นบีมุฮัมมัด
بِـسْـــمِ اللَّهِ
الرَّحْمَانِ الرَّحِـيْــمِ
25ประวัติท่านนบีมุฮัมมัด
Nabi
Muhammud.
نَبِيِ
مُحَمَّدُ
นบีมุฮัมมัดเกิดที่นครมักกะห์ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุล เอาวัล
ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดกายของมุฮัมมัด (ซ.ล.[[1]]) มีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม เป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก
ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อับรอฮะห์ อุปราชแห่งอาณาจักรอักซุม
กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะห์ เพื่อทำลาย กะอะบะฮ์อันเป็นศูนย์รวมชุมทิศของเหล่ามุสลิมีนทั้งหลาย
แต่ อัลลอฮฺได้ทรงพิทักษ์มักกะห์ด้วยการส่งกองทัพนก ที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งลงบนกองทัพนี้
จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน
อุปราชอับรอฮะห์จึงต้องถอยทัพกลับไป และเสียชีวิตในที่สุด
ในปีเดียวกัน
มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้พระราชวัง อะนูชิรวานของจักรพรรดิเปอร์เซียสั่นสะเทือนจนถึงรากเหง้าและพังทลายลง
ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของพวกโซโรอัสเตอร์ zoroaster ภาษาอาหรับว่าالمجوسية อัลมะญูซียะต์ ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไป
บิดาของมุฮัมมัดคืออับดุลลอฮ์
เป็นบุตรสุดท้องของอับดุล มุฏฏอลิบ ชาวเผ่ากุเรช ผู้ได้รับ เกิยรติให้คุ้มครองบ่อน้ำซัมซัม
ริมกะอะบะฮ์ อับดุลลอฮ์ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่มุฮัมมัด (ซ.ล.)
ยังอยู่ในครรภ์ของ อะมีนะห์ สตรีแห่งเผ่าซุหฺเราะห์ผู้เป็นมารดา
อับดุลมุฏฏอลิบผู้เป็นปู่ได้ขนานนามว่า มุฮัมมัด เป็นนามที่ยังไม่มีผู้ใดใช้มาก่อน
เมื่อเกิดได้เพียงไม่นาน
ท่านต้องไปอาศัยกับแม่นมรับจ้างชื่อฮะลีมะฮ์ ชาวเผ่าซะอัด ซึ่งมีสามีชื่อว่า
อะบูกับชะห์ ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกมหานครมักกะห์
ทั้งนี้เพราะประเพณีดั้งเดิมของชาวอาหรับ เมื่อต้องการให้บุตรของตนเติบโตขึ้นในชนบท
เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมของชาวอาหรับพื้นเมืองที่แท้จริง
มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ
6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่สิ้นชีวิต
มุฮัมมัดจึงอยู่ในความดูแลของ อะบูฏอลิบผู้เป็นลุง
ซึ่งเป็นผู้มีเกิยรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน
การเสียชีวิตของท่านหญิงอามีนะห์ผู้เป็นมารดาท่านนบี
ท่านหญิงอามีนะห์ได้นำท่านนบีมูฮัมหมัดมาเลี้ยง
จนอายุของท่าน 6 ขวบ เพื่อที่จะเยี่ยมกุโบรของสามีของนาง (ท่านอับดุลเลาะห์)
ซึ่งเป็นพ่อของท่านนบี และเพื่อที่จะให้นบีรู้จัก บรรดาน้าๆของท่านนบี และท่านก็ยังคงอยู่กับแม่ของท่าน
1 เดือนเต็ม ระหว่างการเดินทางกลับ ท่านหญิงอามีนะห์ป่วยระหว่างการเดินทาง และตาย
ณ ที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า อับวาอฺ และท่านรอซูล ร้องไห้เสียใจอย่างรุนแรง
และอุมมุอัยมัน คนรับใช้ของท่านรอซูล ได้พาท่านนบีกลับไปหาปู่ของท่านที่มักกะห์
ท่านเราะซูล ขณะที่อยู่กับปู่และลุง
หลังจากที่ท่านหญิงอามีนะห์
มารดาของท่านเราะซูล เสียชีวิต ท่านนบีมุฮัมมัดใช้ชีวิตอยู่กับปู่ของท่าน
ท่านจะอยู่พร้อมกับปู่ของท่านทุก ๆ ที่ ที่ปู่ของท่านจะนั่ง ก็จะมีท่านนบีอยู่ด้วย
และท่านนบีก็จะนั่งพร้อมกับผู้อาวุโสของชาวมักกะห์ และด้วยความต้องการของอัลเลาะฮฺ
ที่จะให้อับดุลมุฏฏอลิบ (ปู่) เสียชีวิต และอายุของท่านนบี 8 ขวบ
และท่านนบีก็ใช้ชีวิตหลังจากดังกล่าวอยู่กับลุงของท่าน อบีตอลิบ
ซึ่งลุงของท่านรักท่านนบีมาก ในวันหนึ่ง
อบูตอลิบได้พาท่านนบีไปในการเดินทางไปประเทศชาม และอบูตอลิบก็ได้รู้สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจ
นักบวชบุฮัยรอ
ระหว่างการเดินทาง
กองคาราวานได้ผ่านเมืองหนึ่ง และในระหว่างการเดินทางของพวก
ก็ได้ผ่านกระท่อมหลังหลังหนึ่ง ที่มีนักบุญอาศัยอยู่ ชื่อว่า บุฮัยรอ
และเมื่อบุฮัยรอได้เห็นกองคาราวาน และเขาก็มองเห็นใบหน้าของท่านเราะซูล
และอายุของท่าน 12 ปี
บุฮัยรอก็พูดกับลุงของท่านเราะซูลว่า
เด็กคนนี้คือใคร
อบูตอลิบกล่าวว่า แท้จริงเขาคือลูกชายของฉัน
บุฮัยรอกล่าวว่า
เขาไม่ใช่ลูกของท่าน
อบูตอลิบกล่าวว่า เขาคือลูกของน้องชายของฉัน
แต่ว่าพ่อของเขาเสียชีวิตไปแล้ว
บุฮัยรอกล่าวว่า จงพาลูกของน้องชายของท่านกลับไป
และจงระวังจากพวกชาวยิว แท้จริงหลานของท่านจะเป็น นบีในเวลานี้
ดังนั้น อบู ตอลิบก็รีบกลับไปยังมักกะห์
ท่านนบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือเหมือนกับชาวอาหรับทั่วไป
ท่านอ่านและเขียนหนังสือไม่เป็นตลอดชีวิต นักประวัติศาสตร์รายงานว่าในสมัยนั้นมีคนที่อ่านออกเขียนได้ในมักกะห์ไม่กี่คนเท่านั้น
ชาวอาหรับในสมัยนั้นถูกขนานนามว่า อุมมียูน คือชนผู้อ่านเขียนไม่เป็น
ในวัยหนุ่ม
มุฮัมมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ไว้วางใจได้
มีใจเมตตาการุณและจริงใจ จนผู้คนในสมัยนั้นให้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน"
หรือผู้ซื่อสัตย์ แม้ผู้คนในสมัยนั้นเคารพบูชาเจว็ดและเทวรูป ต่าง ๆ
แต่มุฮัมมัดไม่เคยเข้าร่วมพิธีการบูชารูปปั้นทั้งหลายเลย
เพราะครอบครัวของมุฮัมมัดนับถือศาสนาแห่ง ศาสดา อิบรอฮีม (ก็คือศาสนาอิสลามนั่นเอง
หลักการคือไม่สักการบูชาอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ) อันเป็นบรรพบุรุษของท่าน
เมื่อ
มูฮัมมัดมีอายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรม
และความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหูของเคาะดีญะฮ์ บินติคุวัยลิด
เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง
โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังเมืองชาม (ประเทศซีเรียปัจจุบัน) ในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน
ปรากฏผลว่าการค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย
จึงทำให้นางพอใจในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ
25 ปี ท่านแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮ์ บินติ คุวัยลิด ซึ่งแก่กว่าถึง
15 ปี สิ่งแรกที่ท่านนบีมุฮัมมัด
ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลดปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ
ซึ่งน้อยนักจะมีผู้ทำเช่นนั้น (ภายหลังการปลดปล่อยทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติอิสลาม)
ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปี มีบุตรีด้วยกัน 4 คน
หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านหญิงเคาะดีญะฮ์เสียชีวิตปี ค.ศ. 619
ก่อนมุฮัมมัดจะลี้ภัยไปยังเมืองยัษริบ 3 ปี يَثْرِبَ (หรือเมืองมะดินะห์ปัจจุบัน)
1.
นางเคาะดีญะฮ์ บินตุ คุวัยลิด เป็นภรรยาคนแรกของท่านนบี
ขณะแต่งงานท่านนบีอายุ 25 ปี นางเคาะดีญะฮ์ อายุ 40 ปี
ท่านนบีอยู่กินกับนางเป็นเวลา 25 ปี ระหว่างที่นางมีชีวิตอยู่
ท่านนบีมิได้แต่งงานใหม่กับหญิงใดเลย จนกระทั่งนางถึงแก่กรรมขณะอายุได้ 65 ปี
ท่านนบีอายุ 50 ปี
2.
นางอาอิชะฮ์ บินติ อบูบักร นางเป็นภรรยาที่เป็นสาวโสดคนเดียวของท่านนบี
(หลังจากที่นางเคาะดีญะฮ์จากไป)
3.
นางรอมละฮ์ บินตะ อบีซุฟยาน ก่อนหน้านั้นนางแต่งงานกับอับดุลเลาะฮ์
อิบนิ ญะฮซ์ ทั้งสองได้อพยพไปเอธิโอเปีย และอับดุลเลาะฮ์ ได้เข้ารีตเป็น คริสเตียน
และได้ถึงแก่กรรมลง ส่วนนางปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาคริสต์
และยืนยันในการนับถืออิสลาม ท่านนบีจึงได้แต่งงานกับนาง
4.
นางมารียะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ซึ่ง มุเกากิส
กษัตริย์ อียิปต์ ได้มอบให้เป็นของขวัญ
บุตรของท่านนบีมี 7 คน
ถึงแก่กรรมก่อนท่าน นอกจาก ฟาติมะฮ์ ซึ่งถึงแก่กรรมหลังจากที่ท่านนบีถึงแก่กรรมได้
6 เดือน
เมื่ออายุ
30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล
อันเป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน
กิจการประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน
ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ
35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอะบะฮ์ ในเรื่องที่ว่าผู้ใดกันที่จะเป็นผู้นำเอาฮะญะรัล
อัสวัด[[2]] (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอะบะห์
อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ
หลังจากการถกเถียงในที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า
ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนี ชัยบะห์ในวันนั้นจะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร
ปรากฏว่า มุฮัมมัด เป็นคนเดินเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง
แล้วท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ
จับชายผ้ากันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น
แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า
อัลลอฮฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ
อิสมาอีล และ อิบรอฮีม ผู้บูรณะกะอะบะฮ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกกุเรชส่วนใหญ่กลับบูชาเทวรูปและนับถือผีอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่าชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมีอาหรับส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์
และในยัษริบก็มีชาวยิวหลายตระกูลอาศัยอยู่อีกด้วย
มุฮัมมัดได้เป็นเราะซูล
เมื่ออายุ
40 ปี ท่านได้รับวิวรณ์ (วะฮี) จาก อัลลอฮฺในถ้ำ ฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะห์
โดยทูตสวรรค์ มลาอิกะห์ญิบรีลเป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนาของ
อัลลอฮฺ ตามที่ศาสดา มูซา (โมเสส) และอีซา (เยซู) เคยทำมา
นั่นคือประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระราชโองการติดต่อกันเป็นเวลา
23 ปี พระราชโองการเหล่านี้เรียกว่า “อัลกุรอาน” รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่าคัมภีร์อัลกุรอาน
ในสมัย นบีมุฮัมมัดยังอยู่นั้น ถูกเขียนบันทึกไว้บนแผ่นหนัง บนกระดูก บนแผ่นหิน
อัลกุรอานถูกรวบรวมเขียนเป็นเล่มเมื่อครั้งสมัย สิ้นยุคคอลิฟะห์ทั้งสี่ไปแล้ว
คาดเดากันว่าประมาณสมัยการปกครองของวงศ์อุมัยยะห์ เพราะอาณาเขตการปกครองของวงศ์อุมัยยะห์กว้างไกลไปถึงแดนมักริบ
(แดนตะวันตกดิน นั่นคือเมืองโมร็อคโค) และยังข้ามทะเลไปเมือง คอโดบา
ในทางใต้ของสเปน ภาษาอาหรับเรียกว่าเมืองอันดารุสสิยะห์ (الأندلس Andarusia.) ด้านทิศตะวันออกก็แผ่ไพศาลถึงอินเดีย
ซึ่งเป็นการยากที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ในเวลาอันสั้น
ต้องใช้เวลาเดินทางรอนแรมเป็นเดือนๆ กว่าจะไปถึงที่ที่หนึ่ง จึงมีความคิดรวบรวม อัลกุรอาน
จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายในอาราเบีย ให้นำมาเขียนลงเป็นแผ่นหนังผืนใหญ่ผืนเดียว
จ่ายแจกไปตามหัวเมืองไกล ๆ ต่าง ๆ ไว้ให้อ่านและศึกษา และในเวลาต่อมา
ได้มีการผลิตกระดาษออกมาใช้เขียนหนังสือลงบนกระดาษ
ก็ได้เขียนเก็บใส่กระดาษไว้มากมาย และส่งต่อไปยังหัวเมืองต่างๆ

ตามแผนที่นี้จากเมืองอิสลามาบาดในปากีสตานถึงคอโดบา
(อันดารุสสิยะห์) 8,500 กิโลเมตรเศษ อูฐเดินทางได้วันละ 20 กิโลเมตร จะใช้เวลาเร็วที่สุด
425วัน (1ปี กับ2เดือน)
ในตอนแรกท่านเผยแพร่ศาสนาแก่วงศาคณาญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นการภายในก่อน
ท่านเคาะดีญะฮ์เองได้สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่าน อบู ฏอลิบ ก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต
ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแพร่ศาสนาโดยเปิดเผย
ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่านนบี
พากันโกรธแค้น ตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่างรุนแรง
ถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับผู้ใด
จนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีที่จะซื้ออาหาร อบู สุฟยาน
แห่งตระกูลอุมัยยะฮ์และ อบู ญะฮัล
คือสองในจำนวนหัวหน้าชาวมุชริกที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
ในปีที่
5 หลังประกาศการเผยแผ่อิสลามอย่างเปิดเผย ฝ่ายมุสลิมถูกคุกคามมากขึ้นมากขึ้น
ท่านนบีจึงต้องทำการอพยพ (ฮิจเราะห์ครั้งแรก)
พามุสลิมบางส่วนไปฝากไว้กับเจ้าเมืองอบิสเนีย
เจ้าเมืองอบิสเนียไตร่สวนแล้วได้ความว่า
อิสลามที่ท่านนบีมุฮัมมัดประกาศนั้นคือศาสนาเดียวกันกับ อบิสเนีย ซึ่งเป็นคริสต์
คือ สักการบูชาแต่ อัลลอฮฺองค์เดียว หลังจากนั้นอีกไม่นานมุสลิมถูกุกคามหนักขึ้นอีก
ท่านนบีจึงทำการอพยพอีกเป็นครั้งที่ 2
เจ้าเมืองอบิสเนียก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ภายหลังท่านเองก็เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วย ตาม อัลกุรอาน บอกไว้ว่า
ศาสนายูดายและคริสต์นั้นถูกยกเลิกโดย อัลกุรอาน ให้ทุกคัมภีร์เก่าๆ
หันมาใช้อัลกุรอานเล่มเดียว
บุคคลสำคัญรับอิสลาม ท่านฮัมซะฮ์ บุตร อับดุลมุตตอลิบ และอุมัร บุตร ค็อตต็อบ
เข้ารับอิสลามในปีที่ 5
อบิสเนีย คือ จักรวรรดิเอธิโอเปีย รวมมาถึงเยเมน
เป็นจักรวรรดิที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศเอธิโอเปียและเอริเทรียในปัจจุบัน ในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุดนั้นอาณาเขตของจักรวรรดิได้แผ่ขยายไปถึงซูดาน
อียิปต์ เยเมน และดำรงอยู่ในหลายหลายลักษณะนับตั้งแต่การสถาปนาเมื่อราว 980 ปี ก่อน ค.ศ. จนกระสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1974 ด้วยการรัฐประหารล้มล้างระบอบราชาธิปไตย
กล่าวได้ว่ารัฐแห่งนี้เป็นรัฐที่ดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก และเป็นชาติแอฟริกาเพียงชาติเดียวที่สามารถดำรงเอกราชและอธิปไตยของตนเองได้ในยุคแห่งการล่าอาณานิคมในแอฟริกาโดยชาติตะวันตกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
19
ปีที่
10 หลังประกาศการเผยแผ่อิสลามอย่างเปิดเผย ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจาก
นางเคาะดีญะฮฺ ผู้เป็นภรรยา และ อบู ฏอลิบ ผู้เป็นลุง ที่ทั้งสองได้ให้การอุปการะกิจกรรมของ
นบีมาโดยตลอด ได้สิ้นชีวิตลง ในปีเดียวกันนี้
ท่านศาสดามุฮัมมัดเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมือง ฎออิฟ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมืองมักกะห์
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากชาวฏออิฟ
ในวันจันทร์ที่
27 เดือนรอญับ ปีที่ 10 ศาสดามุฮัมมัดได้รับโองการ (วะฮี) ให้ขึ้นบนสวรรค์และนรก
เพื่อเยี่ยมชมดินแดนข้างหน้าหลังวันกิยามะห์ (ฟื้นคืนชีพ) อัลลอฮฺได้จัดพาหนะเป็น
บุร็อก (คล้ายม้ามีปีก)เดินทางจากมักกะห์สู่เยรูซาเล็มที่ บัยตุลมักดิส
(มัสญิดอัลอักซอ) ในเวลาค่ำคืนที่ 27 รอยับ การเดินทางนี้เรียกว่า “อิสรออฺ إسراء traveling by night” เมื่อถึงมัสญิดอัลอักซอแล้ว
ท่านนบีได้แวะละหมาดบนโขดก้อนหินใหญ่หน้ามัสญิดอัลอักซอ ละหมาดเสร็จแล้ว ก็เดินทางต่อโดยขึ้นไปที่นรก
(การเดินทางจากอัลอักซอไปนรกนั้นเรียกว่า “มิอฺราจ مِعْرَاجُ Ascension (แปลว่าการขึ้นสวรรค์ทั้งยังมีชีวิต)”
โขดหินหน้ามัสญิดอัลอักซอที่ท่านนบีมุฮัมมัดแวะละหมาดนั้น ภายหลังมา
ยุคของวงศ์อุมัยยะห์ได้สร้างอาคารครอบไว้ เรียกกันภายหลังว่า “โดมแห่งศิลา Dome of the rock. قبة الصخرة”และ ยิวไซออนนิสต์ ได้โฆษณาเผยแพร่อย่างหนักหน่วงว่า
โดมนี้คือมัสญิดอัลอักซอ จนคนมุสลิมที่ไม่รู้เรื่อง
ซื้อพรมรูปโดมหินมาติดข้างฝาบ้านเข้าใจว่านั่นเป็นมัสญิดอัลอักซอ
![]()
มัสญิดอัลอักซอ Alaqsa
Mosque. مَسْجِدِ القُدُّسُ คืออาคารล่างซ้ายมือถึงขวา
โดมศิลา Dome of the rock. เป็นโดมครอบเนินหินเล็กๆ (กลางภาพ) |
![]()
ภาพภายในโดม คือโขดหิน ไม่ใช่ มัสญิด
|
![]()
ภาพแสดงภายในโดมและทิศ
|
เมื่อเยี่ยมชมและพบเจอนบีต่างๆ
และเหล่าผู้ทรงคุณธรรมในคืนนั้น อัลลอฮฺทรงกำหนดการละหมาดฟัรดูเป็น 5
เวลาแก่ประชาชาติอิสลาม (เดิมที อัลลอฮฺใช้ให้ทำ 50 เราะกะอัต
แต่นบีต่อรองลงมาเหลือ 5 เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระหนักแก่ประชาชาติของท่าน)
ปีที่
11 ชาวมะดีนะห์ 6 คน เข้าพบท่านศาสดามุฮัมมัด เพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาใน
ปีที่
12 ชาวมะดีนะห์ 12 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาอัลอะกอบะห์ครั้งที่ 1 โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว
และใน
ปีที่
13 มีชาวมะดีนะห์ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะห์ ครั้งที่ 2
โดยให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่าน ศาสดาพร้อมทั้งบรรดาเศาะฮาบะห์ที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะห์
อพยพจากมักกะห์สู่มะดีนะห์
การอพยพ
(ฮิจเราะห์ครั้งที่สาม) สู่มะดีนะห์ครั้งนี้ นับเป็นศักราชแรกของการอพยพใหญ่และจริงจัง
ของศาสนาอิสลาม ถือเป็น ฮิจเราะห์ศักราชที่
1 ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.622 หรือ พ.ศ.1165
แต่การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็นพุทธศักราชไม่สามารถใช้จำนวนคงที่ เทียบได้
เนื่องจากฮิจเราะห์ศักราชยึดถือวัน เดือน ปี ทางจันทรคติอย่างเคร่งครัด จึงห่างกันมาก
ปีจันทรคติจะมีประมาณ 355 ± 1 วัน ทำให้คลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน โดยทุกๆ 32 ปีครึ่ง จะเพิ่มขึ้นจากปีสุริยะคติไป
1 ปี
การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็นปีพุทธศักราช
ให้บวกฮิจเราะห์ศักราชด้วย 1122 จะได้ปี ฮ.ศ. หรือเอา 1122ลบด้วยปีพุทธศักราช
จะได้ปี พ.ศ.
ท่านศาสดามุฮัมมัด
อพยพจากมักกะห์โดยลำพังก่อนโดยมี อบู บักรฺคอยช่วยเหลือคุ้มกันร่วมเดินทางไกลด้วย เมื่อถึงชายขอบเมืองมะดินะห์ท่านได้พักอูฐที่
กูบาอ์ มีประชาชนชาวมะดีนะห์ออกมาตอนรับกันมากมาย ท่านนบีมีดำรัสว่า
จะสร้างมัสญิดสักหลังตรงนี้เพื่อจะทำการละหมาด (ซอลาห์ صَلاةُ)
ผู้คนชาวเมืองต่างก็อยาก ให้ท่านนบีสร้างมัสญิดในที่ดินตน ได้เสนอที่ดินกันหลายราย
แต่โดยท่านดำรัสตัดสินว่า ถ้าอูฐล้มตัวลงที่ไหน จะเอาตรงนั้นเป็นมัสญิด
และแล้วท่านก็ได้ที่สร้างมัสญิด ก็ได้ลงมือสร้างมัสยิดกุบาอ์กันขึ้นมา ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกในโลกที่ถูกสร้างขึ้น
ครั้นเมื่อถึงวันศุกร์ ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม
หลายวันผ่านไป ท่านศาสดามุฮัมมัด ก็เดินทางต่อเข้าเมืองมะดีนะห์ เมื่อถึงเมืองมะดีนะห์ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก
ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาว มุฮาญิรีน (مُهَاجِرِيْنُ Immigrants) แปลว่าผู้อพยพ กับชาวอันศอร(อ่านว่า อัน-ซ็อด-รุ = คือผู้ช่วยเหลือที่เป็นชาวมะดีนะห์) คือผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม
หลังจากท่านนบีฮิจเราะห์กับ อบูบักรเป็นครั้งที่สามนี้นั้น
นับเป็นปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1
หลังจากนั้นชาวมุสลิมในมักกะห์ก็เริ่มทยอยกันอพยพมานครมะดีนะห์กันเรื่อยๆ
ไม่ขาดสาย
สงครามอูฮุด
غَزْوَةُ
اُحُدُ Uhud battle (Uhud foray) สงครามล้างผลาญมุสลิมในเขาอุหุด
24°30'12.7"N 39°36'42.3"E /// 24.503517, 39.611756
สงครามอุฮุดเกิดขึ้นในปีที่
3 หลังจากอพยพ หรือ ค.ศ. 625 ณ เชิงเขาอุฮุดทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะห์ โดยฝ่าย กุร็อยช์มีกำลังพลถึง
3,000 คน ซึ่งนำโดย อบู ซุฟยาน ส่วนฝ่ายมุสลิมมีกำลังพลแค่ 700 คน เท่านั้น
สาเหตุของสงคราม
พวกกุร็อยช์ไม่อาจจะลืมความพ่ายแพ้อย่างยับเยินที่ฝ่ายตนได้รับในสงครามบัดร์ได้
ทำให้หัวหน้าบางคนของพวกเขาอย่างเช่น อบู ญะฮช์และ อุตบะฮฺได้ถูกฆ่าตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้น
นับแต่นั้นมาก็มีเสียงกู่ก้องแก้แค้นดังขึ้นทั่วหุบเขาแห่งมักกะห์
นอกจากนั้นการที่พวกลูกหลานของฮาชิมมีอำนาจสูงขึ้นภายใต้การนำของท่านศาสดาก็ยังเป็นที่บาดใจของพวก
อุมัยยะฮฺอีกด้วย
ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนสองสาขาของตระกูลกุร็อยช์คือพวกฮาชิมกับอุมัยยะฮฺจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในปีที่
3 แห่งฮิจญ์เราะฮฺ พวกกุร็อยช์ได้เคลื่อนกองทัพมีจำนวน 3000 คนภายใต้การนำของ อบู ซุฟยานตรงมายังมะดีนะห์หลังจากเดินมาได้สิบวันก็มาถึงหุบเขา
อะกีก ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของมะดีนะห์ประมาณห้าไมล์
และได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาอุฮุดซึ่งอยู่ทางเหนือของมะดีนะห์
ภายในภูเขามีถ้ำกว้างพอที่จะบรรจุคนได้หลายพันคน
เมื่อท่านศาสดาได้ข่าวว่า
กองทัพพวกกุร็อยช์ เคลื่อนมาจึงได้สั่งให้สานุศิษย์ของท่านเตรียมตัวไว้ท่านศาสดาต้องการจะรับศึกในเมือง
แต่บรรดาทหารหนุ่มทั้งหลายนั้นกระตือรือร้นใคร่จะออกไปรับมือข้าศึกที่นอกเมือง
เป็นเหตุให้ท่านศาสดาต้องตัดสินใจยกทัพออกนอกมะดีนะห์ ฝ่ายมุสลิมมีทหารจำนวนหนึ่งพันคน
แต่ในระหว่างทางหัวหน้ามุนาฟิกคือ อับดุลลอฮ อิบนุ อุบัยดฺ กับพรรคพวกของเขาจำนวน
300 คนได้ละทิ้งกองทัพไปเสีย กองทัพของฝ่ายมุสลิมจึงเหลือเพียง 700 คนเท่านั้น
กองทัพอิสลามเคลื่อนทัพมายังภูเขาอุฮุดและใช้ถ้ำในภูเขาเป็นที่ตั้งค่ายทหาร
ท่านนบีได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้ตรงส่วนโค้งด้านนอกของภูเขาและได้สั่งให้ทหารธนูจำนวน
50 คนเข้าประจำที่บนเนินเขาอัยนัยน์ (Ainain) ทหารแม่นธนูเหล่านั้นร่วมกับทหารม้ากองเล็ก ๆ
จะเป็นผู้คอยคุ้มครองทางผ่านระหว่างภูเขาอุฮุดกับเนินเขาอัยนัยน์
ไม่ให้ฝ่ายข้าศึกโจมตีมาจากด้านหลังกองทัพมุสลิมได้
เมื่อฝ่ายกุร็อยช์รู้ว่ากองทัพของฝ่ายมุสลิมมาถึงแล้ว
ก็ออกมารับมือด้วยกองทหารราบทั้งหมดกับกองทหารม้าอีกครึ่งกองภายใต้การนำของ
อิคริมะฮฺ ส่วนทหารม้าอีกครึ่งกองภายใต้การนำของคอลิด บิน วะลีด
จะอ้อมไปโจมตีฝ่ายมุสลิมจากด้านหลัง
ผลของสงคราม
ในระหว่างการสู้รบตอนแรกฝ่ายมุสลิมได้ชัยชนะ
แต่ยังไม่ทันที่การรบจะสิ้นสุดลง กองทหารธนูเห็นชัยชนะเป็นของพวกตน
จึงได้ลงมารุกไล่ฝ่ายศัตรูและช่วยกันเก็บทรัพย์สินสงครามโดยละทิ้งหน้าที่
ทั้งๆที่ท่านนบีได้สั่งแล้วว่าห้ามละทิ้งหน้าที่เป็นอันขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
กองทัพฝ่ายมุสลิมจึงระส่ำระสายไม่เป็นระเบียบ
คอลิดเห็นได้โอกาสจึงลอบเข้าโจมตีกองทัพมุสลิมจากด้านหลัง
ทำให้ฝ่ายมุสลิมพ่ายแพ้แตกกระจัดกระจายไป
ท่านศาสดาพยายามที่จะนำพวกเขากลับมาแต่ก็ไม่สำเร็จ ฝ่ายกุร็อยช์ได้ขว้างก้อนหินมายังท่านศาสดาจนทำให้ท่านล้มลงบนพื้นดิน
ปากแตก ฟันหักไปหลายซี่ ท่านพยายามลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงไปอีกในหลุมที่พวกกุร็อยช์ ขุดดักไว้
ท่านอาลีและ ฏ็อลฮะฮฺ ก็ได้พยุงท่านให้ลุกขึ้นมา
และในเวลานั้นมีข่าวลือไปว่าท่านศาสดาถูกฆ่าเสียแล้ว
อันที่จริงนั้นท่านเพียงแต่ตกตลึงไปเท่านั้น ท่านได้ไต่เข้าไปซ่อนในถ้ำในภูเขาอุฮุดซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ของท่านกำลังรออยู่
ฝ่ายมุสลิมสูญเสียชีวิตเป็น ชะฮีด 70 คน
ในสงครามนี้มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเกิดขึ้นกล่าวคือ นางฮินด์ ซึ่งเป็นภรรยาของ อบู
ซุฟยานได้ทำร้ายศพชาวมุสลิมโดยการตัดหู ตัดจมูกอย่างบ้าคลั่ง
และที่น่าเศร้าที่สุดนางได้ผ่าท้องท่านฮัมซะฮฺซึ่งเป็นลุงของท่านนบี
ควักตับออกมาเคี้ยวกิน
เพื่อแก้แค้นที่ท่านฮัมซะฮฺได้ฆ่าญาติพี่น้องของนางในสงครามบัดรฺครั้งที่แล้ว
สงครามกับ
ยิวเผ่า นาฎีร
เผ่า นาฎีร เป็นชาวยิวหนึ่งในสามเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะห์
คือ ยิวเผ่า ก็อยนุ กออฺ และ ยิวเผ่ากุร็อยซะฮฺ ยิวเผ่า ก็อยนุกออฺนั้นถูกขับไล่ออกจากเมืองมะดีนะห์แล้วเมื่อฮิจเราะฮฺศักราชที่
3 ทั้งนี้พวกเขาได้ละเมิดสนธิสัญญาสันติที่ทำขึ้นกับชาวมุสลิม ส่วนสงครามยิวเผ่านาฎีรนั้นเกิดขึ้นเมื่อ
เดือนรอบิล อุลอัววัล ปีที่ 4 แห่งฮิเราะฮฺศักราช
สาเหตุและผลของสงคราม
มีอยู่วันหนึ่ง
ท่านนบีพร้อมกับสหายของท่านไปเยี่ยมยิวเผ่านาฎีร ณ หมู่บ้านของพวกเขา
ทั้งนี้เพื่อที่จะตกลงในเรื่องค่าชดเชยที่อุมัร บิน อุมัยยะฮฺซึ่งเป็นมุสลิม
ได้ฆ่าชาวยิวเผ่าอามิรสองคนตายโดยไม่เจตนา
ในขณะที่ท่านนบีเข้าไปในหมู่บ้านพวกยิวเผ่านาฎีรนั้น พวกเขาได้วางแผนลอบสังหารท่านนบีโดยการโยนก้อนหินจากหลังคาบ้านลงมาบนศีรษะของท่านนบี
แต่ แผนการ อันชั่วร้ายนี้รับรู้ถึงท่านนบีโดยการบอกของมะลาอิกะห์
ท่านนบีจึงถอยออกจากหมู่บ้านนั้น และรีบกลับมายังมะดีนะห์ คนเดียว
โดยไม่บอกให้สหายของท่านทราบ และปล่อยให้พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านชาวยิวนั้น
สหายของท่านรู้สึกแปลกใจที่นบีหายไป จึงช่วยกันหา
ระหว่างทางเจอกับคนคนหนึ่งที่พึงกลับมาจากมะดีนะห์และทราบว่าท่านนบีกลับมาถึงมะดีนะห์แล้ว
ท่านนบีเล่าถึงแผนการร้ายนี้ให้แก่สาวกผู้ใกล้ชิดได้รับรู้
และปรึกษาหารือกันเพื่อจะจัดการกับยิวกลุ่มนี้ จึงมีมติตกลงกันส่งท่านมุฮัมมัด บิน
มัสละมะฮฺ เป็นตัวแทนของท่านไปยื่นคำขาดให้แก่ ยิวเผ่านาฎีร ให้ออกจากพื้นที่มะดีนะห์ภายใน
10 วัน ฐานละเมิดสนธิสัญญาและพยายามลอบสังหารท่านนบี
เมื่อพวกเขาทราบว่าถูกเนรเทศออกจากมะดีนะห์ จึงคิดปักหลักต่อสู้ทันที
หัวหน้าของพวกเขาที่มีชื่อว่า ฮูยัย อิบนุ อัค
ต็อบ ได้สั่งพักพวกเขาเตรียมอาวุธ อาหารและสัมภาระอื่นๆ ตั้งมั่นอยู่ในป้อมค่าย
ท่านนบีได้ยกทัพมาปิดล้อมพวกเขา สงครามดำเนินไปประมาณ 15 วัน 15 คืน
ในที่สุดพวกยิวจึงยอมแพ้ พวกเขาได้ขอร้องให้ท่านนบีไว้ชีวิตและปล่อยพวกเขาไป
ท่านนบีได้ปล่อยพวกเขาโดยมีเงื่อนไขว่า
• ยิวเผ่านาฎีร ทุกคนจะต้องออกจากมะดีนะห์
ยกเว้นผู้ที่เข้ารับอิสลาม
• ห้ามนำอาวุธและสัมภาระอื่นๆ
ติดตัวไป เว้นแต่ที่จำเป็นเท่านั้น
•
อนุญาตให้ชาวยิวสามารถนำอูฐออกไปได้ครอบครัวละ 3 ตัว
ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อพยพตั้งหลักแหล่งที่
ค็อยบัร และอีกส่วนหนึ่งไปอยู่ทางใต้ของซีเรีย
กองทัพมุสลิมสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อาหารและที่ดินของพวกยิวเผานาฎีรนี้เป็นจำวนมาก
สงครามบะดัร غَزْوَةُ بَدَرُ Battle of Badr.
Badr
Battle Field
Badr
46354 Saudi Arabia; 23°46'20.5"N 38°47'18.6"E /// 23.772363,
38.788508
ประมาณ 5 ปีแรก หลังจากการฮิจญ์เราะห์
ชาวกุเรชได้นำกองทหารเข้าสู่นครมะดีนะห์โดยมีความมุ่งหวังจะทำลายรัฐอิสลามให้ราบคาบลง
ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันหลายครั้งด้วยกัน
สงครามบะดัร
เป็นสงครามแรกที่จำแนกระหว่างบรรดามุสลิมกับบรรดามุชริก ซึ่งจากสาเหตุของสงคราม
ตลอดจนขั้นตอน ทำให้ทราบได้ว่า แท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ทรงมีพระประสงค์ที่จะขจัดความอ่อนแอของบรรดามุสลิมที่ดำเนินวิถีชีวิตตามรูปแบบในมักกะห์
และพวกมุชริกได้กระทำต่อชาวมุสลิมอย่างทารุณโหดเหี้ยม
เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เป็นบทเรียนอันเจ็บปวดแก่บรรดาชาวกุเรช
ตลอดจนการสลายอำนาจของพวกเขา และให้เป็นบทเรียนแก่คนทั่วไปว่า พลังที่แท้จริงนั้น
คือพลังแห่งศรัทธา แท้จริงแล้ว อัลลอฮฺ ซุบฮานะ
ฮูวะ ตะอาลา ทรงช่วยเหลือคุ้มครองท่านนบี
รวมถึงศาสนาของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน
หลังจากที่ท่านเราะซูล ได้จัดระบบภายในของเมืองมะดีนะห์เรียบร้อยแล้ว
จึงหันมาเพื่อทำการตอบโต้พวกกุเรช บ้าง และทวงสิ่งที่ถูกยึดจากบรรดาผู้อพยพกลับคืน
ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินและที่พักอาศัย
โอกาสได้มาถึง
ในขณะที่ท่านทราบว่ากองคาราวานสินค้าของชาวกุเรชได้ออกมุ่งหน้าไปยังเมืองชาม
ท่านจึงรอคอยกองคาราวานที่บรรทุกสินค้าต่างๆที่กำลังเดินทางกลับมา
ครั้นเมื่อกองคาราวานมาถึงท่านจึงออกไปพร้อมกับบรรดาเศาะฮาบะห์ ที่มีความสามารถ
เพื่อกั้นขวางกองคาราวานนั้นอย่างรวดเร็ว ท่านนะบี ได้กล่าวว่า “ใครที่มีพาหนะพร้อม
ก็ให้รีบออกไปกับเราทันที”
ท่านเราะซูล
ได้ออกไปพร้อมกับ เศาะฮาบะห์ เพื่อสกัดกองคาราวานนั้น แต่ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ทรงมีพระประสงค์อื่น กองคาระวานจึงได้หลุดรอดไป ผู้นำกองคาระวานคือ อบูซุฟยาน
ได้ส่งคนมาตรวจเส้นทางและรู้ว่าบรรดามุสลิมได้ออกมาสกัดกั้นเส้นทางนั้น
เขาจึงหลบเลี่ยงเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นด้านชายฝั่งทะเลแดงแทน
พร้อมทั้งส่งคนไปบอกพวกกุเรช ให้ออกมาอารักขากองคาราวานสินค้าของพวกเขา
จึงได้มีชาวกุเรชพากันออกมาเป็นจำนวนมากมีประมาณ 1300 นาย
และหลังจากที่ได้ทราบข่าวการรอดพ้นของกองคาราวาน
บางกลุ่มจึงเห็นว่าสมควรกลับสู่มักกะห์ แต่ อบู ญะฮัล
ได้หลงตนเองจึงคิดแผนการออกอุบาย แล้วเขาจึงพูดว่า : “เรายังจะไม่กลับเข้ามักกะห์
จนกว่าเราจะได้ไปที่ บะดัรเสียก่อน ไปอยู่สักสามวัน เราจะเชือดอูฐหนุ่มและกินดื่มสุราเลี้ยงฉลอง
มีทั้งนักร้องนักเต้นให้เราได้ชม
เพื่อว่าชาวอาหรับจะได้กล่าวขวัญถึงชื่อเสียงและความเป็นอยู่ของพวกเราอย่างยิ่งใหญ่
และพวกเขาจะได้มีความเกรงกลัวพวกเราตลอดไป”
มีคนจำนวนมากหลงเชื่อ
ส่วนที่กลับมักกะห์มีประมาณ 300 นาย อบู ญะฮัลได้พาพรรคพวกเดินทางไปจนไปถึงแหล่งน้ำที่
บะดัร กองคาราวานของกุเรชได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมีจำนวนมากของกุเรชได้มุ่งหน้าสู่ บะดัรเพื่อเป็นการแสดงพลังของพวกตนเพื่อข่มขู่บรรดามุสลิม
ท่านนบีมุฮัมหมัด จึงมีคำสั่งสำหรับสถานการณ์นี้ ท่านได้เรียกบรรดาเศาะฮาบะห์ มาร่วมประชุมหารือกันในการที่จะต้องไป
ประจันหน้า กับพวกกุเรชและทำการสู้รบ
บรรดาผู้อาวุโสของมุฮาญิรีนจึงได้กล่าวสนับสนุนให้ออกไปต่อสู้และใช้คำพูดเพื่อปลุกเร้าทำให้เกิดความจูงใจ
ท่านเราะซูล จึงกล่าวชมเชยและขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขา
และให้คนทั้งหลายเสนอความคิดเห็นอีก โดยท่านต้องการทราบท่าทีของชาวอันศ็อร
เพราะพวกเขามีจำนวนมากกว่า และการทำสัตยาบันที่ “อะกอบะฮ์” ครั้งที่ 2 นั้น
มิได้ระบุให้พวกเขาต้องออกทำสงครามพร้อมกับท่านที่นอกเมืองมะดีนะห์
แต่ชาวอันศ็อรมีความเข้าใจดีถึงเจตนาของท่านนบี ผู้ที่ถือธงนำทัพมีชื่อว่า : สะอด์
บิน มุอ๊าซ รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ จึงได้พูดว่า : ขอสาบานด้วยพระนามของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ
ฮูวะ ตะอาลา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ครับ
ดูเหมือนว่าท่านหมายถึงพวกเรา
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จึงตอบว่า : ใช่แล้ว
ดังนั้น สะอด์จึงพูดต่อไปว่า :
แน่นอน พวกเราได้มี ศรัทธาต่อท่าน เชื่อตามท่านและเราได้ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ท่านนำมานั้นเป็นเรื่องจริง
แล้วเราได้ให้คำมั่นสัญญาในการเชื่อฟังท่าน ดังนั้นขอท่านจงออกไปสู้เถิด
ท่านเราะซูล ของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา ตามความประสงค์ของท่าน
ฉันขอสาบานด้วยผู้ซึ่งที่ได้ส่งท่านมาพร้อมกับความจริง
หากท่านนำพาพวกเราไปสู่ท้องทะเล แล้วท่านข้ามไป
แน่นอนพวกเราก็จะข้ามไปพร้อมกับท่าน
จะไม่มีใครจากพวกเราขาดหายไปแม้เพียงสักคนเดียว
แล้วเราไม่รังเกียจต่อการที่พวกเราจะไปเผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเราในวันพรุ่งนี้
พวกเราอดทนอย่างแน่นอน ในสภาวะสงครามที่เต็มไปด้วยความจริงใจในขณะประจัญบานและหวังว่า
อัลลอฮฺซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา จะให้ท่านได้เห็นสิ่งที่ตาทั้งสองของท่านจะมีความสุข
ดังนั้น ท่านจงพาเราไปด้วยกับความจำเริญของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา เถิด ท่านเราะซูลลุลลอฮ์
มี ความ ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดนั้น แล้วท่านได้พูดว่า : พวกท่าน จงออกไปพร้อมกับข่าวดีได้เลย
การสู้รบในสงครามบะดัร
บรรดามุสลิมได้ออกไป ประจันหน้า กับพวกมุชริกีน ที่แหล่งน้ำบะดัร
และเพื่อว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา จะทรงให้มีการสู้รบเกิดขึ้น
พระองค์ทรงทำให้บรรดามุสลิมมองเห็นจำนวนของมุชริกีน มีจำนวนเพียงเล็กน้อย
และทำให้ในสายตาพวกมุชริกีนมองเห็นบรรดามุสลิมีนมีจำนวนมาก
พระองค์ ทรงตรัสไว้ว่า :
“และจงรำลึกขณะที่พระองค์ให้พวกเจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากัน
และทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนมากในสายตาของพวกเขา เพื่อที่ อัลลอฮฺ จะทรงให้งานหนึ่งเสร็จสิ้นไป
ซึ่งงานนั้นได้ถูกกระทำไว้แล้ว และยัง อัลลอฮฺนั้น
กิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป” (อัลอันฟาล
8:44)
การสู้รบได้เริ่มขึ้นโดยการ ปะทะเดี่ยวดาบกันของแต่ละฝ่าย
แล้วได้จบสิ้นลงด้วยชัยชนะของฝ่ายมุสลิม ต่อมาการสู้รบอันรุนแรงได้ปะทุขึ้นอย่างหนักหน่วง
ส่งผลให้พวกมุชริกีนได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก พวกเขาถูกสังหารไปถึง 70 ศพ
ในจำนวนนั้นมีระดับหัวหน้ารวมอยู่ด้วย ได้แก่ อบู ญะฮัล และถูกจับเป็นเชลยอีก 70
คน ส่วนบรรดามุสลิมีนได้เสียชีวิตในสงคราม (ชะฮีด) จำนวน 14 ท่านเท่านั้น
ชัยชนะในสงครามบะดัร
ผลของการทำสงครามที่
บะดัรทำให้ชาวกุเรช รวมถึงเผ่าต่างๆที่เป็นมุชริกต้องเสียขวัญ
และเป็นความแปลกประหลาดที่พวกวัตถุนิยมที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้
แต่นี่เป็นสิ่งยืนยันแล้วแก่บรรดาผู้ยอมรับแนวทางแห่งพระเจ้าในจักรวาล
สาเหตุที่ชัดเจนแห่งชัยชนะของบรรดามุสลิมมีดังนี้ ;
1.
ความพอใจในสิ่งตัวเองที่มีอยู่
ท่านเราะซูล ได้ใช้อาวุธที่สำคัญยิ่ง คือการฝึกเหล่าเศาะฮาบะห์ ให้มีความพอใจในสิ่งตัวเองมีในการสู้รบกับฝ่ายศัตรู
ซึ่งจะชดเชยกับกำลังพลของฝ่ายมุสลิมีนที่มีน้อยกว่า และกำลังใจได้ตั้งมั่นอยู่บนความปรารถนาในสิ่งที่
อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่บรรดานักต่อสู้ด้วยกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ จะเห็นตัวอย่างจาก
เรื่องราวของ อุมัยร์ บิน อัลฮัมมาม รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ ในขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ได้ปลุกเร้าให้บรรดาเศาะฮาบะห์ ทำการต่อสู้โดยท่านกล่าวว่า :
“พวกท่านทั้งหลายจงไปสู่สวรรค์กันเถิด
ซึ่งความกว้างใหญ่ไพศาลของสวรรค์นั้นดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนดิน”
อุมัยร์
จึงได้พูดด้วยความปีติยินดีว่า : “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์
สวรรค์ที่มีความกว้างดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนแผ่นดินกระนั้นหรือ”
ท่านตอบว่า :
“ใช่แล้ว”
แล้วเขาได้เอาผลอินทผลัมหลายผลที่ติดตัวอยู่ออกมาและรับประทานไปบ้าง
หลังจากนั้นเขากล่าวว่า “แน่นอน หากฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกินอินทผลัมนี้หมด
มันช่างเป็นชีวิตที่ยาวนานมาก”
แล้วเขาได้ขว้างผลอินทผลัมที่เหลือทิ้งไปและทำการสู้รบจนเขาถูกสังหารในที่สุด
2. การขอดุอาอ์ ท่านเราะซูล
ได้ใช้อาวุธอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผลให้ได้รับชัยชนะ คือ การขอดุอาอ์
ซึ่งในดุอาอ์นั้นจะนำมาซึ่งชัยชนะจากผู้ที่ให้ชัยชนะ
ดังคำตรัสของพระองค์ที่ ว่า :
“หากว่า อัลลอฮฺ
ทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้
และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้ว
ก็ผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์ และแด่ อัลลอฮฺนั้น
ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายเถิด ” (อาละ อิมรอน
3:160)
ท่านนะบี
ได้ลุกขึ้นในยามค่ำคืนของสงคราม ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายกำลังนอนหลับสนิท
ท่านได้เฝ้าขอดุอาอ์ต่อพระเจ้าของท่านด้วยการวิงวอนต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ
และเป็นอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรุ่งเช้า ท่าน อบู บักร รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ
รู้สึกสงสาร เห็นใจท่าน และกล่าวกับท่านนะบี ว่า :
“โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ท่านพอได้แล้วจากการขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน แท้จริง
พระองค์จะทรงประทานให้กับท่านตามที่พระองค์ได้ทรงให้สัญญาไว้”
3.การเข้าร่วมรบของบรรดา มะลาอิกะห์
อีกสาเหตุหนึ่งแห่งชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาได้แก่ อัลลอฮฺซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ทรงส่งบรรดามะลาอิกะห์มาเป็นกำลังเสริม ทำให้หัวใจของพวกเขามั่นคง เหล่า
มะลาอิกะห์ได้สู้รบกับศัตรูพร้อมกับพวกเขาด้วย
ดังมีหลักฐานจากอัลกุรอานได้บ่งชี้ไว้ ตลอดจนมีหะดีษที่ซอเฮี๊ยะที่ระบุว่า บรรดามะลาอิกะห์มาร่วมรบพร้อมกับบรรดาผู้ศรัทธา สงครามบะดัรจบลงตามเป้าหมายที่ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ
ตะอาลา ทรงประสงค์
สงครามคอนดัก
หรือสมรภูมิอะฮฺซาบ غَزْوَةُ الْخَنْدَقَ Battle of the Trench. สนามเพลาะ
24°28'36.7"N 39°35'45.8"E /// 24.476853, 39.596061
สมรภูมินี้เรียกว่า
อัล-อะฮฺซาบ สืบเนื่องจากในปีที่ 5
ของการอพยพได้มีกลุ่มที่เป็นศัตรูของมุสลิมหลากหลายฝ่าย มีทั้งมุชริกีน ชาวยิว
ตลอดจนพวกมุนาฟิกีน ซึ่งได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้
หลังจากที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ได้พยายามขับไล่ชาวยิวออกจากมะดีนะห์ บรรดาหัวหน้าเผ่าชาวยิว จากตระกูล อันนะฎี๊ร
ได้ติดต่อกับชาวกุเรชและเผ่าต่างๆที่เป็นมุชริก และพยายามยุยงให้เผ่าต่างๆ ทำการสู้รบกับมุสลิม
อีกทั้งชาวกุเรช ต้องการที่จะจัดการกับมุสลิมอยู่แล้ว
รวมถึงความต้องการในเส้นทางทางการค้าขาย พวกเขาจึงตกลงที่จะร่วมมือ
พร้อมทั้งทำการเชิญชวนเผ่าต่างๆ ทางเมืองนัจด์ (แถบเมืองริยาดปัจจุบัน)
และติฮามะฮ์ทางตอนใต้ ในขณะเดียวกันพวกยิว ได้สร้างความจูงใจให้ เผ่าฆ็อตฟาน
ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ของเมืองนัจด์
ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งที่จะได้รับจากเมือง คอยบัร
จึงทำให้นักรบที่ร่วมในสมรภูมินี้มีจำนวนถึง 10,000 คน
เมื่อบรรดามุสลิมได้ทราบข่าวการยกทัพมาของเผ่าต่างๆ
ท่านเราะซูล จึงได้ปรึกษากับบรรดาเศาะฮาบะห์ ซัลมาน อัล ฟาริซีย์ เราะฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ
ได้เสนอความคิดเรื่องการขุดสนามเพลาะทางด้านเหนือของเมือง มะดีนะห์เพราะเป็นด้านเดียวที่เปิดโล่งอยู่
ในขณะที่ด้านอื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยกำบังทางธรรมชาติ
ที่มีทั้งบ้านเรือนอย่างหนาแน่น และเรือกสวนต่างๆ ส่วนทางด้านอื่นมีแปลงหินภูเขาไฟ
(หินสีดำไม่ราบเรียบเป็นร่องรอยของภูเขาไฟระเบิด)
ซึ่งเป็นการยากลำบากในการที่จะลุยผ่านเข้ามาได้ ท่านเราะซูล
และบรรดามุสลิมเห็นด้วยกับความคิดของซัลมาน จึงได้เริ่มปฏิบัติการทันที
ท่านเราะซูล ได้จัดมุสลิมีนออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 10 คน ให้ขุดสนามยาว 40 ศอก มุสลิมพบอุปสรรคมากมายในการขุดสนามเพลาะ
ทั้งระยะเวลาที่สั้น อากาศที่หนาวเหน็บ เสบียงที่น้อยนิด พื้นดินที่แข็ง
และเครื่องมือที่ใช้ไม่แข็งแรงพอ แต่เนื่องจากท่านเราะซูล ได้เข้าร่วมขุดกับบรรดาเศาะฮาบะห์
ด้วย จึงส่งผลต่อการทำงานอย่างยิ่งใหญ่
และการขุดคูหรือสนามเพลาะนั้นเป็นเรื่องที่แปลก
ซึ่งชาวอาหรับไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกมุชริกีนได้มาถึง
จึงเกิดความฉงนแล้วยืนอยู่หน้าสนามเพลาะนั้น พวกเขาไม่สามารถเดินผ่านได้ จึงตั้งทัพอยู่ตรงนั้น
ท่านเราะซูลได้จัดวางกำลังมุสลิมจำนวน 3,000 คน
ทำหน้าที่เวรยามเฝ้าดูแลในเมืองมะดีนะห์
เพราะเกรงว่าพวกยิวและพวกมุนาฟิกีนที่อยู่ในมะดีนะห์ จะหักหลัง
ส่วนกองกำลังที่เหลือได้เฝ้าดูสนามเพลาะ และคอยสกัดกั้นศัตรูที่จะบุกข้ามสนามมา
บรรดามุชริกได้พยายามหลายครั้งที่จะข้ามสนามเพลาะให้ได้
แต่กองกำลังของมุสลิมได้สกัดกั้นเอาไว้ และเกิดการต่อสู้ด้วยการยิงธนูกัน
และมุสลิมยังคงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้จนกระทั่งได้เกิดวิกฤตขึ้นแก่มุสลิม
เมื่อมุชริก ทำการเกลี้ยกล่อมยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ ที่อยู่ภายในมะดีนะห์ให้พวกเขาละเมิดสัญญาและประกาศทำสงครามกับมุสลิม
มุสลิมจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ท่านเราะซูล
ได้โน้มน้าวจิตใจของบางเผ่าให้ถอนตัวออกจากการสู้รบ
โดยยอมจ่ายผลผลิตจำนวนหนึ่งให้แก่พวกเขา แต่ชาวอันศ็อรไม่เห็นด้วย จึงพูดขึ้นว่า :
“ขอสาบานต่อ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา ว่า
ในสมัยญาฮิลียะฮ์พวกเรายังไม่เคยยอมอ่อนข้อให้พวกเขาเลย เมื่อความจริงได้มาแล้ว
ทำไมเราถึงจะต้องยอมเขาด้วย”
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อพวกมุนาฟิกีน
ได้ปล่อยข่าวว่ามุสลิมเกิดความหวาดกลัวไปทั่ว พร้อมทั้งเย้ยหยันพวกเขา
บรรดามุสลิมได้ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่
พร้อมทั้งหาต้นเหตุต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เกินกำลังความสามารถของพวกเขา
และแล้วการช่วยเหลือของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา ได้มาถึง ทั้งๆ ที่มุสลิมไม่เคยเผชิญกับกองกำลังที่เข้มแข็งอย่างนี้มาก่อน
แต่ความเสียหายกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ทรงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมุชริก กับพวกยิว โดยที่นะอีม บิน มัสอู๊ด
ได้เข้ารับอิสลาม แต่พวกมุชริกและ ยิว นั้นไม่รู้เรื่อง นะอีม
ซึ่งมีความสนิทสนมกับทั้งสองฝ่าย
เขาจึงทำการยุแหย่ให้เกิดความเคลือบแคลงทั้งสองฝ่ายจนเกิดความแตกแยก
ต่างฝ่ายไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน และ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ทรงส่งกองกำลังของพระองค์ลงมายังเผ่าต่าง ๆ เผ่าต่าง ๆ
จึงรีบเคลื่อนย้ายออกจากมะดีนะห์อย่างเสียขวัญ
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง
บรรดามุสลิมจึงเปลี่ยนจากการที่ต้องปกป้องเมืองมะดีนะห์ เป็นการออกไปสู้รบกับบรรดามุชริกีนและเข้าโจมตีพวกเขาถึงถิ่นของพวกเขา
ท่านเราะซูล ได้พูดถึงผลลัพธ์นี้ว่า ทันใดที่เผ่าต่าง ๆ
ถอยร่นกลับไปโดยที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า :
“ต่อไปนี้เราจะออกไปรบพวกเขา
พวกเขาไม่ต้องมารบพวกเรา พวกเราจะเดินไปหาพวกเขาเอง”
สนธิสัญญา หุดัยบียะฮ اَلْحُدَيْبِيَةُ مُعَاهَدَةُ Treaty of Hudaibiyyah.
เวลาได้ผ่านไปหกปีแล้วที่ชาวมุสลิมทิ้งมักกะห์มาอาศัยอยู่มะดีนะห์
นับตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปทำฮัจญ์ หรือเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเลย
หลังสงครามคูเมืองแล้วพวกมุสลิมต่างก็กระตือรือร้นอยากกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของพวกเขา
ท่านศาสดารู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา จึงได้ประกาศว่าท่านจะไปเยือนมักกะห์
ในปีฮิจเราะฮฺ ศักราชที่ 6 ( ค . ศ .628 ) ท่านก็ได้เดินทางมุ่งไปมักกะห์ เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวน
1,400 คน ขณะนั้นเป็นเดือนซุลเกาะดะฮฺ
ซึ่งเป็นเดือนต้องห้ามการทำสงครามในเดือนนั้น ผู้ใดก่อสงครามถือเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์
แม้กระนั้นพวกกุร็อยช์ที่ไม่ต้องการให้ท่านศาสดามุฮัมมัด เข้ามาในเมืองมักกะห์
และประกอบพิธีฮัจญ์
ดังนั้นเมื่อพวกเขาทราบถึงการมาของชาวมุสลิม
พวกเขาก็รีบมาขวางทางไว้ ท่านศาสดามุฮัมมัด จึงเดินทางอ้อมวกไปทางอื่น และหยุดพักอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าหุดัยบียะฮ์
اَلْحُدَيْبِيَةُ ซึ่งอยู่ห่างจากมักกะห์ ประมาณเก้าไมล์
Figure 1 ภาพแผนที่แสดงทุ่งฮุดัยบิยะห์

ท่านศาสดาและฝ่ายกุร็อยช์ต่างก็ส่งตัวแทนเข้ามาเจรจาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ตกลงกันได้ด้วยสันติ
พวกเขายืนกรานห้ามท่านนบีและสาวก สานุศิษย์ของท่านเข้าเมืองมักกะห์ ในปีนี้
ท่านนบีจึงส่งท่านอุษมานเป็นตัวแทนของท่าน เพื่อเจรจากับ อบู ซุฟยาน
การเจรจาดำเนินไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเกิดข่าวลือแพร่ออกไปว่าท่านอุษมานถูกพวกกุร็อยช์ฆ่าตายเสียแล้ว จึงก่อให้เกิดความวุ่นวายโกลาหน
อย่างใหญ่โตขึ้นในค่ายพักของชาวมุสลิม
ท่านศาสดาได้นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่และขอให้สานุศิษย์ของท่านให้สัตย์ปฏิญาณว่าพวกเขาจะต่อสู้จนคนสุดท้าย
ถ้าหากอุษมานมีอันเป็นไป ทุกคนเต็มใจที่จะแก้แค้นแทนท่านอุษมาน ข้อตกลงนี้เรียกว่า
“ ข้อตกลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ” ซึ่งมีบันทึกใน อัลกุรอาน
ซูเราะฮฺ อัลฟัตห์ Surat Al-Fatĥ (The Victory)
- سورة الفتح อายะฮฺที่ 18
แต่แล้วท่านอุษมานก็กลับมาหลังจากนั้นสองสามวัน
พวกกุร็อยช์รู้สึกกลัวและในที่สุดก็ยอมตกลงกันได้ในบางเรื่องกับฝ่ายมุสลิม
ได้มีการทำสนธิสัญญาขึ้นระหว่างพวกกุร็อยช์ กับท่านศาสดา
สนธิสัญญานี้ร่างขึ้นด้วยความเห็นชอบทั้งสองฝ่าย โดยมี สุฮัยลฺ อิบนุ อัมร์
เป็นผู้ลงนาม ทราบในนามตัวแทนของชาวมักกะห์ สนธิสัญญานี้เรียกว่า “
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺ ” ซึ่งมีข้อตกลงกันดังนี้
·
ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ยุติการสู้รบและการรุกรานด้วยกำลัง
มีกำหนดระยะเวลา 10 ปี
·
ผู้ใดก็ตามที่เป็นชาวกุร็อยซฺหากเดินทางมายังมุหัมมัด
โดยมิได้มีหนังสือรับรองจากหัวหน้าฝ่ายนั้น จะต้องถูกส่งตัวกลับทันที
·
มุสลิมคนใดที่เดินทางมาเรื่องธุรกิจ
เพื่อติดต่อกับชาวมักกะฮฺ จะต้องไม่ถูกกักกันหรือแกล้งยึดตัวไป
·
ประชาชนกลุ่มใดที่ปรารถนาจะเข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ให้พึงถือว่ามีเสรีภาพที่จะทำได้โดยไม่มีเงื่อนไข
·
เมื่อชาวมุสลิมปฏิบัติพิธีฮัจญ์เสร็จสิ้นแล้ว
จะต้องรีบเดินทางกลับทันที
·
ชาวมุสลิมจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาประกอบพิธีฮัจญ์ในนครมักกะฮฺ
และจะพักอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน
และจะต้องไม่มีอาวุธอื่นติดตัวมาด้วยนอกจากมีดสั้นเพียงเล่มเดียว
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับมุสลิม
ข้อความในสนธิสัญญาแสดงความยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด และความดีงามของวิถีทางของท่าน
ถึงแม้ว่าภายนอกสนธิสัญญานี้ จะทำให้ฝ่ายมุสลิมเสียเกียรติบ้างก็ตาม
มันก็ให้ประโยชน์แก่ท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นอย่างมาก
เพราะสนธิสัญญานี้รับรู้สถานภาพทางการเมืองของท่านนบีในฐานะที่มีอำนาจเป็นอิสระ
ยิ่งกว่านั้นเวลาสงบศึกสิบปีนั้นก็เป็นการให้เวลาและโอกาสแก่อิสลามที่ขยายออกไปได้อย่างแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะพวกกุร็อยช์ได้
ทั้งในด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณ
ผลของสนธิสัญญานี้ก็คือมีผู้มาเข้ารับอิสลามมากขึ้นอย่างมากมาย นักรบผู้สามารถอย่าง
คอลิด บิน วะลีด (ภาพหลังได้ฉายาว่า “ซัยฟุลลอฮ์”(ดาบของ อัลลอฮฺ) และอัมร์ บิน อาส
ก็ได้มาเข้ารับอิสลามหลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺนี้
ในเมื่อท่านศาสดารู้สึกมั่นใจในตำแหน่งของท่าน
ท่านก็ได้ส่งทูตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ แถบอารอเบีย เพื่อชักชวนให้เขาเหล่านั้นมารับอิสลาม
และประกาศศาสนาให้แผ่ไพศาลยิ่งขึ้น มีผู้ปกครองจำนวนมากที่เข้ารับอิสลาม แต่จักรพรรดิ
คุสโร แห่งเปอร์เซีย กลับดูหมิ่นทูตที่ท่านศาสดาส่งไป
และทูตอีกคนหนึ่งที่ถูกส่งไปยังเจ้าชายคริสเตียนแห่งดามัสกัสก็ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ก็ถูกกองทัพ ท่านนบีเข้าบดขยี้ในฐานะ ฆ่าสังหารเอกอัครราชทูตของท่านนบีฯ
ที่ไปในนามผู้แสวงศาสนติ
การพิชิตค็อยบัรخيبر สงครามครั้งสุดท้ายกับพวกยิว
25° 41′ 55″ N, 39° 17′ 33″ E
/// 25.698611, 39.2925
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนมุหัรร็อม
ปีที่ 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตำบล ค็อยบัร[[3]]
ทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะห์ ที่มีชื่อว่า ค็อยบัร
ทั้งนี้เพราะว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีป้อมปราการที่แข็งแรงหลายแห่งล้อมรอบหมู่บ้านนี้
ยิวที่อยู่ในตำบลนี้เป็นกลุ่มที่แข็งแรงที่สุด ร่ำรวยที่สุด
และมีอาวุธมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ
ยิวกลุ่มอื่นๆ ในอารอเบีย หัวหน้าพวกเขามีชื่อว่า ซัลลาม อิบนุ มิก ชาม
ท่านนบีได้ยกกองทัพซึ่งประกอบด้วยนักรบฝีมือดีประมาณ 1,600 คน และทหารม้าอีก 100
คน เข้าจูโจมพวกยิวที่ ค็อยบัร อย่าง
กะทันหันโดยที่พวกเขาไม่ทราบล่วงหน้า
Table 1
ค็อยบัร เมืองเก่า และเมืองใหม่
![]()
สร้างบ้านคร่อมเนินเขาหิน
|
![]()
ก่อสร้างด้วยหินและใช้โคลนเป็นซิเมนต์
|
![]()
ก่อสร้างไม่ต้องมีระดับน้ำ
ใช้สายตาเล็งเอา
|
![]()
ตัวเมืองค็อยบัรใหม่
|
สาเหตุและผลของสงคราม
พวกยิวเป็นพวกที่ก่อกวนท่านนบีมาโดยตลอด
และชอบหักหลัง และทรยศ ซ้ำเติมเสมอ ขณะที่ชาวมุสลิมอยู่ในภาวะคับขัน
พวกเขามักละเมิดสัญญาที่ทำต่อกันไว้ และทำตัวเป็นพันธมิตรกับฝ่ายศัตรูของชาวมุสลิม
สิ่งเหล่านี้สร้างความเจ็บปวดแก่ชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยิวที่ถูกเนรเทศออกจากเมืองมะดีนะห์ และมาอาศัยอยู่ที่ ค็อยบัร
พวกเขามีความปรารถนาที่จะแก้แค้นท่านนบีอยู่ตลอดเวลา
พวกเขาได้พยายามทำตัวเป็นศัตรูต่อชาวมุสลิมทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายหนพวกเขาได้
ปล้นสะดม ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของมุสลิมในเขตเมืองมะดีนะห์แล้วหลบหนีไปพร้อมด้วยสัตว์ที่ปล้นไป
เพื่อที่จะลงโทษพวกเขา และสร้างความปลอดภัยทางตอนเหนือของมะดีนะห์ ท่านศาสดามุฮัมมัดจึงได้นำกองทัพซึ่งมีจำนวนพล
1,600 คน และทหารม้าอีก 200 ตัว ไปโจมตีพวกยิวที่ ค็อยบัรโดยไม่ทันรู้ตัว
กองทัพมุสลิมเข้าล้อม ค็อยบัรอย่างเข้มงวด
พวกยิวก็ต่อสู้อย่างจนตรอกป้อมปราการหลายแห่งของ ยิวถูกกองทัพมุสลิมตีแตก
จนในที่สุดพวกยิวหมดหนทางต่อสู้จึงขออภัยต่อท่านนบี และขอร้องให้ทำสัญญาสันติภาพ ระหว่างกันขึ้น
ท่านศาสดาก็รับข้อเสนอของพวกเขาโดยมีเงื่อนไขว่า
อนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่เดิมได้ แต่พวกเขาต้องแบ่งผลผลิตจากการเกษตรในแต่ละปีให้แก่ชาวมุสลิมครึ่งหนึ่งเป็นภาษีรัชชูปการ
เมื่อพวกยิวหมดอำนาจทางการเมืองและยอมจำนนต่อท่านศาสดาหมดแล้ว
ดินแดนทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะห์ ก็มีความปลอดภัย เช่นเดียวกับดินแดนทางใต้ หลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ
มุสลิมมีชีวิตอย่างปลอดภัยในนครมะดีนะห์
มีชีวิตที่รุ่งเรื่อง มีความมั่งคั่ง
ในระยะนี้ชาวมุสลิมไม่ได้คิดถึงสงครามหรือการต่อสู้ใดๆ
นอกจากการส่งทหารไปปราบปรามผู้ที่รุกรานดินแดนและทรัพย์สมบัติของพวกเขาเท่านั้น
แต่ก็เป็นสงครามย่อยๆ ไม่ค่อยสำคัญอะไรมากนัก
สงคราม
มุอ์ตะฮ์
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือน ญะมาดิล เอาวัล
ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตำบล มุอ์ตะฮ์ในเขตประเทศชาม
นับว่าเป็นสงครามแรกที่กองทัพมุสลิมเผชิญหน้ากับกองทัพโรมันตะวันออก (Byzantine
empire) กองทัพมุสลิมมีจำนวนพลประมาณ
3,000 คน สงครามในครั้งนี้ท่านนบีไม่ได้นำทัพไปเอง ท่านได้แต่งตั้งท่านชัยดฺ อิบนุ
ฮะรีษะฮฺ เป็นแม่ทัพ มี ญะอฺฟัร อิบนุ อบี ฎอลิบ เป็นรองแม่ทัพ และมี อับดุลเลาะฮฺ
อิบนุ เราะวาหะฮฺ เป็นแม่ทัพรองจากท่าน ญะอฺฟัร และมีท่านคอลิด อิบนุ วะลีด
ซึ่งเพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ๆ ได้อาสาไปรบในกองทัพด้วย ส่วนกองทัพของไบแซนไทน์รวมแล้วมีจำนวนพลไม่น้อยกว่า
200,000 คน
สาเหตุของสงคราม
ในระหว่างสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ
ท่านศาสดาได้พยายามส่งคณะทูตไปยังเมืองต่างๆ เพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
ในระหว่างนั้นคณะทูตของท่านนบี 5 คนที่ส่งไปยังเผ่า บนู สุลัยม์ ถูกฆ่าตายไป 4 คน
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหนีรอดกลับมายังมะดีนะห์ ได้ ท่านได้ส่งคณะทูตอีก
15 คน ไปยัง ซาต อัตตัลฮฺ ซึ่งอยู่ชานเมืองของประเทศชาม
แต่คณะทูตถูกระดมยิงด้วยธนูจนสิ้นชีวิตหมด ท่านนบีไม่พอใจอย่างมากกับเหตุการณ์นี้
และสาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ความโกรธแค้นที่คนในเผ่า ฆ็อสซานได้จับ และฆ่าคณะทูตผู้ถือสาสน์ของท่านนบีไปยังเจ้าเมืองบุศรออย่างทารุณ
การฆ่าคณะทูตนั้นได้กระทำในนามของ จักรพรรดิฮิราคลิอุส แห่งไบแซนไทน์
การกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายความสงบและกฎระหว่างประเทศ
ท่านนบีจำเป็นจะต้องจัดกองทัพเพื่อที่ลงโทษเจ้าเมืองบุศรอ และเผ่าฆ็อสซานที่ปฏิเสธความรับผิดชอบในเหตุการณ์ฆาตกรรมในครั้งนี้
เมื่อข่าวการยกทัพของฝ่ายมุสลิมได้แพร่หลายยังพวกไบแซนไทน์
เชอราบีล ซึ่งเป็นแม่ทัพของ ฮิราคลิอุสอยู่ในเมืองชามก็ได้รวบรวมกำลังพลเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันได้ขอร้องให้ ฮิราคลิอุส ส่งทหารโรมันและอาหรับเพิ่มอีกประมาณ
100,000 คน ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่ มะอับในเมืองบัลกา น้องชายฮิราคลิอุส คือ ธิโอโดรัส
ก็ยกกำลังพลจากทหารไบแซนไทน์ประมาณ 100,000 คนมาสมทบอีก
ทำให้กองทัพของโรมันมีจำนวนพลไม่น้อยกว่าสองแสนคน
ฝ่ายกองทัพมุสลิมซึ่งขณะนั้นตั้งทัพอยู่ที่มะอาน
เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะข้าศึกมีกำลังจำนวนหลายสิบเท่าตัว
ซึ่งมองไม่เห็นชัยชนะเลย แต่ด้วยความศรัทธาที่เข้มแข็ง และมั่นใจในพลังศรัทธา
พวกเขาจึงเดินทัพต่อไปยังบัลกา และมุ่งสู่ตำบลมุอ์ตะฮ์ ซึ่งกองทัพ ไบแซนไทน์ตั้งค่ายอยู่ที่นั้นอยู่แล้ว
สองกองทัพจึงเผชิญหน้ากัน
ฝ่ายมุสลิมถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบในจำนวนพลแต่ก็เข้าตีข้าศึกอย่างไม่รั้งรอ
การรบดำเนินไปอย่างดุเดือด ทารุณและโหดเหี้ยมที่สุด ฝ่ายมุสลิมได้จู่โจมลึกเข้าไป และถลำตัวอยู่ในวงล้อมของข้าศึก
จนถูกข้าศึกบีบกระชับได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ท่านชัยดฺ อิบนุ ฮะรีษะฮฺ เป็นแม่ทัพฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตในขณะที่ทำการรบ
ท่าน ญะอฺฟัร ซึ่งเป็นรองแม่ทัพได้เข้าทำหน้าที่แทนและได้เสียชีวิตอีกเช่นกัน
แม่ทัพรองจากท่าน ญะอฺฟัร คือ อับดุลลอฮฺ ก็รับช่วงต่อแต่ก็เสียชีวิตอีก
นายทหารชั้นนำหลายคนเสียชีวิตในสนามรบ ในขณะที่ฝ่ายกองทัพมุสลิมกำลังขาดผู้นำอยู่นั้น
เหล่าทหารมุสลิมต่างก็ขอร้องให้ขุนพล คอลิด อิบนุ วาลีด รับหน้าที่เป็นแม่ทัพต่อ
เพราะทุกคนทราบดีว่าในสมัยก่อนอิสลามนั้น คอลิด เป็นขุนพลที่เชี่ยวชาญในการรบมาก
ท่านคอลิด ก็ยอมรับตำแหน่งนั้นทั้งๆ ที่กองกำลังฝ่ายมุสลิมอยู่ภาวะที่ระส่ำระสายอย่างมาก
เขาได้พยายามรวบรวมพลที่เหลืออยู่และตั้งตัวใหม่
เขาได้สั่งให้กองทัพมุสลิมทำการบแบบประปรายเพื่อถ่วงเวลาในการใช้อุบายที่จะนำทหารฝ่าวงล้อมของข้าศึกให้ได้
จนในที่สุดท่านก็ทำได้สำเร็จ
สามารถควบคุมกำลังทั้งหมดกลับคืนสู่มะดีนะห์ได้
ผลของการสงคราม
สงครามในครั้งนี้ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมต้องสูญเสียแม่ทัพและเหล่าทหารหาญหลายคนด้วยกัน
แต่ก็ไดสร้างผลในทางบวกแก่ศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก
ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเหล่าทหารมุสลิมสร้างความประทับใจแก่แม่ทัพและนายกอง ของพวกไบแซนไทน์บางนายเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งมีแม่ทัพบางนายเปลี่ยนมารับนับถือศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามสามารถเข้าครองใจชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในประเทศชาม ประชาชนเป็นพันๆ
คนจากเผ่าสุลัยมฺ เผ่าเกาะฮฺซะฟาน เผ่าอับสฺ เผ่าซุบยาน และจากเผ่าฟะซาเราะฮฺ
เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเผ่าต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายใต้การปกครองของพวกไบแซนไทน์
จนกล่าวได้ว่าผลของการสงครามมุอ์ตะฮ์นั้น
ทำให้ประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด
การพิชิตนครมักกะห์
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโอกาสให้ชนเผ่าคุซาอะฮฺสามารถประกาศตัวเจริญไมตรีเป็นพันธมิตรกับฝ่ายท่านศาสดามุฮัมมัด
ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พวกกุร็อยช์ อย่างเงียบๆ และพยายามหาทางกลั่นแกล้งพวกเขา (คุซาอะฮฺ)
ตลอดเวลา ในคืนวันหนึ่ง ปลายปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช พวกกุร็อยช์ร่วมกับชนเผ่า
บนูบักร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพวกเขาได้เข้าจู่โจมที่พักของเผ่าคุซาอะฮฺ
ที่ตำบลวาดิร และได้สังหารคน เหล่านั้นตายไปหลายคน ผู้แทนสี่สิบคนจากเผ่าคุซาอะฮฺ
จึงเข้าพบท่านศาสดาและแจ้งข่าวให้ท่านทราบพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากท่าน
ท่านศาสดาจึงได้ส่งทูตสันติไปเจรจากับฝ่ายกุร็อยช์โดยมีข้อเสนอดังนี้
•
พวกกุร็อยซฺและเผ่าบักร์จะต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่เผ่าคุซาอะฮฺตามสมควร
•
พวกกุร็อยซฺต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับชนเผ่า บนูบักร์ หรือ
•
ประกาศว่าสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโมฆะ
พวกกุร็อยช์ เลือกข้อเสนอที่ 3 คือ
ยกเลิกสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ ถึงแม้ว่าต่อมาพวกเขาได้สำนึกผิด
กระทำไปโดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจเกิดผลร้ายต่อพวกเขาในภายหน้า
พวกเขาได้ส่งท่าน อบู ซุฟยาน
มาเจรจาต่อรองกับท่านศาสดาเพื่อให้สนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺมีผลใช้บังคับต่อ
แต่ก็ถูกท่านศาสดาปฏิเสธ หลังจาก อบู ซุฟยานเดินทางกลับยังนครมักกะห์อย่างผิดหวังแล้ว
ท่านนบีได้บอกให้ชาวมุสลิมทั้งหลายเตรียมตัวเดินทางไปยึดนครมักกะห์เพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายกุร็อยช์ฐานละเมิดสัญญา
ในเดือนเราะมะฎอน ปีที่ 8
แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ท่านศาสดาได้เคลื่อนทัพซึ่งมีจำนวนพล 10,000 คน ไปยังนครมักกะห์
เมื่อชาวมักกะห์เห็นกองทัพของฝ่ายมุสลิม ต่างก็ตกใจและเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เพราะว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะต่อสู้และต้านกองกำลังฝ่ายมุสลิมได้
ท่านศาสดาได้ประกาศให้ชาวมักกะห์อยู่ในความสงบ ท่านต้องการพิชิตและเข้าสู่นครมักกะห์แห่งนี้
โดยสันติไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด และขอให้ทุกคนอยู่ในบ้านของตนเอง
หรืออยู่บริเวณลานกะอะบะห์ หรือบริเวณบ้านของ อบู ซุฟยาน
แล้วพวกเขาจะได้รับความปลอดภัยทุกประการ
ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะห์ในครั้งนี้
นำความปลาบปลื้ม ปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิมเป็นอย่างมาก สิบปีที่พวกเขาได้อพยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น
ศาสดามุฮัมมัดได้พำนักอยู่ที่มักกะห์เป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะห์ต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก
เมื่อชาวมักกะห์เข้ารับอิสลาม ความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป
ถึงแม้ว่าท่านศาสดาและบรรดาสาวกของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตาม
แต่เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา
การประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดามุฮัมมัด ตลอดมา และการพิชิตมักกะห์ได้นี้
เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม
การสู่รบที่
หุนัยน์ และ ฏออีฟ
หลังจากพิชิตมักกะห์ได้แล้ว
และประกาศให้การอภัยแก่พวกมักกะห์นั้น สามารถเอาชนะบรรดาชาวมักกะห์เป็นจำนวนมาก
พวกเขาสามารถร่วมชีวิตกับชาวมุสลิมอย่างเท่าเทียมกันเมื่อพวกเขาเข้ารับอิสลาม
อย่างไรก็ตามชาวอาหรับเข้ารับอิสลามมี 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ
ลักษณะแรกนั้นเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ
ลักษณะที่สองเข้ารับอิสลามเพราะเกรงกลัวอำนาจของชาวมุสลิม
บรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่ชานเมืองเมื่อทราบข่าวการยึดเมืองมักกะห์ ของชาวมุสลิม
ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวว่าชะตากรรมเช่นนี้อาจต้องประสบแก่พวกเขาในภายหน้า
ดังนั้นอาหรับเผ่าฮะวาซิน และเผ่า ษะกีฟได้ร่วมตัวกันเพื่อที่จะต่อต้านฝ่ายมุสลิม
พวกเขาประกาศเป็นศัตรูกับฝ่ายมุสลิมอย่างเปิดเผย หัวหน้าของพวกเขาชื่อว่า มาลิก
อิบนุ เอาฟ์ ได้รวบรวมกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิม
เมื่อท่านนบีทราบข่าวถึงการเคลื่อนไหวของเผ่าฮะวาซิน และบรรดาพันธมิตรของพวกเขา
ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้รีบเร่งเตรียมกำลังที่จะโจมตีข้าศึกโดยสามารถรวบรวมรี้พลได้จำนวน
12,000 คน และมีมุสลิมใหม่จากชาวมักกะห์ ร่วมสมทบอีก 2,000 คน
ท่านนบีได้เคลื่อนทัพมุ่งสู่สถานที่ที่พวกเผ่าฮะวาซิน
และพันธมิตรของพวกเขาตั้งค่ายอยู่ ในระหว่างเดินทัพไปสู่สถานที่พวกเขาอยู่นั้น
ต้องผ่านชัยภูมิที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และต้องผ่านหุบเขาต่างๆ
ชัยภูมิเช่นนี้ทำให้ข้าศึกได้เปรียบเหนือฝ่ายมุสลิมเป็นอย่างมาก
พวกเขาได้ดักโจมตีกองกำลังมุสลิม ทำให้กองทัพมุสลิมเกิดความโกลาหล อลหม่านอย่างฉับพลัน
และแตกกระจัดกระจายกันไป ฝ่ายมุสลิมต้องสูญเสียนักรบเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม
เมื่อบรรดานักรบฝ่ายมุสลิมสามารถตั้งสติได้ พวกเขาได้รวบรวมกำลังใหม่และเข้าโจมตีข้าศึกอย่างไม่คิดชีวิต
กองทัพฝ่ายศัตรู ต้านการจู่โจมของฝ่ายมุสลิมไม่ได้จึงต้องถอยร่นหลบเข้าไปในป้อมปราการ
ในนคร ฎออีฟอย่างรีบเร่ง ป้อมปราการที่นคร ฎออีฟเป็นป้อมที่แข็งแรงและมั่นคงมาก
ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมพยายามโหมโจมตีอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถตีป้อมปราการนั้นให้แตกได้
กองทัพมุสลิมได้ปิดล้อมป้อมเป็นเวลา 20 วัน ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะชนะได้
เพราะว่าในป้อมปราการนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายและมีเสบียงอาหารที่อยู่ได้อีกนาน
ประกอบกับย่างเข้าฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์ ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้ถอยทัพไว้ก่อน โดยที่ยังไม่สามารถบังคับให้ข้าศึกวางอาวุธได้
และท่านประกาศว่าจะทำสงครามกับเผ่าฮะวาซิน
และพันธมิตรของพวกเขาใหม่เมื่อหมดฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์
ในสงครามครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมสามารถยึดทรัพย์สินสงครามได้เป็นจำนวนมาก
กล่าวคือ สามารถยึดอูฐได้ 24,000 ตัว แพะ 40,000 ตัว และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง
พร้อมกับสามารถจับเชลยศึกได้อีก 6,000 กว่าคน หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นาน
ชนเผ่าฮะวาซินได้ส่งตัวแทนเข้าไปพบกับท่านนบี พวกเขาได้ขออภัยต่อการกระทำของพวกเขา
และขอร้องให้ท่านนบีคืนทรัพย์สินสงครามและเชลยศึกของพวกเขาโดยที่พวกเขาพร้อมที่จะรับศาสนาอิสลาม
ท่านนบีก็ตกลงและรับข้อเสนอของพวกเขา ต่อมามาลิก อิบนุ เอาฟ์ หัวหน้าเผ่า ษะกีฟใน ฎออีฟก็เดินทางมาพบกับท่านนบีและเข้ารับศาสนาอิสลาม
พร้อมกับแจ้งว่าชาว ฎออีฟยินดีที่จะรับศาสนาอิสลาม
การแบ่งทรัพย์สงคราม
ฏออีฟ ที่ทุ่ง ญิอ์รอนะห์ (มิก็อต ญิอ์รอนะห์)
ห่างจากมักกะห์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 20กิโลเมตร
ท่านนบีแบ่งทรัพย์ให้ชาวมักกะห์มากกว่า และให้คืนชาวฏออีฟก็มากอีก
เหลือเพียงน้อยนิดให้ชาวอันศ็อรมะดินะห์ ชาวอันศ็อรเกิดความน้อยใจก็เปรยออกมาว่า
“เราร่วมกันรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน
แต่ท่านแบ่งทรัพย์สงครามลำเอียง” ท่านนบีได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสะทกสะท้านใจ
แต่ท่านก็อธิบายแก่ชาวอันศ็อรว่า
“ไม่ดีหรือที่พวกมักกะห์ได้ทรัพย์สินไป
แต่ชาวอันศ็อรได้ฉัน ผู้เป็นเราะซูลลุลลอฮ์ (ผู้ถือสาสน์ของ อัลลอฮฺ)
กลับไปอยู่ด้วยทุกวัน” เหล่าอันศ็อรก็ได้คิดและนิ่งอึ้งไป แล้วผู้นำอันศ็อรก็กล่าวว่า
เป็นการดีมากว่าที่มีเราะซูลลุลลอฮ์ อยู่เคียงใกล้ หาสิ่งใดมาทดแทนไม่มีอีกแล้ว
เหล่าชาวอันศ็อร ต่างก็น้ำตาไหลว่าคิดน้อยใจมากเกินไป ต่างก็ขออภัยโทษจาก
อัลลอฮฺกันทันที และขอให้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์อภัยให้

สงคราม
ตะบูก
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนรอญับ ปีที่
9 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ สถานที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่า ตะบูก สาเหตุของสงครามกล่าวคือ จักรพรรดิ ฮีราคลิอุส (Heraclius) แห่งโรมันไม่พอใจกับอิทธิผลของศาสนาอิสลามที่ขยายอย่างรวดเร็วในแหลมอาราเบีย
พวกเขาได้เตรียมที่จะรุกรานเมืองมะดีนะห์ โดยรวบรวมกำลังพล 40,000 กว่าคน
เมื่อข่าวนี้ทราบถึงท่านศาสดา ท่านจึงมีคำสั่งให้เตรียม กำลังพลซึ่งรวบรวมได้
30,000 คน โดยที่ท่านนบีนำทัพไปเองสู่สถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าตะบูก เมื่อจักรพรรดิ
ฮีราคลิอุส ทราบข่าวการนำทัพของท่านนบี ก็รู้สึกตื่นตระหนกและเลิกคิดที่จะบุกมะดีนะห์พร้อมกับถอยทัพกลับไป
หลังจากที่ท่านนบีพักอยู่ที่ตะบูคได้สองสามวันท่านก็ยกทัพกลับมะดีนะห์ อย่างปลอดภัย
ผลของสงครามตะบูค
ชี้ให้เห็นว่ากองทัพอิสลามไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้าและท้าอำนาจกับจักรพรรดิโรมันเลย
เมื่อกลับมาจากตะบูกแล้ว ก็ได้มีผู้แทนจากแคว้นใกล้ ไกลมาแสดงความจงรักภักดีต่อท่านนบีฯ
ชาวอาหรับเผ่าแล้วเผ่าเล่าได้เข้ารับ นับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
![]()
มัสญิด
เมืองตะบูก
|
![]()
มหาวิทยาลัยตะบูก
|
![]()
มหาวิทยาลัยตะบูก
|
![]()
ป้อมปราการเมืองดูบา
ริมทะเลแดง
|
ท่านศาสดาชิ้นพระชนม์ وَفَاتُ
อัลลอฮฺ
ซุบฮานะฮูวะตะอาลา[[4]] ทรงตรัสว่า
“วันนี้เป็นวันที่ฉันได้ทำให้ศาสนาสมบูรณ์สำหรับพวกท่านแล้ว
เป็นวันที่ฉันได้ให้เนียะอฺมัตแก่พวกท่านอย่างครบถ้วนแล้ว
และวันที่ฉันยินดีให้อิสลามเป็นครรลองในการดำเนินชีวิตของพวกท่าน”
มีรายงานจากท่านนบี
ซ็อล ลัลลอฮุ อาลัยฮิ วะ ซัลลัม[[5]] ว่า เมื่อโองการนี้ได้ถูกประทานลงมา ท่านซัยยิดินา อุมัรถึงกับร้องไห้
ซึ่งท่านนบี ได้พูดกับท่านอุมัรว่า “โอ้อุมัร เหตุใดท่านจึงร้องไห้”
ท่านอุมัรกล่าวว่า “ฉันร้องไห้เพราะพวกเราได้รับทราบข้อมูลในเรื่องศาสนาเพิ่มเติม เมื่อศาสนาสมบูรณ์แล้วก็จะไม่มีสิ่งใด ๆ อีกนอกจากจะค่อย ๆ
เสื่อมลง” ท่านนบี ได้บอกกับท่านอุมัรว่า
“ความจริงเป็นอย่างที่ท่านเข้าใจ”
มีรายงานจากท่านนบี อีกว่า
โองการนี้ถูกประทานลงมาเมื่อตอนหลังละหมาดอัสริของวันอารอฟะต์
ซึ่งตรงกับวันศุกร์ในขณะที่ท่านนบี กำลังบำเพ็ญหัจญ์ครั้งสุดท้าย (หัจญ์วะดาอ์)
ในขณะที่โองการนี้ถูกประทานลงมานั้น ท่านนบี วุกูฟอยู่บนหลังอูฐ
(หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาแล้ว ไม่มีโองการใด ๆ
จากอัลกุรอานที่เกี่ยวกับข้อกำหนดใดๆ (ฟัรฎู) ประทานลงมาอีก ท่านกล่าวว่า
“ฉันมิอาจจะประคองตัวเพื่อรับความเข้าใจในความหมายของโองการนี้ได้
จึงนั่งประคองบนหลังอูฐ จนในที่สุดอูฐก็ต้องนอนลงกับพื้น” แล้วญิบรีล อาลัยฮิสลาม
ได้มาหาท่านนบี พร้อมกับบอกว่า “โอ้มุฮัมมัด ท่านจงเรียกเศาะฮาบะห์ของท่านมาชุมนุม
และท่านจงบอกกับพวกเขาว่า ฉัน (ญิบรีล) จะไม่มาพบกับท่านอีกแล้วหลังจากวันนี้”
เมื่อท่านนบี
เดินทางกลับจากมักกะห์ สู่มะดินะห์ ท่านได้เรียกเศาะฮาบะห์ของท่านมาชุมนุมกัน
จากนั้นท่านก็อัญเชิญอัลกุรอานโองการนี้แก่บรรดาเศาะฮาบะห์
แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ญิบรีลได้แจ้งแก่ท่าน ปรากฏว่าบรรดาเศาะฮาบะห์ทั้งหมดต่างมีความ
ปิติยินดีและกล่าวว่า “ศาสนาของเราสมบูรณ์แล้ว” ด้านท่าน อบูบักร รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ[[6]] หลังจากที่ได้ฟังคำของท่านนบีแล้ว
ท่านก็รีบเดินทางกลับบ้านปิดประตูใส่กลอน และอยู่ในนั้นตลอดวันตลอดคืน บรรดาเศาะฮาบะห์ต่างก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของท่าน
อบูบักรจึงได้ไปรวมตัวกันที่บ้านของท่าน
พวกเขาได้ถามท่าน
อบูบักรว่า ท่านนั้นร้องไห้ด้วยสาเหตุใด ในขณะที่ทุกคนกำลัง ปิติยินดีที่ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ได้ประกาศถึงความสมบูรณ์ของอิสลาม ท่าน อบูบักร กล่าวว่า “โอ้บรรดามิตรสหาย
พวกท่านไม่ทราบกันหรือว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกท่านไม่ได้ยินหรือว่า
เมื่อสิ่งใดบรรลุสู่ความสมบูรณ์สูงสุดแล้ว นั่นย่อมหมายถึง หะซัน และ ฮุเซ็น
กำลังจะกำพร้า ( กำพร้าปู่ ) บรรดา ภรรยา นบีกำลังจะเป็นหม้าย” บรรดาเศาะฮาบะห์ได้ฟังเช่นนั้นต่างก็พากันร่ำไห้
และเมื่อผู้คนได้ยินเสียงร่ำไห้นั้น จึงได้ถามท่าน นบี ว่า “โอ้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์
พวกเราไม่ทราบว่าบรรดาเศาะฮาบะห์เหล่านั้นร้องไห้กันเพราะเหตุใด” ท่านนบี ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสี
และรีบเดินไปยังบ้านของท่าน อบูบักร ซึ่งท่านได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองจึงถามว่า
“สาเหตุใดกันที่ทำให้พวกท่านร้องไห้”
ท่านอาลี
รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ กล่าวตอบว่า “ฉันได้ยินท่าน อบูบักร กล่าวว่า ฉัน(อบูบักร)
ได้ยินโองการนี้บ่งบอกว่า ท่านนบีใกล้ที่จะจากเราไปแล้วใช่ไหม” ท่านนบี กล่าวว่า “อบูบักรเข้าใจถูกต้องแล้ว”
และกล่าวอีกว่า “ ใกล้จะถึงเวลาที่ฉันต้องพรากจากพวกท่านไปแล้ว” เมื่อท่าน อบูบักรได้ยินคำกล่าวของท่านนบี
ก็ถึงกับร้องไห้โฮ แล้วร่างของท่านก็ทรุดลงกับพื้น ทำให้ท่านอาลี และบรรดาเศาะฮาบะห์ต่างก็
ร้องไห้กันมากขึ้น และในการยืนยันของท่านนบี
เกี่ยวกับความเข้าใจของท่านอบูบักรในครั้งนี้ ได้ทำให้ภูเขา , มวลมะลาอิกะห์บนฟากฟ้า, เหล่าสรรพสัตว์ทั้งบนบก ในน้ำ
และในอากาศต่างก็ร่ำไห้ หลังจากนั้นท่านนบี ก็ได้สัมผัสมือกับบรรดาเศาะฮาบะห์ทุกคนพร้อมกับบอกอำลา
พลางร้องไห้ และให้คำตักเตือน ท่านนบีมีชีวิตอยู่หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาเพียง
81 วัน
ก่อนที่ท่านนบี
จะเสียชีวิตไม่นานนัก ท่านนบี ได้ขึ้นแสดงธรรมบน มิมบัร ท่านได้แสดงคุตบะห์พร้อมทั้งน้ำตาและหัวใจที่ยำเกรง
ร่างกายของท่านนบี สั่นสะท้าน ท่านได้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ประพฤติดี
และแจ้งข่าวร้ายแก่บรรดาผู้ประพฤติชั่ว มีรายงานจากท่าน อิบนุ อับบาสเล่าว่า
เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ท่านนบี จะสิ้นชีวิต ท่านได้ใช้ให้บิลาลทำการ อะซานเรียกบรรดาเศาะฮาบะห์มาละหมาด
บรรดา มุฮาญิรีน (ผู้ที่อพยพจากมักกะห์มามะดีนะห์) และชาวอันศอรก็ได้มาร่วมละหมาด
2 เราะกะอัต พร้อมกับท่านนบีที่ มัสญิด หลังจากนั้นท่านนบี
ได้ขึ้นบนมิมบัรสรรเสริญอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วแสดงธรรม ซึ่งเป็น คุตบะห์ ที่สุดจะบรรยายด้วยหัวใจ
และด้วยดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา ท่านกล่าวว่า “โอ้บรรดามุสลิมทั้งหลาย
ฉันเคยเป็น นบีของพวกท่าน, เคยเป็นผู้ตักเตือนพวกท่าน,
เคยเป็นผู้เชิญชวนพวกท่านสู่ อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาลา
ด้วยความปรารถนาดีของพระองค์ ฉันเคยเป็นประดุจพี่น้องที่คลานตามกันมากับพวกท่าน,
ฉันเคยเป็นพ่อที่มีแต่ความรักและมีความปรารถนาดีต่อท่านทั้งหลาย
ดังนั้นใครมีสิ่งที่ให้อภัยฉันไม่ได้ ขอได้โปรดเรียกร้องสิทธิของท่านกลับคืน
ก่อนที่ฉันจะถูกพิพากษาในวันกิยามะต์” ซึ่งก็ไม่มีใครทวงสิทธิใด ๆ จนกระทั่งท่านได้พูดถึงเรื่องสิทธิซ้ำถึงสามครั้ง
ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งมีนามว่าอุกาซะฮฺ
บิน มุอฺซิน ได้ออกมายืนต่อหน้าท่านนบี แล้วกล่าวว่า
“หากท่านพูดในเรื่องสิทธิอย่างเมื่อครู่นี้ เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง
ฉันก็จะทวงคืนในวันสงคราม บะดัร อูฐซึ่งเป็นพาหนะที่ฉันได้ขี่อยู่เคียงข้างอูฐซึ่งเป็นพาหนะของท่าน
ฉันได้ลงจากหลังอูฐเพื่อที่จะให้ร่างกายของฉันได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านให้มากที่สุด
ทั้งนี้เพื่อที่ฉันจะได้สัมผัสบนขาอ่อนของท่าน
เผอิญในวันนั้นท่านได้ยกแส้ขึ้นเพื่อตีอูฐให้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น แต่ปรากฏว่า
แส้นั้นได้หวดลงบนหลังของฉัน ขณะนั้นฉันไม่ทราบว่า
ท่านต้องการที่จะตีฉันหรือตีอูฐ”
ท่านนบี
ได้ฟังคำกล่าวของอุกาซะฮฺแล้ว ท่านยังกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือที่ เราะซูลุลลอฮ์จะใช้แส้ตีท่าน
โอ้อุกาซะฮฺ” แล้วท่านนบี ก็สั่งท่านบิลาลว่า “โอ้บิลาล
ท่านจงไปเอาแส้ที่บ้านของฟาติมะห์มาให้ฉัน” บิลาลได้เดินเอามือกุมศีรษะออกไปจาก มัสญิดพร้อมกับกล่าวว่า
“ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กำลังจะถูกแก้แค้นหรือนี่” บิลาลจึงมาเคาะประตูบ้านฟาติมะห์
และแจ้งฟาติมะห์ว่า “โอ้ฟาติมะห์ ฉันมาเอาแส้ของท่านเราะซูลุลลอฮ์
ซึ่งท่านจะเอาแส้ไปให้อุกาซะฮฺตีกลับคืนเพื่อชำระความแค้น” ฟาติมะห์รำพึงว่า
“ใครกันที่มีจิตใจจะแก้แค้นท่านเราะซูลุลลอฮ์” แล้วบิลาลก็นำแส้จากฟาติมะห์ เดินไปในมัสญิด
และให้แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ เมื่อท่านรับแส้แล้วก็ส่งให้แก่อุกาซะฮฺ เมื่อท่าน อบูบักรและท่านอุมัร
รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮุ ได้เห็นเหตุการณ์ ทั้งสองจึงได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “โอ้
อุกาซะฮฺ เราทั้งสองยืนต่อหน้าท่านแล้ว ขอท่านจงตีเราแทนท่านเราะซูลุลลอฮ์เถิด
ท่านอย่าได้ตีท่านเราะซูลุลลอฮ์เลย” ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า
“อบูบักรและอุมัรท่านทั้งสองจงนั่งลง” อัลลอฮฺทรงรู้ดีในเจตนาของท่านทั้งสองแล้ว ท่าน
อาลีก็ยืนขึ้นอีกและ หันไปพูดกับอุกาซะฮฺว่า “ทั้งชีวิตของฉัน ฉันอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์
มาโดยตลอด ขอให้ตีฉันแทนท่านเราะซูลุลลอฮ์เถิด นี่คือหลังและนี่คือท้องของฉัน
จงตีฉันด้วยมือของท่าน” ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า “โอ้อาลี
อัลลอฮฺทรงรู้ดีในเจตนาของท่าน” และท่าน หะซันและ ฮุเซ็นได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“โอ้ อุกาซะฮฺ ท่านก็รู้จักเราดีมิใช่หรือ ว่าเราทั้งสองเป็นหลานของท่านเราะซูลุลลอฮ์”
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้พูดกับหลานทั้งสองว่า “จงนั่งลงโอ้สุดที่รักของฉัน”
และท่านนบี ได้กล่าวว่า “โอ้อุกาซะฮฺ
ท่านจงตีฉันหากฉันได้ตีท่านในวันนั้น”
อุกาซะฮฺ กล่าวว่า “โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์
วันที่ท่านตีฉันนั้น ฉันไม่ได้สวมเสื้อ” และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ก็ถอดเสื้อออก
บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างส่งเสียงร้องไห้
และเมื่ออุกาซะฮฺได้เห็นความขาวของผิวกายท่านนบี อุกาซะฮฺได้ก้มลงจูบ
ที่กลางหลังของท่านนบี พร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นการไถ่ความผิด เพื่อวิญญาณของฉัน
โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะมีใครหรือที่จะใจถึงในการล้างแค้นท่าน
การที่ฉันได้ทำทุกอย่างไปก็เพื่อเรือนร่างของฉันจะได้สัมผัสกับเรือนร่างของท่าน
ทั้งนี้ก็เพื่อพระผู้อภิบาล จะได้ปกป้องฉันให้คลาดแคล้วจากขุมนรก” และทันใดนั้น
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า “พึงทราบโดยทั่วกันเถิดว่า
ใครปรารถนาที่จะเห็นชาวสวรรค์ก็จง มองบุรุษผู้นี้”
ทำให้บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างก็เข้ามากอดจูบระหว่างตาของ อุกาซะฮฺ
และพากันกล่าวว่า สวรรค์เป็นของท่าน ท่านเป็นผู้บรรลุตำแหน่งอันสูงส่ง ตำแหน่งของผู้ที่อยู่กับท่านนบีในสรวงสวรรค์
ท่าน อิบนุ มัสอูด กล่าวว่า
เมื่อใกล้เวลาที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะอำลาจากเราไป
พวกเราได้รวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่านหญิงอาอิชะห์ รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮา ท่านนบี
ได้เหลียวมองดูพวกเราด้วยน้ำตา พร้อมทั้งกล่าวว่า “ขอ อัลลอฮฺทรงประทานความสุขให้แก่พวกท่านทั้งหลาย
ฉันขอเตือนพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์
ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะต้องพรากจากกันแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับคืนสู่ อัลลอฮฺ
สู่สวรรค์อันเป็นสถานที่พำนักอันนิรันดร์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันขอให้ อาลีเป็นผู้อาบน้ำศพของฉัน
ให้ อัลฟัดลุ บิน อับบาส และ อุซามะฮฺ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ
ขอให้กะฝั่นฉันด้วยผ้าของฉันที่มีอยู่หากเป็นความประสงค์ของพวกท่าน
หรือไม่ก็ด้วยผ้าสีขาวจากเยเมน และเมื่อพวกท่านได้อาบน้ำศพของฉันแล้ว
พวกท่านจงวางศพของฉันไว้บนเตียงในบ้านของฉัน
และขอให้พวกท่านปล่อยฉันตามลำพังสักระยะหนึ่ง พึงทราบเถิดว่า อัลลอฮฺคือผู้แรกที่ประทานเราะห์มะห์ให้แก่ศพของฉันถัดไปก็ญิบรีล
พร้อมด้วยมะลิกุลเมาต์ และมวลมะลาอิกะห์ตามลำดับ
จากนั้นให้พวกท่านเข้ามาละหมาดให้ฉันเป็นคณะ ๆ”
เมื่อพวกเขาได้ยินว่า
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กำลังจะจากไป พวกเขาต่างก็ส่งเสียงร้องไห้ พลางรำพึงรำพันว่า
“โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านคือเราะซูลของพวกเรา, ท่านคือดวงประทีปของพวกเรา, ท่านคือศูนย์รวมจิตใจของพวกเรา
เมื่อท่านจากเราไป พวกเราจะพึ่งใคร ท่านนบี กล่าวว่า
“ฉันได้ทิ้งไว้ให้พวกท่านแล้วซึ่งทางที่สว่างไสว
และได้ทิ้งไว้ซึ่งสองสิ่งที่เป็นข้อตักเตือนสำหรับพวกท่าน คือ อัลกุรอาน และซุนนะต์และหากหัวใจของพวกท่านแข็งกระด้าง
หรือดื้อดึง พวกท่านจงทำให้นิ่มนวลด้วยการพิจารณาถึงความตาย”
ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ถูกหญิงนางหนึ่ง วางยาพิษท่าน (ในสายรายงานหะดีษไม่ได้ระบุว่า
นางเป็นใคร) ท่านล้มป่วยในเดือนเศาะฟัร ซึ่งท่านป่วยอยู่เพียง 18 วัน
อาการเริ่มแรกนั้นท่านปวดศีรษะ เมื่อถึงวันจันทร์ในต้นสัปดาห์
อาการป่วยของท่านก็เริ่มหนักขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่บิลาล ทำการ อะซานซุบฮิ
เมื่อ อะซานเสร็จแล้ว บิลาลได้ไปยืนที่ประตูบ้านของท่านเราะซูลุลลอฮ์ พร้อมกับให้สลามว่า
“ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน โอ้เราะซูลุลลอฮ์” ท่านหญิงฟาติมะห์ รอฎิ ยัลลอฮุ อันฮา
กล่าวว่า “ท่านเราะซูลุลลอฮ์กำลังพะวงอยู่กับตัวเอง” บิลาลจึงเดินเข้าไปในมัสญิด
ด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจคำพูดของท่านหญิงฟาติมะห์
เมื่อใกล้อรุณรุ่ง
ซึ่งหมายถึงเวลาซุบฮิจะจากไป บิลาลได้ไปยืนหน้าบ้านของท่านนบี อีกครั้งหนึ่ง
และได้กล่าวสลามเหมือนครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ได้ยินเสียงของบิลาล จึงได้กล่าวว่า “จงเข้ามาเถิดบิลาลเอ๋ย ขณะนี้ฉันกำลังพะวงอยู่กับตัวเอง
อาการป่วยของฉันยิ่งทวีขึ้น โอ้บิลาล ท่านจงบอกให้ อบูบักร นำละหมาดไปก่อน”
บิลาลได้เอามือกุมศีรษะเดินออกจากบ้านของท่านนบี พร้อมกับกล่าวว่า “เราหมดหวัง
โอ้แม่ของฉัน ทำไมแม่ต้องให้ฉันเกิดมาด้วย” เมื่อบิลาลเดินเข้ามาใน มัสญิด อีกครั้งหนึ่ง
ก็ได้กล่าวแก่ อบูบักรว่า “ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้มีคำสั่งให้ท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำละหมาด
ซึ่งในขณะนี้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กำลังพะวงอยู่กับตัวของท่านมาก” ท่าน อบูบักรจึงได้ผินหน้าไปมองที่เมียะหฺรอบของท่านนบี
ท่านมิได้เห็นท่านนบี ยืนทำหน้าที่ของท่านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ท่าน อบูบักรถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น
ไม่สามารถประคองตัวให้ยืนเพื่อทำหน้าที่แทนเราะซูลุลลอฮ์ได้
ท่านร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ทำให้มุสลิมทุกคนที่รอการนำละหมาดจากท่าน
อบูบักรต่างก็ได้ร้องให้ตามไปด้วย ความโกลาหลได้เกิดขึ้น
เสียงร่ำไห้ระคนไปกับเสียงถามไถ่ถึงท่านเราะซูลุลลอฮ์
ท่านเราะซูลุลลอฮ์
ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้มาคอยรอละหมาด จึงได้ถามท่านหญิง ฟาติมะห์ว่า
“นั่นเป็นเสียงร้องไห้จากที่ไหน” นางตอบว่า
“นั่นเป็นเสียงของบรรดาพี่น้องมุสลิมที่รอการละหมาด เพราะวันนี้
พวกเขาไม่มีท่านทำหน้าที่นำการละหมาดให้แก่พวกเขา”
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้เรียกท่าน อาลีและ
อัลฟัดลุ บิน อับบาส ให้เข้ามาใกล้ ๆ
แล้วท่านก็ให้ทั้งสองช่วยพยุงร่างของท่านเข้าไปในมัสญิดเพื่อร่วมละหมาดซุบฮิในวันนั้นซึ่งตรงกับวันจันทร์
หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาด
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ก็หันมายังน้องมุสลิมพร้อมกับกล่าวว่า
“โอ้พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย ขออำลาท่านทั้งหลาย
ตามพระประสงค์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ
ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ วันนี้เป็นวันอาคิเราะต์วันแรกของฉัน
และเป็นวันสุดท้ายแห่งดุนยาของฉัน” แล้วท่านก็ค่อย ๆ พยุงร่างของท่านเดินกลับบ้าน
หลังจากนั้นอัลลอฮฺจึงทรง วะฮี ให้มะลิกุลเมาต์ลงมาพบท่านนบี
โดยจำแลงร่างมาหาผู้เป็นที่รักของท่านนบี และรับสั่งกับมะลาอิกะห์ว่า หากเราะซูลุลลอฮ์อนุญาตให้ท่านเข้าไปในบ้านแล้ว
ก็จงเข้าไป แต่หากเราะซูลุลลอฮ์ไม่อนุญาต ท่านอย่าได้เข้าไป และจงกลับมา แล้วมะลิกุลเมาต์ก็ลงไปโดยจำแลงกายเป็นชายอาหรับชนบท
เมื่อมะลิกุลเมาต์ไปถึง ท่านได้กล่าวสลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ครอบครัวของท่านนบี”
แล้วกล่าวถามว่า “อนุญาตให้ฉันเข้าไปได้หรือไม่” ท่านหญิงฟาติมะห์ ตอบว่า
“โอ้อับดุลลอฮ์ ( คือมะลิกุลเมาต์ ) ท่านเราะซูลุลลอฮ์กำลังป่วยหนัก” มะลิกุลเมาต์
ได้ให้สลามอีกครั้งในสำนวนเดิม ซึ่งในครั้งนี้ เราะซูลุลลอฮ์ได้ถามท่านนหญิงฟาติมะห์ว่าใครมา
นางตอบว่า “ชายชาวชนบทผู้หนึ่งได้มาหาท่าน ซึ่งฉันได้บอกเขาแล้วว่าท่านป่วย
ปรากฏว่าชายผู้นั้นได้เพ่งมองมายังฉันจนเนื้อตัวของฉันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว
อีกทั้งหัวใจเต้นระรัว จนผิวกายของฉันเปลี่ยนสี” ท่านนบี ได้ถามท่านหญิงฟาติมะห์ว่า
“ลูกรู้ไหม ว่าเขาผู้นั้นคือใคร” นางตอบว่า “ลูกไม่ทราบ” ท่านนบี จึงบอกนางว่า
“เขาผู้นั้นคือผู้พิชิตความอร่อย ผู้สยบความอยาก ผู้ทำให้ต้องพลัดพราก ผู้ทำให้ครอบครัวอยู่ในอาการโศกเศร้า”
ท่าหญิงฟาติมะห์ร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางรำพึงรำพันออกมาว่า “โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์
โอ้บิดาของฉัน ท่านกำลังจะจากไปแล้วหรือ วันนี้หรือที่เป็นวันซึ่งจะไม่มีวะฮีประทานมาอีกแล้ว
เป็นที่ท่านจะไม่พูดกับลูกอีกแล้ว เป็นวันที่ลูกจะไม่ได้ยินเสียงสลามจากท่านอีกแล้ว”
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาติมะห์ว่า
“โอ้ลูกรัก ลูกอย่าร้องไห้ ลูกจะเป็นคนแรกจากครอบครัวของเรา ที่จะติดตามฉันไป”
จากนั้นท่านก็อนุญาตให้มะลิกุลเมาต์เข้ามาหา มะลิกุลเมาต์ได้ให้สลามว่า
“ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านเถิด โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์” ท่านนบี
ได้ตอบรับสลามว่า “และท่านก็เช่นเดียวกัน โอ้มะลิกุลเมาต์ (วะ อาลัยกุมมุสลาม ยา
มะลิกุลเมาต์)” แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ก็ได้เอ่ยถามมะลิกุลเมาต์ว่า
“ท่านมาเพื่อเยี่ยม หรือมาเพื่อปลิดวิญญาณของเรา” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า “ทั้งเยี่ยม
และปลิดวิญญาณ หากท่านอนุญาต หากท่านไม่อนุญาตฉันก็จะกลับ” ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ถามมะลิกุลเมาต์ว่า
“ญิบรีลอยู่ที่ไหน” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า
“อยู่บนฟ้าชั้นที่หนึ่ง ซึ่งบรรดา มะลาอิกะฮฺทั้งหลายกำลังทำการปลอบขวัญ
และให้กำลังใจอยู่” สักครู่หนึ่งญิบรีล ก็ได้มานั่งเคียงข้างท่านเราะซูลุลลอฮ์
และท่านเราะซูลได้ถามญิบรีลว่า “โอ้ญิบรีล ท่านรู้ไหมว่า ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น”
ญิบรีลตอบว่า “ฉันรู้ดี โอ้ท่าน”
ท่านจึงได้ให้ญิบรีลบอกท่านถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบางขั้นตอนหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว
ญิบรีล กล่าวว่า “ขณะนี้ประตูฟากฟ้าทุกชั้นเปิดหมดแล้ว มะลาอิกะต์ทั้งหมดเข้ายืนรอรับดวงวิญญาณของท่าน
อีกทั้งประตูสวรรค์ทั้งหมดก็เปิดอยู่ ท่านท่าน กล่าวว่า “อัล ฮัมดุ ลิลลาฮ์”
แล้วจึงถามต่อไป “ประชาชาติของฉันจะอยู่ในสภาพใด หลังจากพวกเขาไม่มีฉันแล้ว
โดยเฉพาะในวันกิยามะฮฺพวกเขาจะเป็นอย่างไร” ญิบรีล กล่าวว่า
“พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ ศาสนทูตท่านใดก็ตามเข้าสวรรค์ก่อนท่าน
และห้ามมิให้ประชาชาติของบรรดาศาสนทูตใดๆ เข้าสวรรค์ก่อนประชาชาติของท่าน” ท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่า
“ขณะนี้ฉันสบายใจแล้ว” ท่านได้หันไปพูดกับมะลิกุลเมาต์ว่า “จงเข้ามาใกล้ ๆ ฉัน” มะลิกุลเมาต์ปฏิบัติตาม
แล้วเริ่มถอดวิญญาณของท่านนบี เมื่อวิญญาณมาอยู่ตรงสะดือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้พูดกับญิบรีลว่า
“ฉันเจ็บเหลือเกิน” เมื่อญิบรีลได้ยินดังนั้น ถึงกับผินหน้าไปทางอื่น ท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวแก่ญิบรีลว่า
“ท่านไม่อยากมองหน้าฉันแล้วหรือ” ญิบรีลตอบว่า “โอ้ที่รักของ
อัลลอฮฺ ใครกันที่จะมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะมองหน้าท่านได้ ในขณะที่ท่านกำลังเจ็บปวดอย่างนี้”
ท่าน อนัส บิน มาลิก กล่าวว่า เมื่อวิญญาณของท่านศาสนทูต เลื่อนมาอยู่ที่อก
ท่านได้กล่าวตักเตือนเรื่องละหมาด และสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านครอบครอง ท่านได้พูดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งสิ้นเสียงของท่าน
ท่านอาลีกล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น ท่านนบี กระดิกริมฝีปากสองครั้ง
ฉันก้มศีรษะลงฟังใกล้ ๆ ฉันได้ยินท่านพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ประชาชาติของฉัน
ประชาชาติของฉัน” ท่านสิ้นชีวิตในวันจันทร์ ที่ 12 เดือน รอบิอุลเอาวัล หากจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนิรันดร์แน่นอนเขาผู้นั้นคือ
ศาสนทูตมุฮัมมัด
มีรายงานว่า ท่านอาลี ได้อุ้มท่านเราะซูลุลลอฮ์
ขึ้นวางบนเตียงเพื่ออาบน้ำและขณะนั้นมีเสียงตะโกนมาจากมุมด้านหนึ่งว่า
“ไม่ต้องอาบน้ำให้มุฮัมมัด เพราะมุฮัมมัดสะอาด” ท่านอาลีจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร
เพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ ใช้ได้ฉันอาบน้ำให้ท่าน”
และทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นอีกมุมหนึ่งว่า “โอ้อาลี จง อาบน้ำให้ท่านนบี เถิด
เสียงตะโกนครั้งแรกเป็นของ อิบลีส มันอิจฉาท่านนบี
มันมีเจตนาที่จะให้ท่านอยู่ในหลุมศพในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ” ท่านอาลีกล่าวว่า “ขอ อัลลอฮฺทรงประทานความดีแก่ท่านที่ได้แจ้งแก่ฉันว่า
เสียงเมื่อครู่นั้นคือเสียงของอิบลีส ครั้งนี้จงแจ้งแก่ฉันเถิดว่าท่านเป็นใคร”
ท่านอาลี ได้รับคำตอบว่า “ฉันคือ คิฎิร ฉันมาร่วมพิธีศพของ มูฮัมมัด” แล้วท่านอาลีได้อาบน้ำให้ท่านนบี
โดยมี อัลฟัดลุ บิน อับบาส และอุซามะฮ์ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ ญิบรีลได้นำเอาอุปกรณ์
กะฝั่น จากสรวงสวรรค์ และได้ทำการกะฝั่น
ฝัง ณ ที่ห้องในบ้านของท่านหญิง อาอิชะห์ ในคืนวันอังคาร ตอนสองยาม
โดยมีท่านหญิงอาอิชะห์ ยืนเคียงข้าง กุบูร พร้อมกล่าวว่า
“โอ้ผู้ที่ไม่สวมใส่ผ้าไหม ผู้ที่ไม่เคยนอนบนที่นอน
โอ้ผู้ที่จากดุนยาทั้งที่ชีวิตไม่เคยกินอาหารอิ่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว
โอ้ผู้ที่เลือกเอาเสื่อแทนเตียงนอน
โอ้ผู้ที่ไม่เคยนอนเต็มตื่นเพราะความกลัวที่มีต่อพระผู้อภิบาล”
เป็นที่ทราบกันดีว่าในอดีตนั้นชนชาติอาหรับเป็นชนชาติที่มีความเสื่อมโทรมทางด้านอารยะธรรมอย่างถึงที่สุด
และใคร่กระหายในสงครามเป็นอย่างมาก จนกระทั่งอิสลามได้เข้ามา โดยการนำของท่านศาสดา
มูฮัมมัด ศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮฺ ท่านได้นำสาส์นจากพระผู้เป็นเจ้ามาสู่มนุษยชาติ
สาส์นที่มิใช่เพียงนิยายปรัมปราอย่างที่บรรดาผู้ปฏิเสธนั้นใส่ไคร้ แต่เป็นสาส์นอันยิ่งใหญ่
สาส์นที่เป็นพจนารถของอัลลอฮฺ อันเป็นสัจธรรมของชีวิต
เป็นสิ่งที่บอกเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และยังได้บอกถึงวิทยาการต่างๆ
อันเป็นที่มาของความรุ่งโรจน์ในอิสลาม
ทำให้ท่านศาสดาสามารถเปลี่ยนแปลงชนชาติอาหรับจากชนชาติที่เคยอยู่ในจุดต่ำสุดของยุคสมัย
มีแต่การกดขี่ ข่มเหง ให้กลายเป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง ความสงบสุข ความร่มเย็น
และสิ่งนี้เอง ที่ทำให้ชาวโลกรับรู้ว่า อิสลามมิได้เป็นเพียงศาสนาจักรเท่านั้น
หากแต่เป็นอาณาจักรด้วย และนั่นจึงถือเป็นการเริ่มต้น อารยะธรรมอิสลาม
อารยะธรรมแห่งสัจธรรม ธรรมในยุคสมัยของท่านศาสดา มุฮัมหมัด ซ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ
วะ ซัลลัม
صَلِي
اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمُ
[1] ซ.ล.ย่อมาจากภาษาอาหรับว่า
ซ็อล ลัลลอฮุ อาลัยฮิ วะ ซัลลัม صَلَّى
اللَّهُ عَلَيْهِ وَ سَلَّمُ = Allah bless
and Peace be upon him.
[3]
http://en.wikipedia.org/wiki/Khaybar
[5] ซ็อล ลัลลอฮุ อาลัยฮิ
วะ ซัลลัม แปลว่าขอการสรรเสริญจาก อัลลอฮฺและความศานติสู่ท่านนบีมุฮัมมัดด้วยเทอญ
[6] รอฎิ
ยัลลอฮุ อันฮุ แปลว่าขอ อัลลอฮฺทรงเอ็นดูท่าน...(ที่เอ่ยนามถึง) ประโยคนี้ใช้กับผู้ชาย
ถ้าเปลี่ยนจาก “อันฮุ” คำสุดท้าย เป็น “อันฮา” จะเป็นการใช้ให้ผู้หญิง
ป้ายกำกับ: นบีมุฮัมมัด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก