดือนนั้น ตรงกับช่วงเวลาที่สภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง กันดาร และร้อนจัด จนกระทั่งแหล่งน้ำที่ได้จากตาน้ำนั้นเหือดแห้ง ฝูงอูฐและปศุสัตว์ที่ให้น้ำนมนั้นก็จะมีอาการอืดอาด ยืดยาด เพราะขาดน้ำ น้ำนมที่ได้จากสัตว์ เช่นอูฐ เป็นต้น ก็พาลหายากไปด้วย เพราะสัตว์ไม่มีน้ำนม ฝนฟ้าก็ขาดช่วง

        6. เดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ (جُمَادٰىالآخِرة) เป็นเดือนลำดับที่ 6 อยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอูลา และเดือนร่อญับ เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ก็คงเพราะยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนจัดที่แห้งแล้ง และน้ำที่ใช้ดื่มกินและเลี้ยงปศุสัตว์หายากเต็มที เนื่องจากฝนขาดช่วงมาตั้งแต่เดือนก่อนหน้านี้ ตาน้ำก็แห้งขอดเหมือนตาที่ไร้น้ำตาจะไหลริน ว่ากันอย่างนั้น

        7. เดือนร่อญับ (رَجَب) เป็นเดือนลำดับที่ 7 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ กับเดือนชะอ์บาน คำว่า ร่อญับ มีรากศัพท์ในภาษาอาหรับที่หมายถึง ละอาย , เกรงกลัว , ครั่นคร้าม ชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่า ร่อญับ เพราะยกย่องและให้ความสำคัญต่อเดือนนี้เป็นอันมาก นับแต่ยุคอัลญาฮีลียะห์ (ยุคก่อนอิสลามอันเป็นยุคแห่งอวิชชา) และถือว่าเดือนนี้เป็นหนึ่งในสี่เดือนต้องห้ามที่แยกเป็นเอกเทศ เมื่อชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่า อัรร่อญะบานี (اَلرَّجَبَانِ)
        เดือนร่อญับทั้งสอง ก็หมายถึง เดือนร่อญับกับเดือนชะอ์บานที่ถัดมา ในเดือนร่อญับนี้ ชาวอาหรับมักจะหาไม้หรือนั่งร้านมาค้ำยันต้นอินทผลัม เพราะลำต้นของมันจะอ่อนแอ และโยกคลอนเพราะขาดน้ำในช่วงเดือนก่อนหน้านี้ ชาวอาหรับมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า "อิช ร่อญ่าบัน ต้ารอ อะญะบัน  (عِشْ رَجَبًاتَرَعَجَبًا)" ซึ่งแปลได้ว่า "จงมีชีวิตอยู่ในช่วงเดือนร่อญับ ท่านก็จักประจักษ์ความแปลกประหลาดอันชวนพิศวง"  หรือในอีกสำนวนหนึ่งแบบขาโจ๋ว่า "อยู่ให้ถึงร่อญับ ก็จักได้เห็นดี (แบบคาดไม่ถึงทีเดียวเชียว)"

        8. เดือนชะอ์บาน (شَعْبَانُ) เดือนลำดับที่ 8 ตามปฏิทินจันทรคติ กล่าวกันว่าแรกเริ่มเดิมทีเมื่อตอนตั้งชื่อเดือนนั้น ชาวอาหรับจะพากันออกจากเผ่าเพื่อแยกย้ายกันออกค้นหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการดื่มกินและเลี้ยงสัตว์ หลังจากที่ต้องทนลำบากกับช่วงฤดูร้อนที่ขาดแคลนน้ำ และต้องระวังรักษาตัวให้ห่างไกลจากความผิดใดๆ อันจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนร่อญับซึ่งเป็นเดือนต้องห้าม คำว่า ชะอ์บาน มีรากศัพท์ในภาษาอาหรับซึ่งหมายถึง "การกระจาย" , แยกย้าย การส่งคนออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และการห่างไกลจากเพื่อนฝูง

        9. เดือนร่อมาฎอน (رَمَضَانُ) เดือนลำดับที่ 9 ตามปฏิทินจันทรคติของชาวอาหรับ อันเป็นเดือนสำคัญสำหรับชาวมุสลิมในการประกอบศาสนกิจประการที่ 4 จากมุขบัญญัติทั้ง 5 ประการ นั่นคือ การถือศีลอด (อัซซิยาม , อัเซาวมฺ) ชาวมุสลิมในบ้านเรา (สยามไงล่ะ) นิยมเรียกกันว่า "เดือนบวช" ซึ่งเป็นการเรียกแบบอนุโลมตามจารีตของภาษาที่ชาวมุสลิมบ้านเรารู้กัน มิได้หมายมุ่งจะเอาความหมายตามพจนานุกรมภาษาไทยแต่อย่างไร ทั้งนี้เพราะคำว่า บวช เป็นกริยา หมายถึง ถือเพศเป็นภิกษุสามเณรหรือนักพรตอื่นๆ ในคำสอนของอิสลามไม่มีเพศของภิกษุหรือนักพรตอย่างในศาสนาอื่น แต่คงอนุโลมใช้ตามนัยยะที่บ่งว่า บวช นั้นหมายความกว้างๆ ถึงการสำรวมในอินทรีย์ (กาย , วาจา , ใจ) งดรับประทานอาหาร และการร่วมประเวณีกับภรรยาของตน ตามช่วงกำหนดเวลาที่แน่นอน กล่าวคือนับแต่แสงอรุณจริงขึ้นเรื่อยไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยมีเจตนาที่แน่นอน

        ซึ่งมองดูภาพในลักษณะที่ปรากฏจากการบวชของชาวมุสลิมในช่วงเดือนร่อมาฎอน แล้วก็เคร่งครัดไม่แพ้ผู้ถือเพศบรรพชิตทั้งหลาย เพียงแต่มุสลิมมิใช่บรรพชิตหรือนักบวชอย่างคนในศาสนาอื่นเท่านั้น สำหรับเหตุที่เรียกชื่อเดือนลำดับที่ 9 ตามปฏิทินของชาวอาหรับว่า "ร่อมาฎอน" นั้น กล่าวกันว่า เป็นเพราะเมื่อแรกตั้งชื่อเดือนนี้นั้นพอดีตรงกับช่วงเวลาที่อากาศของเมืองอาหรับร้อนจัดเป็นที่สุด (ร้อนหูฉี่) ทั้งนี้รากศัพท์ของคำว่า "ร่อมาฎอน" มีความหมาย "ร้อนจัด" (อัรร่อมัฎ - اَلرَّمَضُ) หรือ "ร้อนจนเกือบลุกเป็นไฟ" และดวงอาทิตย์ในช่วงเวลานั้นกระทำองศากับพื้นทรายในท้องทะเลทรายแบบจังๆ บ้างก็กล่าวว่ามีรากศัพท์มาจาก อัรรอมฎออฺ (اَلرَّمْضَاءُ) ซึ่งหมายถึงความรุนแรงของความร้อน (ร้อนจัดนั่นแหละ) บ้างก็บอกว่า เดือนนี้ซึ่งผู้คนทำการถือศีลอด และขะมักเขม้นประกอบคุณงามความดีจะเผาผลาญกิเลสและความชั่วทั้งปวง

        10. เดือนเชาว๊าล (شَوَّال) เดือนลำดับที่ 10 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนร่อมาฎอนกับเดือนซุ้ลเกาะดะห์ว่ากันว่าเหตุที่ชาวอาหรับตั้งชื่อเดือนนี้ว่า "เชาว๊าล" ก็เพราะอูฐตัวเมียจะยกหางของมันชี้เด่ในเดือนนี้ (อ่านแล้วอย่าคิดลึกจนเกินเหตุ หางที่ว่าเนี๊ยะ หางอูฐนะจ้ะ) ในภาษาอาหรับเรียกอูฐตัวเมียว่า อันนาเกาะห์ (اَلنَّاقَةُ) เพราะรูปทรงของนางอูฐนั้นสูงชะลูดและมักจะว่านอนสอนง่ายฝึกฝนให้เชื่องไม่ลำบากนัก ซึ่งผู้เขียนก็มิอาจทราบได้ว่าด้วยเพราะเหตุอันใด พอเวลาเข้าเดือน "เชาว๊าล" ทีไร คุณนางอูฐเธอถึงต้องกระดกหาง บางทีอาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ประดาอูฐหนุ่มได้กระชุ่มกระชวยในเรื่องอย่างว่าก็เป็นได้ (ฮิ!ฮิ!)

        11. เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ (ذُوالقَعْد) หรือ ซุ้ลกิอฺดะห์ (ذُوْالقِعْدَةِ) เดือนลำดับที่ 11 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนเชาว๊าลกับเดือนซุ้ลฮิจญะห์ คำว่า อัลเกาะอ์ดะห์ (اَلقَعْدَةُ) ใส่สระ ฟัตฮะห์ที่อักษรก๊อฟ หมายถึง "นั่งหนึ่งครั้ง" หรือเสื่อที่ปูนั่ง ส่วนคำว่า อัลกิอฺดะห์ (اَلقِعْدَةُ) - ใส่สระกัซเราะห์ที่อักษรก๊อฟ  หมายถึง ขนาดพื้นที่ซึ่งผู้นั่งกินพื้นที่เวลานั่ง แต่ถ้าอ่านว่า อัลกุอดะห์ (اَلقُعْدَةُ) ใส่สระฎอมมะห์ที่อักษรก๊อฟ จะหมายถึงสัตว์พาหนะที่ผู้เลี้ยงใช้ขี่ทำธุระ

        เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลเกาะอ์ดะห์ หรือ ซุลกิอฺดะห์ (เรียกได้ทั้งสองชื่อนั่นแหละ บ่ผิดดอก) ก็เพราะว่าชาวอาหรับจะนั่งจับเจ่า (คงจะหมายถึง ระงับ ละเลิก) จากเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานเผ่าอื่น การพิพาท การปล้นสะดมภ์ ตลอดจนการออกเสาะแสวงหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ นับเป็นหนึ่งในสี่ของเดือนต้องห้าม (อัลอัชฮุรุ้ล ฮุรุม) และในช่วงเวลาการประกอบพิธีฮัจญ์ในเดือนถัดมา (ซุ้ลฮิจญะห์) ฉะนั้นจึงต้องมีช่วงเวลาที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสำหรับผู้ที่เดินทางสู่นครมักกะห์ตามเส้นทางสู่ประกอบการพิธี "ฮัจญ์"

        12. เดือนซุ้ลฮิจญะห์ (ذُوالحِْجَّةِ) เดือนสุดท้ายลำดับที่ 12 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์กับเดือนมุฮัรรอม เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลฮิจญะห์  (ذُوالحِْجَّةِก็เพราะว่าเป็นช่วงฤดูฮัจญ์ที่ชาวอาหรับจากทุกสารทิศจะเดินทางมุ่งสู่นครมักกะห์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ คำว่า อัลฮัจญ์ (اَلْحَجُّ) หมายถึง การเยี่ยมเยียน เช่น เยี่ยมเยียนสถานที่สำคัญ ส่วนคำว่าอัลฮิจญะห์ (اَلْحِجَّةُ)  หมายถึง "ปี" เพราะการประกอบพิธีฮัจญ์ จะถูกกระทำตามศาสนบัญญัติในทุกๆ ปี ชาวอาหรับบางทีก็นับจำนวนปีโดยอาศัยการประกอบพิธีฮัจญ์ เช่น อาศัยอยู่ในนครมักกะห์ มา 3 ฮัจญ์แล้ว เป็นต้น


ชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์

1. วันอาทิตย์
Sunday
 الأحد อัลอะฮัด
2. วันจันทร์
Monday
الإثنين  อัลอิซนัยน
3. วันอังคาร
Tuesday
الثلاثاء  อัซซะลาซะอ์
4. วันพุธ
Wednesday
الأربعاء  อัรเราะบะอ์
5. วันพฤหัสบดี
Thursday
الخميس  อัลคัมมิส
6. วันศุกร์
Friday
الجمعة  อัลญุมอะห์
7. วันเสาร์
Satureday
السبت  อัลซับตุ




อาณาจักรออตโตมาน Ottoman Empire
 الإمبراطورية العثمانية
นั่งเปิดดูรูปเก่าๆ ที่ไปทำฮัจย์มา เห็นชาวต่างชาติมากมาย มาจากประเทศ เลยนึกถึงประวัติศาสตร์อิสลามขึ้นมา เห็นรูปมุสลิมบอสเนียและอื่นๆ ก็เลยอดที่เล่าเรื่องเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ของอิสลามไม่ได้
อิสลามเริ่มเผยแผ่ศาสนาจากท่านเราะซูลุลลอฮิ ท่านเกิดเมื่อ ค.ศ. 570 – 632 (พ.ศ. 1113 - 1175) นบีจากไปเมื่อ ฮ.ศ. 11 ท่านนบีเคยทำการค้าระแวก รอบๆ คาบสมุทรอาราเบีย เพราะการค้าขายของท่านด้วย ที่ทำให้การเผยแผ่อิสลามจึงไปได้ง่ายและไกลในยุคนั้น การเผยแผ่แรกๆ ก็มีไปที่เยเมน นัญจะดี อบิสสิเนีย (ประเทศเอธิโอเปียและอิริเธรียในอาฟริกาตะวันออก ปัจจุบัน) ซึ่งเยเมนกับอบิสสิเนียสมัยนั้นก็มีอิทธิพลศาสนายิวและศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแผ่มาก่อน ศาสนายิวและคริสต์สมัยก่อนนั้นยังมีความเป็นศาสนาของอัลลอฮุมาก ทั้งสองศาสนานั้นนักการศาสนาจะรู้ว่า จะมีนบีมุฮัมมัดมา เทศนาเผยแผ่อิสลาม พวกเขาจึงยอมรับอิสลามง่าย สมัยยุคการอพยบแรกๆ (ฮิจเราะห์) ท่านนบีเอาพี่น้องมุสลิมไปฝากกับกษัตริย์อบิสสิเนียถึงสองครั้งสองครา ก่อนที่ท่านเองจะฮิจเราะห์ไปมะดินะห์ การยืนยันว่าอบิสสิเนียหรือประเทศเอธิโอเปียและอิริเธรียปัจจุบันมีศาสนายิว คริสต์อิสลาม ก็เพราะสมัยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยิวไซออนไนต์ (พวกยิวนอกคอกหย่อนยานทางศาสนา ก่อตั้งลัทธิคลั่งชาติ) ช่วยกันหลายวงการ พวกที่มีอำนาจในสภาในอังกฤษก็ผลักดันรัฐสภาให้ออกกฎหมายซื้อที่ดินในปาเลสไตน์) ยิวในยุโรปหลายประเทศ ที่มีมากและหัวคิดรุนแรงสุดก็คือยิวในเยอรมัน คิดวางแผนจะซื้อประเทศเยอรมันไว้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนถาวร จะได้รวบรวมชาวยิวมาตั้งรกรากที่นี่ แผนการรั่วไหลในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์รู้ข่าวกรองนี้ ก็เลยสั่งการให้กวาดต้อนชาวยิวทั่วทั้งดินแดนยุโรปตะวันออก ในเยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี โปแลนด์ ขึ้นรถไฟ รถบรรทุกมากักขังไว้ค่ายต่างๆ ที่มากที่สุดคือที่ค่าย เอาท์วิก โปแลนด์ ฆ่าทุกรูปแบบ ต้อนเข้าห้องโถงปล่อยแก็สให้รมตายทีละเป็นหลายๆ ร้อย ยิงเป้า อดอาหารอดน้ำตายไปก็มาก พวกยิวที่มีความรู้มีการศึกษาหน่อยก็แอบหนีไปต่างประเทศได้หลายคน มี อัลเบิร์ด ไอซืไตน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ (ระเบิดปรมาณู) และพรรคพวกหนีไปทางสวิสเซอร์แลนด์ แล้วอเมริกามารับตัวไปทั้งคณะ ที่หนีไปทางรัสเซียก็มากช่วยรัสเซียค้นคิดเรื่องอากาศยานเครื่องบิน อาวุธสงคราม ยานอวกาศ พวกที่หนีเข้าอังกฤษ ฝรั่งเศสไม่มีผลงานอะไรมากนัก กลับไปเรื่องยิวไซออนไนต์อีกที ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกรัฐสภาในอังกฤษก็นำเอาเรื่องการกว้านซื้อที่ในปาเลสไตน์ แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะพวกปาเลสไตน์ ไม่ยอมขายให้ พวกไซออนไนต์ก็ไม่ลดความพยายาม ก็วางแผนกว้านซื้อที่ดินในปาเลสไตน์จากชาวยิวท้องถิ่น พอได้ที่ดินมาบ้างก็หาอาสาสมัครไปอยู่ จนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง อังกฤษซึ่งครอบครองอำนาจอยู่แถบดินแดนอารอเบียอยู่ก่อนแล้ว ก่อนสงครามโลกที่ 1  (ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ อิยิปต์ เยเมน โอมาน บาห์เรน อิรัก) พอจบสงครามโลกที่ 2 ก็ทำการกว้านซื้อที่ดินจากปาเลสไตน์ต่อไปอีก แล้วก็นำพวกยิวที่เหลือจากการฆ่าของฮิตเลอร์มาตั้งถิ่นฐานที่ปาเลสไตน์ ที่ดินที่ซื้อนี้พวกปาเลสไตน์ไม่ได้รับเงินจากอังกฤษแต่ยิวจ่ายให้อังกฤษไปแล้วเรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1947 แผนการของพวกไซออนไนต์บรรลุความสำเร็จในการวางแผนให้อัฏฤษและอเมริกาผลักดันให้สมัชชาสหประชาชาติ ลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย อย่างนี้เรียกว่าพวกมหาอำนาจอังกฤษอเมริกาเข้ารุกรานปล้นดินแดนประเทศปาเลสไตน์ไปให้ยิวไซออนไนต์ เมื่ออิสราเอลก่อตั้งประเทศได้อังกฤษอเมริกาก็ให้การสนับสนุนทางการทหารทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และนายทหารพลทหาร รับสมัครทหารรับจ้างจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันพวกยิวก็รุกรานด้วยอาวุธสงครามกับเพื่อนบ้านฮุบเอาดินแดนบางส่วนของเลบานอน ที่ราบสูงโกลานในซีเรีย แทรกซึมวางแผนยุแหย่ให้ประเทศอาหรับและตะวันออกกลางทะเลาะกันเอง โค่นล้มรัฐบาลเก่าๆ ที่อาจเป็นอันตรายแก่อิสราเอลได้ ให้เงินสนับสนุนกลุ่มกบฏต่างๆ ยิวไซออนไนต์เข้ามารุกราน ปล้นประเทศและยึดครองปาเลสไตน์ใหม่ๆ พอสร้างเป็นประเทศได้ก็ไปชักชวนชาวยิวเอธิโอเปียมาอาศัยด้วย เอธิโอเปียจึงถูกเผยแพร่ออกมาว่ามีวัด โบสถ์ วิหาร ยิว คริสต์ อิสลาม มากมาย 
ต่อมาสมัยท่านอบูบักร อบูกุฮาฟะฮฺ (ฉายา)อัซซิดดิก อายุน้อยกว่านบี 2 ปี เกิดปี ค . ศ .573 ปกครองมุสลิมที่นครมะดินะห์ปี ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634 ไม่ได้เผยแผ่ศาสนาออกไปมากนักปกครองมุสลิมอยู่ในเมืองมะดินะห์อย่างสงบ ทำนุบำรุง ฟื้นฟูด้านการศาสนาให้ดีขึ้น ให้มีการรวบรวมอัลกุรอานที่เขียนไว้บนวัสดุต่างๆ นำมาเขียนเพิ่มเติมใส่วัสดุที่คงทนถาวรมากขึ้น ชาวยิวในมะดินะห์ก็สงบไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนสมัยก่อนหน้า ปราบปรามกบฏผู้ทรยศต่อรัฐอิสลามและปราบปรามศาสดาปลอม ได้ส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปรบกับพวกโรมันที่ซีเรีย ภายใน 3 สัปดาห์ กองทหารของอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะที่มีต่อชาวโรมัน ท่านอบูบักร์เสียชีวิตในปีอิจญเราะฮฺที่ 13 ขณะที่ท่านอายุ 63 ปี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ ในระยะเวลา 2 ปี กับ 10 คืน ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้แต่งตั้งแต่งตั้งท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ต่อไป
ต่อมาสมัยท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ อายุน้อยกว่านบี 13 ปี เกิดปี ค.ศ. 513 เป็นเคาะลีฟะห์ที่ 2 ระหว่างปี ฮ.ศ. 13-23 หรือ ค.ศ. 634-644   ท่านอุมัรเข้ารับอิสลามเพราะได้ยินน้องสาวอ่านอัลกุรอาน เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เป็นอย่างดีและเข้าถึงทุกชนชั้น ด้านการศาสนาก็ดำริให้การละหมาดตะรอวี๊ห์ เป็นญะมะอะห์(ละหมาดร่วมกัน) ด้านการเมือง ก็ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุขพี่น้องอย่างทั่วถึง ด้านการเผยแผ่อิสลามไปต่างแดนก็ได้ส่งทูตไปหลายๆประเทศ เช่นทางตะววันตกส่งทูตไปถึงอิยิปต์แล้วข้ามแม่น้ำไนล์ไป แรกๆไปถึงแม่น้ำไนล์ไม่รู้จะไปต่อกันอย่างไร เพราะเป็นอาหรับทะเลทราย คณะทูตก็ส่งสาสน์กลับไปหาท่านอุมัรว่าติดอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ท่านอุมัรก็ตอบกลับไปให้คอยดูลักษณะน้ำ แล้วตรวจสอบกับคนพื้นเมือง จนมีโอกาสข้ามไปได้ในที่สุด คณะทูตท่านอุมัรก็เผยแผ่เลยออกไปตะวันตกมากขึ้นมากขึ้น ไม่มีการบันทึกว่าสมัยท่านได้ไปถึงไหน รู้แต่ว่าไปได้ไกลกว่าแม่น้ำไนล์ไปมาก จนไปถึงดินแดนทุระกันดารมากๆเข้าก็หยุด
ในสมัยอุมัรนี้ มุสลิมได้แผ่ขยายดินแดนออกไปจนเกือบจะถึงพรมแดนของประเทศปากีสถานในปัจจุบัน บรรดาประชาชนในสมัยนั้นยังคงเคารพบูชาไฟ และรูปเจว็ด และเขาเหล่านั้นได้แสดงความกระด้างกระเดื่องไม่ยอมอ่อนน้อมต่อมุสลิม สามารถพิชิต ปากีสถานได้สำเร็จ ไปถึงยังเมืองลาโฮร์
ด้านการทูตทางตะวันออกก็ส่งไปถึงอิรัก และอิหร่าน อิหร่านนับถือศาสนาบูชาไฟ
(Zoroaster และ فارسية) ซึ่งเป็นศาสนาที่มียิวและคริสต์ปะปนเรื่องความเชื่อความศรัทธาอยู่ เมื่อครั้งสมัยยิวอพยบไปอยู่ที่บาบิโลน(อิรัก ดินแดนเมโสโปเตเมีย) เมื่ออิสลามแผ่เข้ามาก็เกิดการเฉื่อยชา กระด้างกระเดื่องไม่ได้รับอิสลามแบบศรัทธา สมัยท่านอุมัรยังส่งทหารไปรบกับโรมันที่ชามจนได้ชัยชนะ และส่งทหารเข้าไปปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นอิสระจากโรมันด้วย
การทูตทางทิศเหนืออยู่ที่ดินแดนชามรบชนะโรมันมา (ปาเลสไตน์, ซีเรียและตุรกี) อุมัรเสียชีวิตเนื่องจากบาดเจ็บจากถูกลอบสังหารโดยชาวเปอร์เซียในปี ค.ศ. 643 ในขณะที่ท่านกำลังละหมาดอยู่ในมัสยิด
ท่านอุษมานเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 3 ระหว่างปี ฮ.ศ. 23-35 หรือ ค.ศ. 644-656 แห่งเผ่าอุมัยยะฮ์(ตระกูลนี้ภายหลังได้ปกครองอาณาจักรอิสลามในภายหลัง) อุสมานมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 5 ปี ท่านอุษมานได้พิชิตดินแดนต่างๆ  ต่อจากท่านอุมัร ในการขยายดินแดนจนถึงอัฟกานิสถาน อาร์เมเนีย อาร์เซอร์ไบจัน และบางส่วนของเอเซียไมเนอร์(แถบบริเวณประเทศที่มีชื่อ***สถานต่อท้าย) ตลอดจนจนดินแดนที่อยู่ในอาฟริกาเหนือถึงประเทศ โมร็อกโค(อัลมักริบี้) และเกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน  ท่านอุสมานเป็นคนแรกที่จัดตั้งกองทัพเรือขึ้นต่อสู้กับการรุกรานของโรมัน กองทัพเรือมุสลิมยึดเกาะไซปรัส เกาะโรดส์ และยึดเมืองอเล็กซานเดเรียในอิยิปต์คืนจากพวกโรมันได้ พร้อมกับขับไล่อำนาจโรมันออกจากดินแดนอียิปต์ได้ กองทัพเรือมุสลิมได้แสดงวีรกรรมในการต่อสู้กับพวกโรมันในสงคราม " เสากระโดงเรือ " และได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
The Sasanian Empire 
224 CE 651 CE จักรวรรดิซาซาเนี่ยน ปกครองอิหร่านอยู่นานกว่า 400 ปี นับถือศาสนา โซโลแอสเตอร์ พุทธ ฮินดู คริสต์ ยูดาย ได้รับความพ่ายแพ้แก่เคาะลิฟะห์ อุษมาน
ด้านภายในเมืองมะดินะห์อุษมานได้ขยายมัสยิดนะบะวีออกไปโดยใช้หินสกัด หลังคามุงด้วยไม้สัก ด้านการศาสนาได้คัดลอกอัลกุรอานจากต้นฉบับของฮับเซาะห์ ,ลูกสาวอุมัร ภรรยาท่านนบี แจกจ่ายไปตามหัวเมืองทั้งหลาย
ท่านอุษมานสิ้นชีวิต โดยการถูกสังหารในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ในบ้านของท่าน ค . ศ . 656 รวมอายุได้ 82 ปี ศพของท่านถูกฝังไว้ที่กุบูร อัล บะเกียะอ์ ที่มะดีนะฮ์ ปกครองได้ 12 ปี

ยุคซาซาเนี่ยนของชาวเปอร์เซีย พ่ายแพ้แก่กองทัพเคาะลิฟะห์อุษมาน บิน อัฟฟาน
ท่านอาลี บิน อบู ฏอลิบ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ เกิดปี ค . ศ . 600 เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 4 ระหว่างปี ฮ.ศ. 35-40 หรือ ค.ศ. 656-661 มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านนบี ท่านมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 30 ปี อาลีมีความเก่งเรื่องการท่องจำอัลกุรอาน ท่านจำได้ทุกอายะห์ และท่านเคยตัดสินคดีความได้เฉียบขาดมากจนเป็นที่ยอมรับของนบี
เรื่องราวท่านอาลีนี่ค่อนข้างจะซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากเลยต้องให้รายละเอียดมากหน่อย ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความนี้ บทความนี้ไม่ใช่วิชาประวัติศาสตร์ จึงสอดแทรกข้อคิดเห็นส่วนตัวเข้ามา
คิดว่าเพราะสมัยท่านอุษมานแผ่ขยายอำนาจออกนอกประเทศ เรียกมะดินะห์ เมืองหลวงนครรัฐอิสลามมีเมืองมักกะห์เป็นเมืองคู่แฝดในทางศาสนา และมีเมืองอื่นๆ ในปกครองเลยเรียกว่าประเทศซะเลย การแผ่ขยายอาณาเขตปกครองออกไปกว้างขวางเพราะป้องกันการถูกรุกราน สมัยท่านนบีต่อเนื่องมาถึงอุษมานยังมีอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่แผ่อำนาจเหนือดินแดนอาราเบีย ไหนจะพวกกุร็อยช์มักกะห์ ไหนจะพวกยิวรอบๆมะดินะห์ ท่านนบีและเซาะฮาบะห์ทั้งหลายจึงต้องชิงขยายอาณาเขตออกไปก่อนที่จะมีผู้รุกรานเข้ามา การได้เมืองต่างๆ มาไว้ในการปกครองของอิสลาม ไม่ได้ได้มาด้วยความศรัทธาอิสลาม แต่เพราะได้มาด้วยการรบ ตัวแทนที่ไปเป็นผู้ปกครองดินแดนแคว้นต่างๆ ก็ขาดอิหม่านที่มั่นคง พวกเขาเพียงแต่รู้ศาสนาอิสลามว่ามีหลักการว่าอย่างไร แต่ขาดวิญญาณอิหม่านจึงปกครองแคว้นแดนต่างๆ ด้วยนัฟซู (ความเป็นปัจเจกบุคคล) มากเกินไป การขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางของอิสลามใช้เวลาไปเพียง 35 ปี จากท่านนบีจนถึงต้นสมัยอาลีปกครอง เวลาอันรวดเร็วนี้เองที่เป็นข้อเสีย ทำให้สมัยการปกครองของอาลีจึงระส่ำระสาย
ด้านการรบ ท่านเคยเป็นแม่ทัพในสงครามตะบูก สงครามบะดัร สงครามอุหุด สงครามคอนดักที่ได้รับฉายาว่า สิงโตแห่งอัลลอฮุ ก็รบชนะที่คอนดักนี่เอง
หลังจากท่านอุษมานถูกฆาตกรรม ประชาชนชาวมะดีนะฮ์ รวมถึงกลุ่มกบฏได้ให้การสัตย์สาบาญต่อท่านอะลี อิบนุ อบีฎอลิบให้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์คนที่ 4 แห่งอาณาจักรอิสลาม ท่านอะลีเป็นผู้นำรัฐอิสลามในขณะที่สถานการณ์รอบด้านเต็มไปด้วยความวุ่นวายระสำระสายและมีความแตกแยกกันอันสืบเนื่องจากฟิตนะตุลกุบรอ ท่านหญิงอาอิชะฮ์พร้อมกับท่านฏ็อลฮะฮ์ และท่านซุบัยร์ รวมตัวกันบีบคั้นท่านอะลีให้รีบเร่งดำเนินคดีต่อกลุ่มกบฏฆาตกรท่านอุษมาน ในขณะที่มุอาวิยะฮ์ อิบนุ อบี สุฟยาน ซึ่งเป็นข้าหลวงในซีเรียมาตั้งแต่สมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัรปฏิเสธที่จะให้การสัตย์สาบานต่อเคาะลีฟะฮ์อะลี พร้อมกับกล่าวหาท่านเคาะลีฟะฮ์อะลี มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ฆาตกรรมท่านอุษมาน จุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันระหว่างเคาะลีฟะฮ์อะลีกับท่านหญิงอาอีชะฮ์และท่านมุอาวิยะฮ์ข้าหลวงแห่งซีเรียจบลงโดยการสงครามญะมาล ( สงครามอูฐ ) และสงครามซิฟฟีนตามลำดับ ซึ่งเป็นศึกสายเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลามและทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังทหารและศอหาบะฮ์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลุ่มคอวาริจญ์ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งมัจลิสตะห์กีม ( คณะอนุญาโตลาการเพื่อหาทางออกปัญหาคิลาฟะฮ์ ) ในสงครามซิฟฟีน และนำไปสู่สงครามนะห์รอวาน ระหว่างกองทัพเคาะลีฟะฮ์อาลีกับกลุ่มคอวาริจญ์

ท่านอาลีเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร ด้วยการใช้ดาบอาบยาพิษฟันบนศีรษะในขณะที่ท่านละหมาดอยู่ที่มัศญิดในเมือง กูฟะฮ์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีสิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 40 (ค . ศ . 661) ขณะนั้นท่านอายุ 63 ปี ศพของท่านฝังไว้ที่เมืองนาจ๊าบ เพื่อป้องกันการมาทำลายศพจึงไปแอบฝังลับๆที่นาจ๊าบเป็นจังหวัดใหญ่กว่ากูฟะห์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีเป็นแบบอย่างที่ดีของความเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธา ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านได้อุทิศทุกอย่างเพื่อศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า พวกยุโรปจะเรียกสมัยเคาะลิฟะห์ทั้งสี่ว่า ”จักรวรรดิรอชิดีน”
หะซัน บิน อาลี ลูกชายคนโตของอาลี บิน อบู ตอลิบ เกิดปี ฮ.ศ.3 (ค.ศ. 625) เขาได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่ 5 ในปีฮ.ศ. 41 (ค.ศ.661)  ขึ้นมาครองตำแหน่งเคาะลีฟะห์ได้เพียงหกเดือน ก็ต้องโอนอำนาจไปให้มุอาวิยะห์  หะซันเสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษ เมื่อปี ฮ.ศ. 50 (ค.ศ. 675) ร่างถูกฝังที่กุบูรอัลบะกีอะ นครมะดินะห์ ตำแหน่งเคาะลิฟะห์นั้นสิ้นสุดที่หะซัน มุอาวิยะห์เป็นได้แค่ซุลตอน (ผู้นำ ผู้ปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่เคาะลิฟะห์ “ผู้สืบทอดอำนาจการปกครองแบบท่านนบี”)
ฮุเซน  บิน  อาลี (น้องชายหะซัน) เกิดเมื่อ ฮ.ศ.4 (ค.ศ.626) อ่อนกว่าหะซันหนึ่งปี ตายเมื่อ  (10 มุฮัรรอม ฮ.ศ.61
) ค.ศ. 680 อายุ 54 ปี ตายที่เมือง “กัรบาลา” ห่างจากกูฟะห์ (เมืองที่อาลีผู้พ่ออาศัยและตาย) สาเหตุที่ตายคือนำทัพไปเมืองกัรบาลา (ชื่อเมืองนี้แปลว่า “เมืองที่จะพิสูจน์การทรมาน พวกชีอะห์ให้ความเคารพนับถือฮุเซนมากด้วยเหตุที่ฮุเซนประกาศปฏิเสธการมอบคำปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อ ยะซีด ที่ 1 เพื่อแลกกับตำแหน่ง เพื่อหลบเลี่ยงการมีปัญหากับ ยะซีด ฮุเซนก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในมักกะห์ ส่วนยะซีดมีแผนการกำจัดฮุเซนโดยการปลอมแปลงเป็นพวกชาวกูฟะห์ แล้วส่งหนังสือมาแสดงความจงรักภักดีว่าจะสวามิภักดิ์ต่อฮุเซนและร้องขอให้ฮุเซนยกทัพไปช่วยเหลือ ฮุเซนก็ยกทัพไปกัรบาลา เมื่อทัพมาถึงกัรบาลา กองทัพฝ่ายยะซีดก็เข้ามาขวางทันที และจับฮุเซนได้ แล้วตัดหัว เชื่อกันว่าแม่ทัพยะซีดได้นำหัวของฮุเซนกลับไปให้ยะซีดที่ดามัสกัตด้วย เรื่องย่อๆ ของเคาะลีฟะห์อาลี-เคาะลิฟะห์หะซันและฮุเซน พอแค่นี้ก่อน

แผนที่แสดงดินแดนที่เคาะลิฟะห์อุษมานยึดครองมาได้


อาณาจักรอุมัยยะห์ มุอาวิยะห์ที่ 1 บิน อบีซุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะห์ (เกิด ค.ศ. 602 – ค.ศ. 680) ครองอำนาจปี ค.ศ. 661 - ค.ศ. 750 มุอาวิยะห์เคยได้รับใช้นบีเป็นอาลักษณ์ ตำแหน่งกาหลิบหรือซุลตอนปกครองหัวเมืองทางเหนือในปี ค.ศ.639 (ดินแดนชาม-คือซีเรีย) จากสมัยอุมัรเป็นมุสลิมตระกูลแรกที่สถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นกาหลิบปกครองอาณาจักรอุมัยยะห์  แผ่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางในช่วงต้น อีกทั้งยังรักษาธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่พอถึงปลายยุคของตระกูลอุมัยยะห์ รุ่นลูกหลานกลับเอาแต่กินเหล้า เคล้านารี ล่าสัตว์ ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนาจึงถูกลูกหลานของน้าของศาสดามุฮัมหมัดโค่นล้มอำนาจลงในสมัยมัรวานที่ 2 ในปี ค.ศ. 750 (พ.ศ. 1293)
อุมัยยะห์เป็นหนึ่งในสี่จักรวรรดิคอลีฟาฮของอิสลามที่ก่อตั้งหลังจากการเสียชีวิตอาลี บิน อบี ตอลิบ ตระกูลอุมัยยะห์เดิมจะมาจากมักกะห์ แต่ดามาสกัสเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ หลังจากอุมัยยะห์ถูกโค่นโดยตระกูลอับบาซียะห์ พวกตระกูลอุมัยยะห์ก็ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อันดะลุส เสปน (
اندالوس اسباني Al-Andalus) และก่อตั้งเป็นอาณาจักรแห่งกอร์โดบา ในประเทศเสปนตอนใต้
มุอาวิยะฮ์เป็นผู้ปกครองแรกในตระกูลอุมัยยะฮ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก อุมัยยะห์ บุตรของอับดุซซัม มุอาวิยะห์ได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักร ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ที่ไม่ได้รับรองจากทางนักการศาสนาอิสลามให้เป็นเคาะลิฟะห์ก็เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นกษัตริย์ และใช้ระบบการสืบทอดอำนาจด้วยการ สถาปนาแต่งตั้งทาญาติให้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์(กาหลิบ)ต่อๆ กันไปตลอดยุคตระกูลอุมัยยะฮ์ และต่อๆมาทั้งตระกูลอับบาสียะฮ์และอื่นๆ ก็ใช้ระบบสืบทอดอำนาจแบบราชวศ์ด้วย ตระกูลอุมัยยะฮ์มีลูกหลานสืบอำนาจต่อๆกันมาถึง 14 สมัย ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 41-132 หรือ ค . ศ . 661-750 มีอาณาเขตการปกครองครอบคลุมทั้ง 3 ทวีป คือ
1 ทวีปเอเชียไปถึงเมืองจีน และเมืองกาบูล ซึ่งพิชิตโดยมูฮำหมัด บิน กอซิม มุอาวะยะฮ์ได้ส่งก็อยสฺ บิน อัล ฮัยซัม ไปพิชิตทางภาคตะวันออกของเมืองคูรอซาน โดยบุกเข้าไปในเมือง บัลคฺ (
بلخ) ซึ่งอยู่ในอัฟกานิสถานและได้ทำการสร้างมัสยิดขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้พิชิตเมืองเฮราต ( هراة ) โดยอับดุลลอฮฺ บิน ฮาชิม ตลอดจนเมืองอื่นอีก เช่น บุคอรอ ( بخارى ) และสมารกอนดฺ (سمرقند ) อุษเบกิ๊สตาน
2. ทวีปยุโรป ไปถึงเมืองอันดาลุส ประเทศสเปนในปัจจุบัน ซึ่งพิชิต โดย ตอริก บิน ซียาด
3. ทวีปแอฟริกา ตั้งแต่อิยิปต์ ไปถึง ประเทศโมร็อกโค
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ชามหรือประเทศซีเรียในปัจจุบัน เมื่อได้ขึ้นมาเป็นกาหลิบแล้ว มุอาวิยะฮ์ก็ได้อุทิศตนให้แก่การทำให้อาณาจักรอิสลามผนึกเข้าเป็นปึกแผ่นเรียกร้องความสามัคคีในชาติ ซึ่งแตกสลายและไร้ความสงบสุขมาตั้งแต่ท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมานถูกฆาตกรรม เมื่อตั้งตัวได้สำเร็จแล้วมุอาวิยะฮ์ก็เริ่มหาทางพิชิตดินแดนอื่นๆ สานต่อจากเคาะลีฟะฮ์ในอดีต มุอาวิยะฮ์เป็นผู้บริหารที่ดี ทรงเป็นท่านแรกที่จัดตั้งกรมสารบรรณ (
Diwan al-Khatam) และกรมไปรษณีย์ขึ้น จัดตั้งกองกำลังตำรวจและกองทหารองครักษ์ แต่งตั้งเจ้าเมืองให้ทำการบริหารส่วนท้องถิ่นและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิเศษให้เป็นผู้บริหารเงินรายได้ของแผ่นดิน เมื่อมุอาวิยะฮ์สิ้นชีพในปี ค . ศ . 680
ยะซิด ที่ 1 ลูกชายมุอาวิยะห์ที่ 1 ก็ขึ้นมาเป็นกาหลิบแทน หลังจากยะซิดสิ้นชีวิต
มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ลูกชายของยะซิดได้ขึ้นมาเป็นกาหลิบต่อ แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไปในเวลาต่อมา มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ไม่มีบุตรและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้ง
มัรวาน อิบนุ อิลหากัม เป็นกาหลิบที่ 4 แห่งอุมัยยะฮ์ มัรวานอยู่ในอำนาจได้ไม่ถึงปีก็สิ้นชีพ และได้แต่งตั้งลูกชาย ชื่ออับดุล มาลิก เป็นกาหลิบต่อไป
อับดุล มาลิก บิน มัรวาน ( ค . ศ . 685 – 705) สามารถปราบปรามกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อตนเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ได้เริ่มงานบูรณะความเป็นระเบียบภายในอาณาจักรอิสลาม ได้ทำการปฏิรูปและนำเอามาตรการการบริหารแผ่นดินใหม่ๆ มาใช้ ปฏิรูปเหรียญกษาปณ์อาหรับใหม่ ทั้งเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ซึ่งมีชื่อว่า ดินาร์ ดิรฮัมและฟอล นอกจากนี้ในสมัยของอับดุล มาลิก ได้มีการปฏิรูปภาษาอาหรับโดยการนำเอาสระและเครื่องหมายจุดใส่ลงในตัวอักษรอย่างที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ อับดุล มาลิกสิ้นชีวิตปี ค . ศ . 705 หลังจากอยู่ในอำนาจได้ 21 ปี เมื่ออับดุล มาลิกสิ้นชีพ


วะลีด ที่ 1 บิน อับดุล มะลิก ( ค . ศ . 705–715)  ซึ่งเป็นลูกชายก็ขึ้นครองอำนาจในชาม วะลีดที่ 1 นี้นับเป็นกาหลิบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกมุสลิม ในสมัยของ วะลีด ที่ 1 อาณาจักรอิสลามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ ทำการปราบปรามการแข็งข้อของพวกชีอะฮ์และคอวาริจญ์จนราบคาบลง ภายในอาณาจักรเต็มไปด้วยความสงบสันติ ขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองบุคอรอ สมารกัน (Uzbekistan) เอเชียกลางทั้งหมด ขยายจากชายแดนจีน (เข้าจีนไปไม่ได้ เพราะติดภูเขาเทียนชาน (تيان شان الجبلية  Tein Shan Mountain) ตั้งขวางอยู่ระหว่างประเทศปากีสถาน อาฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน และเคอร์กิสถาน กับมณฑล อุยกูร์ ซินเจียง (Uyqur Xinjieng) ของจีน เพราะพวกอาหรับไม่คุ้นเคยพื้นที่ภูเขาที่หนาวเย็นและสูงมากถึง 5 พันเมตร) ภูเขาเทียนชานนี้ถึงแม้นจะสูง แต่ก็มีเส้นทางคาราวานการค้า ที่รู้จักกันนาม (طريق الحرير The Silk Road) เป็นเส้นทางเก่ามาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า น่าจะมีมาตั้งแต่หลังยุคที่อเล็กซานเดอร์มหาราช จักรพรรดิแห่ง มาซิโดเนีย (Macedonia: South East Europe. BC 356= พศ. 899  ที่เคยยกทัพมายึดครองอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และยึดครองเลยขึ้นไปถึงอาฟกานิสถาน มีหลักฐานโดยการสกัดภูเขาเป็นรูปพระพุทธรูปใหญ่ไว้ตามชายเขา อเล็กซานเดอร์ไม่ได้ข้ามเขาเทียนซานไป ด้วยเพราะเหตุดังกล่าวคือ สูงกันดาร หนาวเย็น เพราะดินแดนแถบอาฟกานิสถาน ทาจิกิสถานแถบๆ นี้ก็เป็นแต่ทะเลทราย
ส่วนพวกอุยกูร์ ซินเจียง เป็นอารยะชนที่สันนิษฐานว่า อพยบถิ่นฐานมาจากตุรกี เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน อพยบมาตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์แล้ว ไม่อยากอพยบกลับไปทางเก่าก็เลยตั้งรกรากอยู่แถบนี้มาตั้งแต่บัดนั้น เพราะการที่จะอพยบไปแต่ละครั้งสมัยนั้นลำบากมากเพราะเรื่องกระโจม เรื่องสัตว์เลี้ยงที่ต้องต้อนไปด้วย อยู่ๆ ไปพบกับพวกคาราวานค้าขายของจีนก็ตามๆ ไป เห็นที่เมือง อูรุมฉี
Urumqi เมืองหลวงของมณฑลซินเจียงอุยกูร์ของจีนมีโอเอซิสใหญ่ จึงชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่ที่นี่

ส่วนพวกอุยกูร์ ซินเจียง เป็นอารยะชนที่สันนิษฐานว่า อพยบถิ่นฐานมาจากตุรกี เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน อพยบมาตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์แล้ว ไม่อยากอพยบกลับไปทางเก่าก็เลยตั้งรกรากอยู่แถบนี้มาตั้งแต่บัดนั้น เพราะการที่จะอพยบไปแต่ละครั้งสมัยนั้นลำบากมากเพราะเรื่องกระโจม เรื่องสัตว์เลี้ยงที่ต้องต้อนไปด้วย อยู่ๆ ไปพบกับพวกคาราวานค้าขายของจีนก็ตามๆ ไป เห็นที่เมือง อูรุมฉี Urumqi เมืองหลวงของมณฑลซินเจียงอุยกูร์ของจีนมีโอเอซิสใหญ่ จึงชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่ที่นี่

ส่วนพวกอุยกูร์ ซินเจียง เป็นอารยะชนที่สันนิษฐานว่า อพยบถิ่นฐานมาจากตุรกี เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน อพยบมาตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์แล้ว ไม่อยากอพยบกลับไปทางเก่าก็เลยตั้งรกรากอยู่แถบนี้มาตั้งแต่บัดนั้น เพราะการที่จะอพยบไปแต่ละครั้งสมัยนั้นลำบากมากเพราะเรื่องกระโจม เรื่องสัตว์เลี้ยงที่ต้องต้อนไปด้วย อยู่ๆ ไปพบกับพวกคาราวานค้าขายของจีนก็ตามๆ ไป เห็นที่เมือง อูรุมฉี Urumqi เมืองหลวงของมณฑลซินเจียงอุยกูร์ของจีนมีโอเอซิสใหญ่ จึงชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่ที่นี่

แผนที่แสดงจุดข้ามแดนบนภูเขาเทียนซาน รอยต่อมณฑลซินเจียง อุยกูร์ จีนกับประเทศ คีร์กิสถาน
ทางเอเชียไมเนอร์ถึงอ่าวบิสเค (Biscay) และจากทะเลโอรอล (Oral Sea)  จนถึงประเทศคาซัคสถาน ไปจนถึงเขตแดนกุจญ์ราตและบอมเบย์ เมืองสินธ์ ในอินเดีย ทางตะวันตกไปถึงแอฟริกาตอนเหนือและแคว้นแอนดาลุสทางตอนใต้ของสเปน (اندالوس اسباني Andalus Spain) ต่างก็ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรของวะลีดที่ 1
มีการสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล จัดหาเงินช่วยเหลือคนชราและคนพิการ จัดให้มีโรงพยาบาลคนตาบอดโดยเฉพาะ ในสมัยของวะลีด ที่ 1 นี้ ศิลปะและวัฒนธรรมเริ่มเจริญรุ่งเรือง เป็นนักสร้างที่ยิ่งใหญ่ บูรณะและขยายมัสยิดแห่งมะดีนะฮ์และมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม พัฒนาการทางการค้าก็เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย นับได้ว่าเป็นอาณาจักรอิสลามที่มีความสงบ รุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อวะลีดที่ 1 ผู้เป็นพี่ชายสิ้นชีพลง

แผนที่แสดงอาณาเขตดินแดนของ วะลีดที่ 1 บิน อับดุล มาลิก สุลต่านแห่งตระกูลอุมัยยะห์
สุไลมาน บิน อับดุล มะลิก ก็ขึ้นครองอำนาจต่อ เป็นกาหลิบ ปี ฮ.ศ. 96 – 99 ( ค.ศ. 715 – 718 ) ที่มีเมตตาต่อสหายแต่โหดร้ายต่อศัตรูมีชื่อเสียงในเรื่องฮาเร็มและการมีชีวิตอย่างหรูหรา ในสมัยการปกครองของสุไลมาน ไม่มีอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ที่โดดเด่นต่อราชอาณาจักรอิสลามมากนัก คุณประโยชน์อย่างเดียวที่ทำให้แก่รัฐอิสลามก็คือการแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อว่า อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เป็นกาหลิบ ซึ่งเป็นกาหลิบที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม สุไลมาน สิ้นชีพหลังจากที่เป็นกาหลิบได้ 2 ปีกับอีก 5 เดือน
อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ ขึ้นเป็นกาหลิบในปี ฮ.ศ. 99 – 101 ( ค.ศ. 718 – 720 ) เป็นน้องของอับดุล มาลิก บิดาเป็นผู้ปกครองอียิปต์มาเป็นเวลานานและมารดาของท่านเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ อุมัร อิบนุ อัลอะซีซเป็นกาหลิบที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก บริหารอาณาจักรอิสลามอย่างยุติธรรมจนได้สมญานามว่า เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 5 อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ พยายามจำกัดความไม่เสมอภาคระหว่างมุสลิมชาวอาหรับกับมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ นอกจากนี้อุมัรได้แต่งตั้งบุคคลสำคัญๆ ขึ้นครองตำแหน่งสูงๆ โดยเลือกเอาผู้ที่เที่ยงธรรมและซื่อตรงเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแก่เหล่าประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ปกครอง อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เห็นความสำคัญในการทำนุบำรุงดินแดนที่ได้มาครอบครองแล้วให้เจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างไกลออกไปอีก ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอุมัรก็คือ การรวบรวมหะดีษอย่างเป็นทางการ ตลอดการปกครองของอุมัรประชาชนในราชอาณาจักรอิสลามทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต่างก็มีความสุขและได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมกันทั่วหน้า เมื่อท่านอุมัรสิ้นชีพลง
ยะชีดที่ 2 บิน อับดุลมะลิก จาก ปี ฮ.ศ. 101 – 105 ( ค.ศ. 720 – 724 ) ขึ้นปกครอง ในสมัยปกครองของยะชีดที่ 2 เกิดกลุ่มกบฏต่างๆ ที่ไม่พอใจในตัวกาหลิบเอง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตในขณะเดียวกัน ยะซีดที่ 2 ก็ไม่ค่อยสนใจในการบริหารประเทศมากนัก ระหว่างสมัยยะซีดนี้ พวกอับบาสียะฮ์เริ่มมีอำนาจและแข็งข้อขึ้น ตอนแรกกระทำกันอย่างลับๆ แต่ต่อมาก็ทำอย่างเปิดเผยเพื่อโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ลง
ฮิชาม บิน อับดุลมะลิก จาก ปี ฮ.ศ. 105 – 125 ( ค.ศ. 724 – 743 ) น้องชายของยะซีดที่ 2 ขึ้นครองอำนาจต่อจากท่านยะซีดที่ 2  ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ การต่อสู้ระหว่างพวกอุมัยยะฮ์กับพวกอับบาสียะฮ์ดำเนินไปอย่างรุนแรง มีการก่อการจลาจลวุ่นวายทั่วอาณาจัก ฮิชามสิ้นชีพในปี ฮ . ศ . 743 เมื่อฮิชามสิ้นชีพ
วะลีดที่ 2 บิน ยะซีด ที่ 2 จาก ปี ฮ.ศ. 125 – 126 ( ค.ศ. 743 – 744 ) ขึ้นครองอำนาจ ในตอนแรกพยายามเอาชนะใจประชาชน โดยการเพิ่มเงินช่วยเหลือแก่คนยากจน คนชราและคนพิการ แต่ความโหดร้ายที่วะลีดที่ 2 มีต่อครอบครัวท่านอะลีและบนีฮาชิมก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ วะลีดปกครองได้ไม่ถึงปีก็ถูกท่านยะซีดที่ 3 ลูกชายของกาหลิบวะลีดที่ 1 ก่อการกบฏและสังหารวะลีดที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวะลีดที่ 2 สิ้นอำนาจ
ยะซีดที่ 3 บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 126 ( ค.ศ. 744 – 744 ) ผู้ก่อการกบฏก็ขึ้นเป็นกาหลิบแทน ยะซีดเป็นคนใจบุญและเคร่งศาสนา เมื่อครองอำนาจ ก็ได้สัญญาว่าจะปลดเปลื้องความเดือดร้อนของประชาชน จะลดภาษีและจะปราบปราบข้าราชการที่ทุจริตคดโกง แต่ท่านอยู่ในราชสมบัติไม่นานพอที่จะทำตามที่ทรงสัญญาไว้ได้ ก็ต้องผจญกับความยากลำบากนานาประการมาตั้งแต่ต้น มีการก่อกบฏทั้งในปาเลสไตน์และแอฟริกา ยะซีดครองอำนาจได้แค่ 6 เดือนก็สิ้นชีพ และ
อิบรอฮีม บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 127 ( ค.ศ. 744 – 744 ) น้องชายของยะซิดที่ 3 ขึ้นเป็นกาหลิบแทน แต่ได้รับการยอมรับจากคนเพียงบางส่วนเท่านั้น จนกระทั่ง
มัรวานที่ 2 บิน มูฮัมมัด จาก ปี ฮ.ศ. 127 – 132 ( ค.ศ. 744 – 749 ) ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากอิบรอฮีม มัรวาน ที่ 2 หรือมัรวานอัลหิมาร์ ได้ย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัสไปอยู่ที่ฮัรรอน ซึ่งทำให้ชาวซีเรียไม่พอใจและรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้าน มัรวานต้องผจญกับความยากลำบากต่างๆ นานา มีการกบฏในปาเลสไตน์ พวกคอวาริจญ์ก็แข็งข้อขึ้น และพวกบานีฮาชิมก็แพร่ขยายตัวออกไปอย่างน่ากลัว เกิดความครุ่นแค้นคุกรุ่นขึ้นทั่วอาณาจักรอุมัยยะฮ์ กองทัพซีเรียก็อ่อนแอลง ฉะนั้นสมัยของมัรวานที่ 2 จึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ จนกระทั่งในปี ค . ศ . 750 อบูมุสลิม ซึ่งเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอับบาสียะห์พร้อมกับพรรคพวกได้ก่อกบฎและยึดเมืองคูราซาน (Khurasan) ได้สำเร็จ พร้อมกับขับไล่นัศร์ อิบนุ สัยยาร ซึ่งเป็นข้าหลวงของมัรวานที่ 2 ประจำแคว้นคูราซานออกจากพื้นที่ การก่อกบฏและยึดอำนาจได้ขยายไปเรื่อยๆ ยังแคว้นอื่นๆ จนกระทั่งมัรวานที่ 2 ซึ่งเป็นกาหลิบสุดท้ายของตระกูลอุมัยยะฮ์ถูกสังหารเสียชีวิต เมื่อกลุ่มอับบาสียะห์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจและโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ได้ พวกอับบาสิยะห์ได้พยายามกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลอุมัยยะฮ์ให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถหนีรอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์นี้ได้ ในบรรดาผู้ที่หนีรอดเหล่านั้นคือ อับดุลเราะหมาน ซึ่งเป็นหลานปู่ของฮิซาม ได้หนีเอาชีวิตรอดไปที่แอฟริกาเหนือและต่อมาได้สร้างตระกูลอุมัยยะฮ์ขึ้นมาใหม่ที่แคว้นแอนดาลุส สเปน
ในสมัยการปกครองโดยตระกูลอุมัยยะฮ์นั้น ผู้ครองอำนาจการปกครอง จะให้ความสำคัญในด้านการศึกษา ตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ บัสเราะฮ์ กูฟะฮ์ ซีเรีย อิสกันดัร (ประเทศสเปน) ฟุรตอต และอีกหลายๆเมืองในสมัยนั้น สาขาวิชาต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยอุมัยยะฮ์ได้แก่
วิชานาฮู (วิชาวสกยสัมพันธ์) แต่งขึ้นโดย อาบูอัลอัซวัด อัฎฎออาลี
การเรียบเรียงหาดิษจากบรรดาเหล่าศอฮาบะฮ์ และวิชาตัฟเซร ที่เมืองบัสเราะฮ์ โดยมีบรรดาอุลามาอฺหลายคนให้ความสำคัญกับวิชาตัฟเซร เช่น อับดุลลอฮ์ บิบ อับบาสและในสมัยนี้ได้มีการขยายความรู้ด้าน
วิชาสามัญ (วิชาการทางโลก) เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาเคมี การแพทย์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา
วิชาการแพทย์คือ อัล ฮาริษ อิบนุ กะลาดะฮ์ ผู้ที่มีชื่อเสียงสาขา
วิชาเคมี คือ คอลิด อิบนุ ยะสีด และมีกำเนิดการทำ
ฮาลาเกาะฮ์ (หมายความว่า การจัดกลุ่มศึกษาขึ้นเพื่อการศึกษาอิสลามร่วมกัน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมฮาลากอฮฺจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาที่จะนำมาพูดคุยกันเอง เช่น การศึกษาอัลกุรอานพร้อมกับความหมาย
, การศึกษาอัลฮาดิษ, การศึกษาประวัติท่านนบีและซอฮาบะฮฺ,การศึกษามรรยาทต่างๆของอิสลาม,
การศึกษาวิชาฟิกฮฺร่วมกัน สำหรับในเรื่องฟิกฮฺนั้น ควรผ่อนปรนในเรื่องที่แตกต่างและร่วมมือกันในเรื่องที่เหมือนกัน อีกทั้งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีความเห็นที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการการแตกแยกที่อาจจะเกิดในเรื่องประเด็นปลีกย่อย เพราะสิ่งเหล่านี้พบมากปัจจุบัน เยาวชนนักศึกษาบางที่บางแห่ง ถึงกับจับกลุ่มกันนินทาพี่น้องหรืออาจจะถึงขั้นไม่ละหมาดตามกันเลยก็มี) ฮาลาเกาะฮ์ที่ทำกันในมัสยิดเริ่มทำที่ มักกะฮ์ โดย อับดุลลอฮ์ บิน อับบาส



อาณาจักรอับบาสียะฮ์ หลังจากตระกูลอุมัยยะฮ์ถูกโค่นล้ม ตระกูลอับบาสียะฮ์ก็ขึ้นมาครองอำนาจแทน คำว่าอับบาสียะฮ์ มาจากชื่อของท่านอับบาส บุตร อับดุล มุฎฎอลิบ บุตร ฮาชิม ซึ่งเป็นน้าชายของท่านศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) บางครั้งเรียกว่าเชื้อสายฮาชิมี ตระกูบอับบาสียะฮ์ได้ย้ายเมืองหลวงจากชามมายังเขตอิรักในแบกแดด อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดเรืองอำนาจตั้งแต่ ค . ศ . 750-1258 ซึ่งมีระยะเวลาการครองออำนาจยาวนานเป็นลำดับที่สองรองจากราชวงศ์ออตโตมาน ราชวงศ์อับบาสียะฮ์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์โลก แบ่งยุคประวัติศาสตร์อับบาสียะฮ์ออกเป็นสองยุคใหญ่ๆ คือ
·          ยุคต้น เริ่มตั้งแต่การสถาปนาตระกูลอับบาสียะฮ์ในปี ฮ . ศ . 132 - 232 (ค . ศ . 750 - 847) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณหนึ่งศตวรรษ ส่วน
·          ยุคปลาย ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 232 (ค . ศ . 847) จนถึงพวกมงโกลเข้ามายึดครองเมืองแบกแดด หรือการสิ้นอำนาจของอับดุลลอฮ์ อัลมุอ์ ตะซิม บิลลาฮ์ ในปี ฮ . ศ . 656  (ค . ศ . 1258) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณ 424 ปี
ในยุคปลายของอับบาสียะฮ์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงคือ
1. ช่วงชาวเตอร์กเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 232-334  (ค . ศ . 847-946) รวมระยะเวลาประมาณ 102 ปี ช่วงดังกล่าวนี้ชาวเตอร์กมีบทบาทมากในการกำหนดทิศทางทางการเมืองการปกครองและการทหารของอับบาสียะฮ์
2. ช่วงพวกบูไวยะฮ์เรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 334-447 (ค . ศ . 946-1055) รวมระยะเวลา 113 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองและการปกครองของอับบาสียะฮ์ตกอยู่ในมือของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
3. ช่วงเซลจูกเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 447-530 / ค . ศ . 1055-1136 รวมระยะเวลา 83 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ถูกควบคุมโดยพวกเซลจูกซึ่งเป็นสุนนีย์ที่เข้ามาโค่นอำนาจของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
4. ช่วงสุดท้ายที่ล่มสลาย คือระหว่างปี ฮ . ศ . 530-656 / ค . ศ . 1136-1258 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเซลจูกกำลังเสื่อมโทรม ในขณะเดียวกันมีการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูอำนาจของอับบาสียะฮ์ใหม่ แต่ก็ถูกคุกคามโดยอำนาจใหม่แห่งมงโกลจนล่มสลายไปในที่สุด ช่วงนี้มีระยะเวลาการปกครองประมาณ 126 ปี
ตระกูลอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดมีผู้ปกครองรวมทั้งหมด 37 คน ในช่วง 3 ศตวรรษแรกของการปกครองของอับบาสียะฮ์ อาณาจักรอิสลามมีความเจริญก้าวหน้ามากทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นยุคฟื้นฟูแห่งอิสลาม
สมัยการปกครองของอับบาสียะฮ์ เป็นสมัยของการสร้างความเป็นเอกภาพและความรุ่งเรืองสูงสุด มีการขยายอาณาเขตการปกครองมากขึ้น ทางทิศตะวันตกถึงแอฟริกาเหนือ สเปน ส่วนทางด้านทิศตะวันออกถึง ฝั่งเปอร์เซียและอินเดีย โดยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลอับบสาสิยะห์ ที่มีศูนย์อยู่ที่แบกแดด การเรือง อำนาจของอับบาสียะฮ์เป็นการเปิดศักราชใหม่ของมุสลิมในด้านศิลปวิทยาการสาขาต่างๆ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ของมุสลิมได้เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มขึ้นของอับบาสียะฮ์ ผู้ปกครองในตระกูลอับบาสียะฮ์เป็นผู้อุปถัมภ์วิทยาการอย่างใหญ่หลวง ทนุบำรุงเลี้ยงดูนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถซึ่งได้สร้างประโยชน์อันมีค่าให้แก่วัฒนธรรมของโลก
กาหลิบอัล มะอ์มูน ( ค . ศ . 813-833) เปิดแผนกแปลเพื่อรักษาผลงานด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของต่างชาติไว้เช่น ผลงานของอริสโตเติล กาเลน แต่คงจะหายสาปสูญไปถ้าหากมุสลิมไม่ได้เก็บรักษามันไว้ด้วยการแปลเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้มุสลิมยังมีความรู้ในเรื่องทางเคมี การแพทย์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก มีแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่โลกรู้จักกัน ตำราอัลกอนูน ของอิบนุชินาได้ใช้เป็นตำราทางการแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรปมาหลายร้อยปี
ต้นๆของยุคอับบาสียะฮ์ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นในกรุงแบกแดด ต่อมาก็ได้มีโรงพยาบาลเกิดขึ้นอีก
34 แห่งในส่วนต่างๆของโลกมุสลิม
นักปรัชญาแล้วยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นักประดิษฐ์กล้อง และนักทฤษฏีด้านดนตรีอีกด้วย อีกทั้งได้เขียนตำราในด้านต่างๆ กว่า
200 เล่ม
ตำราทางด้านจิตวิทยา การเมืองและอภิปรัชญา นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น
ดาราศาสตร์ในสมัยของอัลมะอ์มูนได้มีการสร้างหอดูดาวแห่งแรกขึ้นที่เมืองจันดีชาปูร ในเปอร์เซียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อมาได้มีการสร้างอีกแห่งหนึ่งในเมืองแบกแดด
ตำรา “ กิตาบ ซูรอตุลอัรฏ์ ” ซึ่งอธิบายแผนโลกที่เป็นเล่มแรกในศตวรรษที่
9
วิชาเคมี ญาบิร อิบนุ ฮัยยาน แห่งเมืองกูฟะฮ์นับว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเคมีสมัยใหม่ ได้สร้างห้องทดลองขึ้นในเมืองกูฟะฮ์ ได้ค้นพบสารประกอบทางเคมีมากมายและได้เขียนตำราเกี่ยวกับวิชาเคมีไว้หลายเล่ม
ทางด้านประวัติศาสตร์ มีมุสลิมมากมายมีความรู้เรื่องนี้ และเจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าสาขาอื่นๆ
วรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงก็มี อิสฟาฮานีย์ อิบนุ ค็อลลิกาน
สาขาอื่นๆ ที่รุ่งเรืองมากก็มี ศัลยกรรม เภสัชกรรม วิชาเกี่ยวกับสายตา
นิติศาสตร์ในสมัยอับบาสียะฮ์เกิดสำนักทางฟิกฮ์หรือที่เรียกว่ามัซฮับขึ้นสี่สำนัก ซึ่งมี
1.         อิมามอบู หะนีฟะฮ์
2.         อิมามมาลิก
3.         อิมามชาฟิอีย์
4.         ท่านอิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล เป็นผู้นำของแต่ละสำนัก จึงกล่าวได้ว่านักปราชญ์และผู้รู้ของมุสลิมในสมัยอับบาสียะฮ์มีอยู่ในทุกสาขาวิชาการและเป็นทองแห่งศิลปวิทยาการอิสลาม
  ในศตวรรษที่ 9 อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์เริ่มสั่นคลอนโดยการประกาศตั้งตัวเป็นรัฐเอกราชของราชวงศ์อุมัยยะฮ์แห่งสเปน ราชวงศ์ตุลูน แห่งอียิปต์ ราชวงศ์ตอฮิรีย์ แห่งคูรอซาน ราชวงศ์สามานีย์ แห่งแทรนโซเซียนาและคูรอซาน ราชวงศ์สัฟฟารีย์ แห่งซิสถาน
ในศตวรรษที่
10 กลุ่มชีอะฮ์ได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางและมีบทบาททางการเมืองมาก ได้ขยายอำนาจสู่อียิปต์และซีเรีย พร้อมกับประกาศตั้งตนเป็นรัฐอิสระที่อียิปต์แข่งกับราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดด
นอกจากนี้ในปี ค . ศ .
845 กลุ่มชีอะฮ์  บูไวยฮีย์ ได้บุกเข้ายึดกรุงแบกแดด และกุมอำนาจอับบาสีย์ไว้ได้สำเร็จ ต่อมา
ในปี ค . ศ .
1055 ชาวเซลจูกเข้ามามีบทบาทและกุมอำนาจในราชวงศ์อับบาสียะฮ์แทน จนกระทั่งได้อำนาจคืนจากชาวเซลจูกในปี ค . ศ . 1194 แต่ต้องเผชิญมรสุมลูกใหญ่จากการรุกรานของทหาร
มองโกล  ปี ค . ศ . 1258 ( ฮ . ศ .656) มองโกลสามารถเข้ายึดเมืองแบกแดดได้ และได้สังหารสุลต่านสุดท้ายของอับบสิยะฮ์แห่งแบกแดด จนสิ้นสุดอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดที่เรืองอำนาจมาเกือบ 6 ศตวรรษ

อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 หลังจากอาณาจักรเซลจูกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมองโกล รุกรานและล่มสลายในที่สุด อาณาจักรอุษมานียะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน ได้ประกาศตนเป็นปาดีชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แคว้นโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย ประมุขสุงสุดของอาณาจักรออตโตมาน เรียกว่า ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน มีสุลต่านปกครองทั้งหมด 36 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1299-1922 การปกครองในสมัยของสุลต่านสิบคนแรกนับว่าเป็นสุลต่านที่มีความสามารถเข้มแข็งในการรบ เพราะต้องรักษาดินแดนของตนพร้อมกับการขยายดินแดนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
สุลต่านที่
2 คือ อรฮันที่ 1 ได้จัดตั้งกองทหารราบแจนิสซารีขึ้น เพื่อเป็นกองทหารกล้าตายพิทักษ์สุลต่าน เป็นผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อสุลต่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในภายหลังกองทหารแจนิสซารีเป็นผู้ก่อการจลาจลเสียเอง เพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์ บางรัชสมัยกองทหารแจนิสซารีมีอิทธิพลถึงขั้นถอดถอนแต่งตั้งสุลต่านได้ จนในที่สุดรัชสมัยสุลต่านมะห์มูดที่ 2 พระองค์ได้ปราบปรามกองทหารแจนิสซารีอย่างเด็ดขาดและได้เลิกระบบกองทหารแจนิสซารี
ในสมัยของสุลต่านต้นๆ สิบคนแรกต้องทำศึกสงครามกับอาณาจักรไบแซนทีน กลุ่มประเทศในแหลมบอลข่าน เช่น เซอร์เบีย บัลกาเรีย วอเลคเชีย โรมาเนีย เฮงการี เป็นต้น ผลจากการสงครามในสมัยนี้ส่วนใหญ่ออตโตมานเป็นผู้ชนะ 

ต่อมาสุลต่านคนที่ 7 เมร์เมดที่ 2 ได้รับสมญานามว่า ผู้พิชิต เพราะเป็นผู้พิชิตอาณาจักรไบแซนทีนได้สำเร็จ สามารถตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี ค.ศ. 1453 และได้เปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล ในสมัยสุลต่านสุไลมานที่ 1 นับว่าอาณาจักรออตโตมานเจริญสูงสุดแต่ในขณะเดียวกันในช่วงปลายสมัยของสุลต่านสุไลมานที่ 1 นี้ก็เป็นการเริ่มของความเสื่อมของอาณาจักรออตโตมานสาเหตุของการเสื่อมเพราะ
1.ความอ่อนแอของสุลต่านเอง คือ ไม่มีความสามารถในการรบ หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี
2.ปล่อยให้แกรนด์วิเซียร์เป็นผู้บริหารแทน เป็นเหตุให้เกิดการการคอรัปชั่น
3.ขาดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยส่วนในยุโรปนั้นมีการอาวุธที่ทันสมัยและมีศักยภาพมากกว่า
4.กษัตริย์ในยุโรปได้ร่วมมือกันเพื่อล้มล้างอาณาจักรออตโตมาน
หลังจากสิ้นยุคการปกครองของสุลต่านสุไลมานเป็นต้นมา อาณาจักรออตโตมานเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อม ภายในราชสำนักมีแต่ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ฟุ่มเฟือย สุลต่านเอาแต่สนุกสนานอยู่ในฮาเร็ม มีการลอบปลงประชนแย่งชิงราชบัลลังก์ บรรดาข้าราชการแสวงหาความร่ำรวย ฉ้อราษฎร์บังหลวง สาเหตุดังกล่าวทำให้สุลต่านแห่งออตโตมานต้องปราชัยเป็นส่วนใหญ่และจากการรุกรานของชาติต่างๆในยุโรปทำให้ ไม่ สามารถขยายดินแดนได้อีก ต่อมาในสมัย

มะห์มูดที่ 2 ก็ได้จัดกองทัพแบบยุโรป โดยมีฝรั่งเศสให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ได้ร่วมสงครามกับเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมานตุรกีก็พ่ายแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรอันได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
อับดุลฮามิดที่ 1 ได้เกิดกลุ่มยังเติร์กหรือเติร์กหนุ่มเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสุลต่านเป็นระบบสาธารณรัฐและให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายในการปกครองประเทศ ในที่สุดเคมาล ปาชา ผู้นำกลุ่มยังเติร์กสามารถชนะกรีก และต่อมาประกาศเลิกระบบสุลต่าน เลิกระบบเคาะลีฟะฮ์ เป็นการสิ้นตระกูลออตโตมาน (อุษมานียะฮ์) เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประเทศตรุกีในปี ค . ศ. 1922 จนถึงปัจจุบัน

แผนที่แดงอาณาเขตของจักรวรรดิออโตมาน ในยุคเสื่อม ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิออโตมานพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เสียดินแดนในคาบสมุทรบอลข่านไป เสียดินแดน ในตะวันออกกลางไป
ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ ขอดุอาอ์ให้กับทุกคน اللهُمَّ اغْفِرْ لِنا وَارْحَمْنِا وَعَافِنِا وَاهْدِنِا وَارْزُقْنِا
โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเรา, ทรงเมตตาต่อพวกเรา, ทรงทำให้พวกเรามีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกเราด้วยเถิด




เรียบเรียงโดยฮัจญีอิสมาอีล อานนท์ เพ็ญพันธ์ aswasal@gmail.com





[1] โลกบัรซัค (عَالَمُ بَرزَخُ Isthmus) คือโลกที่กักวิญญาณจากดุนยา(โลกโลกียะนี้)ไว้ จะออกจากโลกบัรซัคก็ต่อเมื่อวันกิยามะต์มาถึงแล้ว วิญญาณจะกระจายออกมาประดุจดั่งลูกโป่งแตก ร่างกายวันกิยามะต์ก็จะเป็นร่างใหม่ที่จะเป็นร่างที่นิรันดร
[2] บิน ภาษาอาหรับแปลว่า ลูกชาย หรือบางครั้งจะใช้คำว่า อิบนิ หรือ อิบนุ ธรรมเนียมอาหรับจะใช้เรียกชื่อบุคคล และต่อด้วยชื่อพ่อ (มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลลอฮ์ หรือ มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์) ชื่อในหมายเหตุนี้ มุอาวิยะห์ บิน อบี ซุฟยาน แสดงให้เห็นว่า     มุอาวิยะห์ไม่ใช่บุตรคนโต ของ อบี ซุฟยาน บุตรคนโตชื่อ ซุฟยาน
[3] อบี ภาษาอาหรับแปลว่า พ่อ ธรรมเนียมอาหรับจะใช้เรียกชื่อบุคคล และต่อด้วยชื่อลูกชายคนโต เช่น อับดุลลอฮ์ อบี มุฮัมมัด
ถ้าเป็นแม่ ก็จะเรียกชื่อ โดยใช้ศัพท์คำว่าแม่ “อุมมุ” และต่อด้วยชื่อลูกชายคนโต เช่น ฟะตีมะห์ อุมมุ ฮะซัน บิน อาลี
ถ้าเป็นหญิง ใช้ชื่อตัว และมีคำว่าบุตรี “บินติ” คั่น แล้วต่อด้วยชื่อ พ่อ เช่น ฟะตีมะห์ บินติ มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลลอฮ์

ป้ายกำกับ:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก