อัลกุรอานญุซอ์ที่ 20
ญุซอ์ที่ 20
[27.56] ดังนั้น
คำตอบของหมู่ชนของเขาไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากกล่าวว่า
จงให้ตระกูลของลูฏออกจากหมู่บ้านของพวกท่าน แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้บริสุทธิ์
[27.57]
แล้วเราได้ช่วยเขาและบริวารของเขาให้รอดพ้น เว้นแต่ภรรยาของเขา
เราได้กำหนดให้นางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
[27.58] และเราได้ให้ห่าฝน
ตกลงมาบนพวกเขาดังนั้น ฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนมันชั่วช้าเสียนี่กระไร
[27.59] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ และความศานติจงมีแด่ปวงบ่าวของพระองค์
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงคัดเลือกแล้ว อัลลอฮ์ดีกว่าหรือสิ่งที่พวกเขาตั้งเป็นภาคี
(เจว็ด)
[27.60]
หรือผู้ใดเล่าที่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และทรงหลั่งน้ำจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้าแล้วเราได้ให้สวนต่าง ๆ งอกเงยอย่างสวยงาม
พวกเจ้า
ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ต้นไม้งอกเงยขึ้นมาได้จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์อีกหรือ ? เปล่าดอก! พวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ตั้งภาคี
[27.61]
หรือผู้ใดเล่าที่ทำให้แผ่นดินเป็นที่พำนักและทรงให้มีลำน้ำหลายสายไหลระหว่างมัน
และทรงทำให้ภูเขายึดมั่นสำหรับมัน และทรงทำให้มีที่กั้นระหว่างน่านน้ำทั้งสอง
จะมีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ์อีกหรือ เปล่าดอก ! ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
[27.62] หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์
เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้า
เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์อีกหรือ ? ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ
[27.63] หรือผู้ใดเล่าจะชี้แนะทางแก่พวกเจ้าในความมืดทึบของแผ่นดินและน่านน้ำ
และผู้ใดทรงส่งลมแจ้งข่าวดี ท่ามกลางความเมตตาของพระองค์
จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์อีกหรือ ? อัลลอฮ์ทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
[27.64] หรือผู้ใดเล่าจะเริ่มในการสร้าง
แล้วทรงให้มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผู้ใดทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า
จากฟากฟ้าและแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์อีกหรือ? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) จงนำหลักฐานของพวกท่านมา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[27.65] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮ์
และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ
[27.66]
แต่ว่าความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับปรโลกนั้น ได้ถึงที่สุดแล้วหรือ ? ทั้ง ๆ
ที่พวกเขาอยู่ในการสงสัยในเรื่องของมันยิ่งกว่านั้นพวกเขายังตาบอดต่อเรื่องนั้นอีกด้วย
[27.67] บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวกันว่า
ในเมื่อเราและบรรพบุรุษของเราเป็นดินแล้วจะให้ถูกออกมาอีกอย่างแน่นอนกระนั้นหรือ ?
[27.68] โดยแน่นอน
เราได้ถูกสัญญาในเรื่องนี้มาก่อน ทั้งเราและบรรพบุรุษของเรา
เรื่องนี้มิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นนิทานโกหกสมัยก่อน ๆ
[27.69] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน
แล้วจงดูว่าผลสุดท้ายของผู้กระทำผิดนั้นเป็นอย่างไร
[27.70] และเจ้าอย่าเศร้าโศกต่อพวกเขา
และเจ้าอย่าคับใจ ในสิ่งที่พวกเขาวางแผนอุบาย
[27.71] และพวกเขากล่าวว่า
เมื่อใดเล่าสัญญานี้ (จะมาถึง) หากพวกท่านสัจจริง
[27.72] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
หวังว่าบางอย่างที่พวกท่านรีบเร่ง (ให้มันเกิดขึ้น) นั้น
กำลังตามหลังใกล้พวกท่านเข้ามาแล้ว
[27.73] และแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
แน่นอนพระองค์ทรงเป็นผู้โปรดปรานต่อปวงมนุษย์ แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ขอบคุณ
[27.74] และแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
แน่นอนพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่หัวอกของพวกเขาปกปิดอยู่และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย
[27.75]
และไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน
เว้นแต่ว่ามันอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
[27.76]
แท้จริงอัลกุรอานนี้จะบอกเล่าแก่วงศ์วานของอิสรออีล ส่วนมากซึ่งพวกเขาขัดแย้งกัน
[27.77] และแท้จริงมัน (อัลกุรอาน)
เป็นแนวทางที่ถูกต้องและความเมตตา แก่บรรดาผู้ศรัทธา
[27.78]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้าจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขา ด้วยข้อวินิจฉัย (ที่ยุติธรรม)
ของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้
[27.79] ดังนั้น เจ้าจงมอบหมายต่ออัลลอฮ์
แท้จริง เจ้านั้นอยู่บนสัจธรรมอันชัดแจ้ง
[27.80] แท้จริงเจ้าจะไม่ทำให้คนตายได้ยิน
และจะไม่ทำให้คนหูหนวกได้ยินการเรียกร้องเชิญชวนเมื่อพวกเขาหันหลังกลับ
[27.81]
และเจ้ามิได้เป็นผู้ชี้แนะแนวทางแก่คนตาบอด ให้ออกจากความหลงผิดของพวกเขา
เจ้าจะไม่ทำให้ผู้ใดได้ยินนอกจากผู้ศรัทธาต่อโองการต่าง ๆ ของเรา
โดยที่พวกเขาเป็นผู้นอบน้อม
[27.82] และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา
เราได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า
แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา
[27.83] และ (จงรำลึกถึง)
วันที่เราจะเรียกจากทุก ๆ ชาติ มาชุมนุมกันเป็นหมู่คณะ
จากผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราโดยที่พวกเขาจะถูกจัดเป็นกลุ่ม ๆ
[27.84] จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึง
พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าได้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรากระนั้นหรือ ? โดยที่พวกเจ้ามิได้รอบรู้มันเลยหรือว่าอะไรเล่าที่พวกเจ้ากระทำไป ?
[27.85]
และหลักฐานได้ปรากฏขึ้นแก่พวกเขาเนื่องจากพวกเขาได้อธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้
[27.86] พวกเขามิได้พิจารณาดูหรือว่า
แท้จริงเราได้ให้กลางคืนไว้สำหรับพวกเขาได้พักผ่อน และกลางวันให้เห็นแสงสว่าง แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา
[27.87] และ (จงรำลึกถึง)
วันที่สังข์จะถูกเป่าขึ้น
ดังนั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินจะตื่นตระหนก
เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทั้งหมดได้มาหาพระองค์ในสภาพผู้ถ่อมตน
[27.88] และเจ้าจะเห็นขุนเขาทั้งหลาย
เจ้าจะเกิดว่ามันติดแน่นอยู่กับที่ แต่มันล่องลอยไปเช่นการล่อลอยของเมฆ (นั่นคือ)
การงานของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ทรงทำทุกสิ่งอย่างเรียบร้อย
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[27.89] ผู้ใดนำมาซึ่งความดี
เขาจะได้รับความดีมากกว่านั้น และในวันนั้น
พวกเขาจะเป็นผู้ปลอดภัยจากการตื่นตระหนก
[27.90] และผู้ใดนำมาซึ่งความชั่ว
ใบหน้าของพวกเขาจะถูกโยนกลิ้งลงไปในไฟนรก พวกเจ้าจะไม่ถูกตอบแทน
นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติเอาไว้
[27.91] (จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด)
แท้จริงฉันได้รับบัญชาว่า จงเคารพภักดีพระเจ้า
แห่งเมืองนี้ซึ่งพระองค์ทรงทำให้มันเป็นที่ต้องห้าม
และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิทธิของพระองค์ และฉันได้รับบัญชาให้อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม
[27.92]
และฉันได้รับพระบัญชาให้อ่านอัลกุรอานดังนั้นผู้ใดได้ตามแนวทางที่ถูกต้อง
แท้จริงเขาก็จะดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องเพื่อตัวของเขาเองและผู้ใดหลงผิดก็จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) แท้จริงฉันเป็นเพียงผู้หนึ่งในหมู่ผู้ตักเตือน
[27.93]
และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์จะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ แล้วพวกเจ้าก็จะรู้จักกัน
และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทรงเพิกเฉย ต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
28. ซูเราะห์อัลเกาะศ็อศ
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[28.1] ฏอ ซีน มีม
[28.2]
เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์อันชัดแจ้ง
[28.3] เราจะอ่านแก่เจ้า
บางส่วนแห่งเรื่องราวของมูซาและฟิรเอาน์ด้วยความจริง เพื่อหมู่ชนผู้ศรัทธา
[28.4] แท้จริงฟิรเอาน์หยิ่งผยองในแผ่นดิน
และทำให้ประชาชนนั้นแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ
เขาทำให้ชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขาอ่อนแอโดยฆ่าลูกหลานผู้ชายของพวกเขาและไว้ชีวิตเหล่าสตรีของพวกเขาแท้จริงเขาเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย
[28.5] และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดินและเราจะทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้าและทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดา
[28.6]
และเราได้ให้พวกเขาครอบครองในแผ่นดินและเราจะให้ฟิรเอาน์และฮามานตลอดจนไพร่พลของเขาทั้งสอง
ได้เห็นสิ่งที่พวกเขามีความกลัว
[28.7] และเราได้ดลใจแก่มารดาของมูซาจงให้นมแก่เขา
เมื่อเจ้ากลัวแทนเขาก็จงโยนเขาลงไปในแม่น้ำและเจ้าอย่าได้กลัวและอย่าได้เศร้าโศกแท้จริงเราจะให้เขากลับไปหาเจ้า
และเราจำทำให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาร่อซู้ล
[28.8]
ดังนั้นบริวารของฟิรเอาน์ได้เก็บเขาขึ้นมาเพื่อให้เขากลายเป็นศัตรู
และความเศร้าโศกแก่พวกเขาแท้จริงฟิรเอาน์และฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด
[28.9] และภริยาของฟิรเอาน์กล่าวว่า
(เขาจะเป็นที่) น่าชื่นชมยินดีแก่ดิฉันและแก่ท่านอย่าฆ่าเขาเลย
บางทีเขาจะเป็นประโยชน์แก่เรา หรือเราจะถือเขาเป็นลูก และพวกเขาหารู้สึกตัวไม่
[28.10]
และจิตใจของมารดาของมูซาได้คลายความวิตกกังวลลง
นางเกือบจะเปิดเผยกับเขาหากเรามิได้ทำให้จิตใจของนางมั่นคงเพื่อที่นางจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา
[28.11] และนางได้กล่าวแก่พี่สาวของเขา
จงติดตามไปดูเขา ดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) ได้เห็นเขาแต่ไกล โดยที่พวกเขาไม่รู้
[28.12]
และเราได้ห้ามเขาไว้ก่อนแล้วเรื่องแม่นมดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) กล่าวว่า
ฉันจะชี้แนะชาวบ้านให้แก่พวกท่านเอาไหม? เพื่อคุ้มครองเขาแทนพวกท่าน
และพวกเขาเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างดี
[28.13] ดังนั้น
เราจึงให้เขากลับไปหามารดาของเขา เพื่อที่จะเป็นที่น่าชื่นชมยินดีแก่นางและนางจะไม่เศร้าโศกและเพื่อนางจะได้รู้ว่า
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริงแต่ส่วนมากพวกเขาไม่รู้
[28.14]
และเมื่อเขาบรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้วเราได้ให้ความเข้าใจและความรู้แก่เขา
และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี
[28.15] และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง
ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อนเขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น
คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขาและอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขาดังนั้น
คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา
มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขาเขากล่าวว่า
นี่มันเป็นการกระทำของชัยตอนแท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด
[28.16] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง
ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[28.17] เขาได้กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป
[28.18] เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง เขากลัวว่าจะเกิดภัยแก่เขา
ขณะนั้นผู้ที่เคยขอร้องเขาให้ช่วยเหลือเมื่อวานนี้
กำลังร้องเรียกให้ช่วยเขาอีกมูซาจึงพูดกับเขาว่า
แท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หลงผิดอย่างแน่นอน
[28.19]
เมื่อเขาต้องการที่จะปราบผู้ที่เป็นศัตรูกับเขาทั้งสองเขากล่าวว่าโอ้มูซาเอ๋ย ! ท่านต้องการที่จะฆ่าฉันดั่งที่ท่านได้ฆ่าคนหนึ่งไปแล้วเมื่อวานนี้หรือ ? ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากเป็นผู้ก่อกวนทารุณในแผ่นดิน
และท่านไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ปรองดองให้ดีต่อกัน
[28.20]
และชายคนหนึ่งได้มาจากชานเมืองอย่างรีบเร่ง เขากล่าวว่า โอ้มูซาเอ๋ย ! พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องของท่าน
เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้น จงออกไปเถิดแท้จริงฉันเป็นผู้หวังดีต่อท่าน
[28.21] ดังนั้น
เขาจึงออกจากเมืองนั้นในสภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดภัยเขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากหมู่ผู้อธรรม
[28.22] และเมื่อเขามุ่งหน้าไปยัง (เมือง)
มัดยัน เขากล่าวว่า หวังว่าพระเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะแก่ฉันสู่ทางอันเที่ยงตรง
[28.23] และเมื่อเขามาพบบ่อน้ำแห่ง (เมือง)
มัดยัน เขาได้พบฝูงชนกลุ่มหนึ่งกำลังตักน้ำและนอกจากพวกเขาเหล่านั้น
เขายังได้พบหญิงสองคนคอยห้าม (ฝูงแกะ) เขา (มูซา) กล่าวถามว่า
เรื่องราวของเธอทั้งสองเป็นมาอย่างไร ? นางทั้งสองกล่าวว่า
เราไม่สามารถตักน้ำได้ จนกว่าคนเลี้ยงแกะเล่านั้นจะถอยออกไป
และบิดาของเราก็เป็นคนแก่มากแล้ว
[28.24] ดังนั้น
เขาจึงตักน้ำให้แก่นางทั้งสองแล้วก็กลับไปพักใต้ร่มและกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
แท้จริงข้าพระองค์อยากได้ในความดีที่พระองค์ทรงประทานลงมาให้แก่ข้าพระองค์
[28.25] นางคนหนึ่งในสองคนได้มาหาเขา
เดินมาอย่างขวยเขิน แล้วกล่าวขึ้นว่า คุณพ่อของดิฉันขอเชิญท่านไป
เพื่อจะตอบแทนค่าแรงแก่ท่านที่ได้ช่วยตักน้ำให้เรา ครั้นเมื่อเขา (มูซา) ได้มาหาเขา
(นบีชุไอบฺ) และได้เล่าเรื่องราวแก่เขา เขากล่าวว่า ท่านไม่ต้องกลัว
ท่านได้หนีพ้นจากหมู่ชนผู้อธรรมแล้ว
[28.26] นางคนหนึ่งในสองคนกล่าวว่า
โอ้คุณพ่อจ๋า! จ้างเขาไว้ซิแท้จริงคนดีที่ท่านควรจะจ้างเขาไว้คือ ผู้ที่แข็งแรง
ผู้ที่ซื่อสัตว์
[28.27] เขา (ชุไอบ) กล่าวว่า แท้จริง
ฉันต้องการที่จะให้ท่านสมรสกับลูกสาวคนหนึ่งในสองคนนี้ โดยท่านจะต้องทำงานให้ฉัน 8
ปี และถ้าท่านทำได้ครบ 10 ปี ก็เป็นความดีที่มาจากท่าน
ฉันไม่ต้องการที่จะทำความลำบากให้ท่าน อินชาอัลลอฮ์ ท่านจะพบฉันอยู่ในหมู่คนดี
[28.28] เขา (มูซา) กล่าวว่า นั่นคือ
(ข้อสัญญา) ระหว่างฉันกับท่าน ฉันจะปฏิบัติให้ครบหนึ่งในกำหนดทั้งสอง
จะไม่เกิดโทษแก่ฉัน และอัลลอฮ์ทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เรากล่าวเป็นสัญญา
[28.29] ครั้นเมื่อมูซาปฏิบัติครบกำหนดแล้ว
และได้เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาได้มองเห็นไฟลุกอยู่ข้างภูเขาฏูร เขาจึงพูดกับครอบครัวของเขาว่า
จงอยู่ที่นี่ก่อน แท้จริงฉันเห็นไฟ
[28.30] เมื่อเขาได้มาที่มัน (ไฟ)
ได้มีเสียงเรียกจากริมที่ลุ่มทางด้านขวา ในสถานที่ที่มีความจำเริญ ณ ที่ต้นไม้ ว่า
โอ้มูซาเอ๋ย !
แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก
[28.31] และจงโยนไม้เท้าของเจ้า
เมื่อเขาเห็นมันเคลื่อนไหวคล้ายกับงูเขาก็ผินหลังกลับและไม่กลับมามองอีกโอ้มูซาเอ๋ย !จงเข้าไปใกล้เถิดและอย่าหวาดกลัว แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ปลอดภัย
[28.32]
จงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกเสื้อของเจ้า มันจะออกมาขาว ปราศจากอันตรายใด ๆ
และจงเอามือแนบตัวเจ้าไว้เพื่อให้คลายความตกใจดังนั้นนั่นคือหลักฐานทั้งสองจากพระเจ้าของเจ้าไปยังฟิรเอาน์และบุคคลชั้นหัวหน้าของเขา
แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน
[28.33] เขา (มูซา) กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์ได้ฆ่าคนหนึ่งจากพวกเขา
ดังนั้นข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าพระองค์
[28.34] และพี่ชายของข้าพระองค์คือฮารูน
เขาพูดจาคล่องแคล่วกว่าข้าพระองค์ดังนั้น
ขอได้โปรดส่งเขาเป็นผู้ช่วยร่วมกับข้าพระองค์ด้วยเถิด
เพื่อเขาจะได้ยืนยันให้แก่ข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะปฏิเสธข้าพระองค์
[28.35] พระองค์ตรัสว่า เราจะให้เจ้ามีความเข้มแข็งด้วยพี่ชายของเจ้า
และเราจะให้เจ้าทั้งสองมีอำนาจดังนั้นพวกเขาจะเข้าไม่ถึงเจ้าทั้งสองดอกเพราะสัญญาณต่าง
ๆ ของเรา เจ้าทั้งสองและผู้ตามเจ้าทั้งสองเป็นผู้ชนะ
[28.36] ดังนั้น
เมื่อมูซาได้มาหาพวกเขาพร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายอันชัดแจ้งของเรา พวกเขากล่าวว่า
มันมิใช่อะไรอื่น
นอกจากเวทมนตร์ที่ถูกกุขึ้นและเราไม่เคยได้ยินข้อกล่าวอ้างเช่นนี้ในสมัยบรรพบุรุษของเราแต่กาลก่อนเลย
[28.37] และมูซากล่าวว่า
พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องมาจากพระองค์และผู้ที่บั้นปลายแห่งที่พำนักจะเป็นของเขา
แท้จริงพวกอธรรมนั้นจะไม่ประสบความเจริญ
[28.38] และฟิรเอาน์กล่าวว่า
โอ้ปวงบริพารเอ๋ย! ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉันโอ้ฮามานเอ๋ย ! จงเผาดินให้ฉันด้วยแล้วสร้างโครงสูงระฟ้า
เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซาและแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ
[28.39] และเขา (ฟิรเอาน์)
และไพร่พลของเขาได้หยิ่งผยอง ในแผ่นดินโดยอธรรมและพวกเขาคิดว่า
แท้จริงพวกเขานั้นจะไม่ถูกนำกลับไปยังเรา
[28.40] ดังนั้น
เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขาเราได้โยนพวกเขาลงไปในทะแลแล้วจงพิจารณาเถิด
บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร
[28.41]
และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้าเรียกร้องไปสู่นรกญะฮันนัม และในวันกิยามะฮ์
พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
[28.42]
และเราได้ให้การสาปแช่งตามติดพวกเขาในโลกนี้และในวันกิยามะฮ์พวกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขับไล่ออกจากความเมตตา
[28.43] และโดยแน่นอนเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาหลังจากที่เราได้ทำลายชนชาติในรุ่นก่อน
ๆ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ปวงมนุษย์และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
และเป็นความเมตตา หวังว่าพวกเขาจะได้พิจารณาใคร่ครวญ
[28.44] และเจ้า (มุฮัมมัด)
มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างทิศตะวันตกเมื่อเราได้กำหนดกิจการแก่มูซาและเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเป็นพยาน
[28.45]
และแต่ทว่าเราได้บังเกิดอีกหลายศตวรรษแล้วการมีชีวิตอยู่ก็ยืนยาวแก่พวกเเขาและเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ร่วมกับกลุ่มชนมัดยัน
เพื่อสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขาแต่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้ส่ง (เจ้ามา)
[28.46] และเจ้า (มุฮัมมัด)
มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างของภูเขาฎูร
เมื่อเราได้ร้องเรียกแต่มันเป็นความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้าเพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง
ที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้าหวังว่าพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
[28.47] และหากมิใช่เคราะห์กรรมหนึ่งประสบแก่พวกเขา
เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ก่อนแล้วพวกเขาก็จะพูดขึ้นว่าข้าแต่พระเจ้าของเรา
เหตุใดพระองค์จึงไม่ส่งร่อซู้ลคนหนึ่งมายังพวกเรา
เพื่อจะได้ปฏิบัติตามโองการทั้งกลายของพระองค์ท่านและเราจะได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา
[28.48] ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขาพวกเขากล่าวว่า
ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า ? ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ ? พวกเขากล่าวว่า ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน และว่า
เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น
[28.49] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ดังนั้น
พวกท่านจงนำคัมภีร์สักเล่มหนึ่งจากอัลลอฮ์
ที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งกว่าทั้งสองเพื่อฉันจะได้ปฏิบัติตามมัน
หากพวกท่านเป็นผู้สัตว์จริง
[28.50] หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า
ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น
และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา
โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนผู้อธรรม
[28.51] และโดยแน่นอน เราได้ให้พระดำรัส
(อัลกุรอาน) สืบต่อเนื่องกันแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
[28.52]
บรรดาผู้ที่เราประทานคัมภีร์แก่พวกเขามาก่อนมัน (อัลกุรอาน) พวกเขาศรัทธาในมัน
(อัลกุรอาน)
[28.53] และเมื่อ (อัลกุรอาน)
ได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาในมัน
แท้จริงมันคือสัจธรรมมาจากพระเจ้าของเรา แท้จริงเราเป็นผู้นอบน้อมมาก่อนนี้
[28.54]
ชนเหล่านั้นจะได้รับรางวัลของพวกเขาสองครั้งเนื่องจากเขาได้อดทนและพวกเขาป้องกันความชั่วด้วยความดี
และพวกเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา
[28.55] และเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องไร้สาระ
พวกเขาก็ผินหลังออกห้างไปจากมัน และกล่าวว่า การงานของเราก็จะได้แก่เรา
และการงานของพวกท่านก็จะได้แก่พวกท่าน ศานติแด่พวกท่าน เราจะไม่ขอร่วมกับพวกงมงาย
[28.56] แท้จริง
เจ้าไม่สามารถที่จะชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เจ้ารักได้แต่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[28.57] และพวกเขากล่าวว่า
หากเราปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องร่วมกับท่าน
พวกเราจะถูกฉุดกระชากออกจากแผ่นดินของเรา และเรามิได้ตั้งหลักแหล่งแก่พวกเขาในเขตหวงห้ามอันปลอดภัยดอกหรือ? ซึ่งผลไม้ทุกชนิดถูกนำมายังที่นั้น
เป็นเครื่องยังชีพที่มาจากเรา แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
[28.58]
และกี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายเมืองซึ่งผยองลำพองในความเป็นอยู่ของมันดังนั้นนั่นคือที่พำนักของพวกเขา
จะไม่มีใครพักอยู่หลังจากพวกเขาเว้นแต่เพียงเล็กน้อยและเราเป็นผู้รับทายาท
[28.59]
และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายจนกว่าพระองค์จะทรงแต่งตั้งร่อซู้ลขึ้นในเมืองหลวงนั้น
โดยสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขาและเรามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลาย
เว้นแต่ชาวเมืองนั้นเป็นผู้อธรรม
[28.60] และสิ่งใดที่พวกเจ้ามิได้รับนั้น
มันเป็นเพียงปัจจัยแห่งชีวิตของโลกนี้
และเป็นเครื่องประดับของมันแต่ที่อัลลอฮ์นั้นดีกว่าและจีรังกว่าพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญดอกหรือ ?
[28.61]
ดังนั้นผู้ใดที่เราได้ให้สัญญาแก่เขาซึ่งเป็นสัญญาอันดีงาม เขาก็จะเป็นผู้พบมัน
จะเหมือนกับผู้ที่เราได้ให้ปัจจัยแก่เขาซึ่งปัจจัยแห่งชีวิตของโลกนี้
แล้วในวันกิยามะฮ์เขาจะเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้ากระนั้นหรือ ?
[28.62] และ (จงรำลึกถึง)
วันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า ไหนเล่าเหล่าภาคีของข้าที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง
[28.63]
บรรดาผู้ที่พระดำรัสคู่ควรแก่พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเข้าของเรา
เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่เราทำให้หลงผิด
เราได้ทำให้พวกเขาหลงผิดเช่นเดียวกับที่เราได้หลงผิดเองเราขอปลีกตัวออกแด่พระองค์
และพวกเขามิได้เคารพภักดีต่อเราจริง ๆ ดอก
[28.64] และจะมีเสียงกล่าวว่า
จงเรียกร้องภาคีของพวกเจ้า พวกเขาก็ร้องเรียกพวกมัน แต่พวกมันไม่ขารับพวกเขา
และเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ
พวกเขาก็คาดหวังว่าหากพวกเขาได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[28.65]
และวันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า
พวกเจ้าโต้ตอบแก่บรรดาร่อซู้ลว่าอย่างไร ?
[28.66] ดังนั้น
ข้อแก้ตัวได้ทำให้พวกเขามืดมนในวันนั้น ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ไต่ถามซึ่งกันและกัน
[28.67] ส่วนผู้ลุแก่โทษและศรัทธา
และประกอบความดี บางทีเขาจะอยู่ในหมู่ผู้บรรลุความสำเร็จ
[28.68]
และพระเจ้าของเจ้าทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงเลือกสำหรับพวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการเลือกมหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮ์
และพระองค์ทรงสูงส่งจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
[28.69] และพระเจ้าของเจ้านั้น
ทรงรอบรู้สิ่งที่หัวอกของพวกเขาปกปิดอยู่ และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย
[28.70] และพระองค์คืออัลลอฮ์
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ สำหรับพระองค์เท่านั้นบรรดาการสรรเสริญในโลกหน้าและการชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
และยังพระองค์เท่านั้นพวกเจ้าจะถูกนำกลับ
[28.71] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ
หากอัลลอฮ์ทรงทำให้กลางคือมีอยู่ตลอดไปแก่พวกท่านจนถึงวันกิยามะฮ์ พระเจ้าองค์ใดเล่าอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะนำแสงสว่างมาให้แก่พวกท่าน
พวกท่านไม่รับฟังบ้างหรือ ?
[28.72] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ
หากอัลลอฮ์ทรงทำให้กลางวันมีอยู่ตลอดไปแก่พวกท่านจนถึงวันกิยามะฮ์พระเจ้าองค์ใดเล่าอื่นจากอัลลอฮ์
ที่จะนำกลางคืนมาให้พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อนในเวลานั้น
พวกท่านไม่พิจารณาไตร่ตรองดูบ้างหรือ ?
[28.73] และเพราะความเมตตาของพระองค์
พระองค์ทรงทำให้มีกลางคืนและกลางวันเพื่อพวกเจ้าจะได้พักผ่อนในเวลานั้น
และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาจากความโปรดปรานของพระองค์และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
[28.74] และ (จงรำลึกถึง)
วันที่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาแล้วตรัสว่า ไหนเล่าเหล่าภาคีของข้า
ที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง
[28.75] และเราได้เอาพยานออกมาจากทุก ๆ
ประชาชาติแล้วเราได้กล่าวว่า จงนำหลักฐานของพวกเจ้ามา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า
แท้จริงสัจธรรมนั้นเป็นของอัลลอฮ์และสิ่งที่พวกเขาได้กุขึ้นนั้นได้สูญหายไปจากพวกเขา
[28.76]
แท้จริงกอรูนมาจากพวกพ้องของมูซาเขาได้กดขี่ต่อพวกเขา
และเราได้ประทานทรัพย์สมบัติมากมาบแก่เขา จนกระทั่งลูกกุญแจทั้งหลายของมันนั้น
เมื่อคนแข็งแรงกลุ่มหนึ่งยกแบกด้วยความยากลำบากเมื่อพวกพ้องของเขากล่าวแก่เขาว่าอย่าได้หยิ่งผยอง
เพราะแท้จริงอัลลอฮไม่ทรงโปรดบรรดาผู้หยิ่งผยอง
[28.77]
และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานแก่เจ้าเพื่อปรโลกและอย่าลืมส่วนของเจ้าแห่งโลกนี้และจงทำความดีเสมือนกับที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำความดีแก่เจ้า
และอย่าแสวงหาความเสียหายในแผ่นดินแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงโปรดบรรดาผู้บ่อนทำลาย
[28.78] เขา (กอรูน) กล่าวว่า
ฉันได้รับมันเพราะความรู้ของฉัน ก็เขา (กอรูน) ไม่รู้ดอกหรือว่า แน่นอน
อัลลอฮ์ได้ทรงทำลายผู้ที่มีพลังยิ่งกว่าและมีพรรคพวกมากกว่า
ก่อนหน้าเขาในศตวรรษก่อน ๆ และบรรดาผู้กระทำความผิดจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับความผิดต่าง
ๆ ของพวกเขาดอกหรือ ?
[28.79] ดังนั้น
เขาได้ออกไปหาพวกพ้องของเขาด้วยเครื่องประดับอย่างโอ่งอ่างของเขาบรรดาผู้ปรารถนาชีวิตแห่งโลกนี้กล่าวว่า
โอ้ หากเราไม่มีเช่นที่กอรูนได้ถูกประทานมา
แท้จริงเขาเป็นผู้มีโชควาสนายิ่งใหญ่จริง ๆ
[28.80] และบรรดาผู้ได้รับความรู้กล่าวว่า
ความวิบัติแด่พวกท่าน !
ผลบุญแห่งอัลลอฮ์นั้นดีกว่าแก่ผู้ศรัทธาและกระทำความดีและไม่มีผู้ใดได้รับมันนอกจากบรรดาผู้อดทนเท่านั้น
[28.81] ดังนั้น
เราจึงให้ธรณีสูบเขาและเคหะสถานของเขา
สำหรับเขาไม่มีผู้ใดจะช่วยเหลือเขาได้นอกจากอัลลอฮ์และเขาก็มิใช่เป็นผู้ช่วยเหลือตนเองได้
[28.82]
และบรรดาผู้อยากมีฐานะเยี่ยงเขาเมื่อวานนี้ จะกล่าวในวันพรุ่งนี้ว่า พึงทราบเถิด!
เป็นที่แน่นอนว่าอัลลอฮ์นั้นทรงให้กว้างขวางและทรงให้คับแคบซึ่งเครื่องยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์
หากมิใช่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่เรา แน่นอนพระองค์ก็จะทรงให้ (ธรณี) สูบเราลงไป
พึงทราบเถิด! แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบชัยชนะ
[28.83] นั่นคือที่พำนักแห่งปรโลก
เราได้เตรียมมันไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปรารถนาหยิ่งผยองในแผ่นดิน
และไม่ก่อการเสียหาย และบั้นปลายย่อมเป็นของบรรดาผู้ยำเกรง
[28.84] ผู้ใดนำเอาความดีมา
เขาก็จะได้รับความดียิ่งกว่า และผู้ใดนำความชั่วมา
บรรดาผู้กระทำความชั่วทั้งหลายนั้นจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากที่พวกเขาได้กระทำไว้
[28.85] แท้จริง
พระผู้ทรงประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้า แน่นอน
ย่อมทรงนำเจ้ากลับสู่ถิ่นเดินจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งกว่า
ผู้ใดอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องและผู้ใดอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง
[28.86] และเจ้ามิได้หวังมาก่อนเลยว่า
คัมภีร์นี้จะถูกประทานให้แก่เจ้าเว้นแต่ว่ามันเป็นความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้า
ดังนั้น เจ้าอย่าเป็นผู้สนับสนุนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย
[28.87]
และอย่าให้พวกเขาหันเหเจ้าจากโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์
หลังจากที่มันได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้า
และจงเชิญชวนไปสู่พระเจ้าของเจ้าและอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี
[28.88]
และอย่าวิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักตร์ของพระองค์
29. ซูเราะห์อัลอังกะบูต
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[29.1] อะลิฟ ลาม มีม
[29.2] มนุษย์คิดหรือว่า
พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพียงแต่พวกเขากล่าวว่าเราศรัทธา และพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบ
กระนั้นหรือ ?
[29.3] และโดยแน่นอน
เราได้ทดสอบบรรดาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว
ดังนั้นอัลลอฮ์จะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้สัตว์จริงและจะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้กล่าวเท็จ
[29.4]
หรือบรรดาผู้กระทำความชั่วทั่งหลายคิดว่าพวกเขาจะรอดพ้นไปจากเรา ชั่วช้าแท้ ๆ
สิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน
[29.5] ผู้ใดหวังที่จะพบ อัลลอฮ์
ดังนั้นแท้จริงกำหนดของอัลลอฮ์ย่อมมาถึงแน่นอนและพระองค์เป็นทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[29.6] และผู้ใดต่อสู้ดิ้นรน
แท้จริงเขาย่อมต่อสู้ดิ้นรนเพื่อตัวของเราเองแท้จริงอัลลอฮ์นั้น แน่นอน
ทรงมั่งมีเหนือประชาชาติทั้งหลาย
[29.7] และบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งกลายนั้น
แน่นอนเราจะลบล้างความชั่วทั้งหลายของพวกเขาไปจากพวกเขาและแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาสิ่งที่ดียิ่ง
ซึ่งพวกเขาได้กระทำไว้
[29.8]
และเราได้สั่งเสียงมนุษย์ให้ทำดีต่อบิดามารดาของเขาและถ้าทั้งสองบังคับเจ้าเพื่อให้ตั้งภาคีในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้
เจ้าก็อย่าปฏิบัติตามเขาทั้งสองยังข้าคือการกลับของพวกเจ้า
ดังนั้นข้าจะแจ้งแก่พวกเข้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
[29.9] และบรรดาผู้ศรัทธา และกระทำความดีนั้น
แน่นอนเราจะให้พวกเขาเข้าอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย
[29.10] และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า
เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ครั้นเมื่อเขาถูกทำร้ายในทางของอัลลอฮ์
เขาก็ถือเอาการทดสอบของมนุษย์ประหนึ่งการลงโทษของอัลลอฮ์และเมื่อการช่วยเหลือจากพระเจ้าของเจ้ามาถึง
แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าแท้จริงเราจะร่วมกับพวกท่านและมิใช่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่มีอยู่ในหัวอก
ของประชาชาติทั้งหลายดอกหรือ ?
[29.11] และแน่นอน
อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ศรัทธา
และแน่นอนพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงพวกมุนาฟิกีน
[29.12]
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า
จงปฏิบัติตามแนวทางของเราและเราจะแบกรับความผิดของพวกท่านและพวกเขามิได้แบกรับความผิดของเขาเหล่านั้นแต่อย่างใดแท้จริงพวกเขาเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน
[29.13] และแน่นอน
พวกเขาจะแบกรับความผิดของพวกเขาและความผิดอื่น ๆ ร่วมกับความผิดของพวกเขา
และแน่นอนพวกเขาจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ในสิ่งที่พวกเขาได้กุขึ้น
[29.14] และโดยแน่นอนเราได้ส่งนูห์ไปยังหมู่ชนของเขา
และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)
[29.15]
ดังนั้นเราได้ช่วยเขาและพวกพ้องในเรือให้รอดพ้น
และเราได้ทำให้มันเป็นสัญญาณหนึ่งแก่ประชาชาติ
[29.16] และ (จงรำลึกถึง) อิบรอฮีม
เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า
จงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์และจงยำเกรงต่อพระองค์นั่นแหละเป็นการดีว่าสำหรับพวกท่าน
หากพวกท่านรู้อัลลอฮ์นั้น มันไม่มีอำนาจที่จะให้เครื่องยังชีพแก่พวกท่าน
ดังนั้นจงขอเครื่องยังชีพจากอัลลอฮ์เถิด
[29.17]
แท้จริงพวกท่านบูชารูปปั้นอื่นจากอัลลอฮ์และพวกท่านกุการมุสาขึ้น
แท้จริงบรรดาที่พวกท่านบูชาอื่นจากอัลลอฮ์นั้น
มันไม่มีอำนาจที่จะให้เครื่องยังชีพแก่พวกท่าน
ดังนั้นจงขอเครื่องยังชีพจากอัลลอฮ์เถิดและจงเคารพภักดีพระองค์และจงขอบคุณต่อพระองค์ยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป
[29.18] และหากพวกท่านปฏิเสธ แน่นอนประชาชาติทั้งหลายก่อนพวกท่านก็ได้ปฏิเสธมาแล้วหน้าที่ของร่อซู้ลนั้นมิใช่อะไรอื่น
นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง
[29.19] และพวกเขามิเห็นดอกหรือว่า
อัลลอฮ์ทรงเริ่มการบังเกิดอย่างไรแล้วทรงให้เขากลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกแท้จริงนั่นเป็นการง่ายแก่อัลลอฮ์
[29.20] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
จงท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินแล้วพิจารณาดูว่าพระองค์ทรงให้บังเกิดอย่างไรแล้วอัลลอฮ์ทรงให้ฟื้นคืนชีพในปรโลก
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[29.21]
พระองค์ทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และทรงเมตตาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป
[29.22]
และพวกท่านไม่สามารถจะรอดพ้นไปได้ทั้งในแผ่นดินและในฟากฟ้า และอื่นจากอัลลอฮ์
สำหรับพวกท่านไม่มีผู้คุ้มครอง และไม่มีผู้ช่วยเหลือ
[29.23]
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ และการพบพระองค์ชนเหล่านั้น
พวกเขาท้อแท้ต่อความเมตตาของข้าและชนเหล่านั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด
[29.24] ดังนั้น
คำตอบของหมู่ชนของเขามิใช่อื่นใดนอกจากกล่าวว่า
จงฆ่าเขาหรือเผาเขาเสียแต่อัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเขาให้พ้นจากไฟแท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา
[29.25] และเขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า
แท้จริงพวกท่านได้ยึดเอารูปปั้นต่าง ๆ
อื่นจากอัลลอฮ์เพื่อให้เป็นที่รักใคร่ระหว่างพวกท่านในชีวิตแห่งโลกนี้และในวันกิยามะฮ์บางคนในหมู่พวกท่านก็จะปฏิเสธอีกบางคน
และบางคนในหมู่พวกท่านก็จะแช่งด่าอีกบางคน
[29.26] ดังนั้นลูฏได้ศรัทธาต่อเขา และเขา
(อิบรอฮิม) กล่าวว่า แท้จริงฉันอพยพไปหาพระเจ้าของฉันแท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[29.27] และเราได้ให้อิสหากแก่เขา
และเราได้ให้การเป็นนบี
และคัมภีร์แก่ลูกหลานของเขาและเราได้แก่เขาซึ่งรางวัลของเขาในโลกนี้และแท้จริงเขาในปรโลกจะอยู่ในหมู่คนดี
[29.28] และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ
เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า
แท้จริงพวกท่านได้กระทำการลามกซึ่งไม่มีผู้ใดในหมู่มวลชนกระทำมาก่อนพวกท่านเลย
[29.29]
แท้จริงพวกท่านสมสู่พวกผู้ชายและปล้นบนทางหลวงกระนั้นหรือ ? และกระทำอนาจารในที่ชุมชนของพวกท่านแต่คำตอบของหมู่ชนของเขามิใช่อื่นใดนอกจากกล่าวว่า
จงนำการลงโทษของอัลลอฮ์มาให้แก่พวกเราซิหากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
[29.30] เขา (ลูฏ) กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้อยู่เหนือหมู่ชนผู้บ่อนทำลายด้วยเถิด
[29.31] และครั้นเมื่อฑูตของเรา (มลาอิกะฮ์)
ได้มาหาอิบรอฮีมพร้อมด้วยข่าวดี พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราเป็นผู้ทำลายชาวเมืองนี้
เพราะว่าชาวเมืองของมันเป็นผู้อธรรม
[29.32] เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า
แท้จริงในเมืองนั้นมีลูฏอยู่ด้วย พวกเขากล่าวว่า เรารู้ดีว่ามีใครอยู่ในนั้น
แน่นอนเราจะช่วยเขาและบริวารของเขาให้รอดพ้น
เว้นแต่ภริยาของเขาเพราะนางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
[29.33] และเมื่อฑูตของเรา (มลาอิกะฮ์)
ได้มาหาลูฏเขาเป็นทุกข์เพราะพวกเขา และกลัวที่จะให้ความคุ้มครองไม่ได้ดังนั้น
(มลาอิกะฮ์) จึงกล่าวว่า
อย่ากลัวและเศร้าโศกเสียใจแท้จริงเราเป็นผู้ช่วยเหลือท่านและบริวารของท่านเว้นแต่ภริยาของท่าน
เพราะนางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
[29.34]
แท้จริงเราเป็นผู้นำการลงโทษจากฟากฟ้าสู่ชาวเมืองนี้ เนื่องจากพวกเขาฝ่าฝืน
[29.35] และโดยแน่นอน
เราได้ทิ้งสัญญาณอันชัดแจ้งของเมืองนี้ไว้สำหรับหมู่ชนผู้มีปัญญาพิจารณา
[29.36] และยัง (หมู่ชน) มัดยัน (เราได้ส่ง)
พี่น้องของพวกเขาคือชุไอบ์ เขากล่าวขึ้นว่า โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ! จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
และจงกลัววันสุดท้ายและอย่ามุ่งทำความเสียหายในแผ่นดินโดยเป็นผู้บ่อนทำลาย !
[29.37] แต่พวกเขาได้ปฏิเสธเขา
ดังนั้นแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงได้คร่าพวกเขาแล้วพวกเขาได้ประสบความหายนะนอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขา
[29.38] และอ๊าดและซะมูด
และได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเจ้าแล้ว
จากที่พำนักของพวกเขาและมารชัยตอนได้ทำให้การงานของพวกเขา
เป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขาแล้วมันได้หันเหพวกเขาออกจากแนวทางโดยที่พวกเขาเป็นผู้มีสติปัญญาพิจารณา
[29.39] และ (เราได้ทำลาย) กอรูน
และฟิรเอาน์และฮามาน และโดยแน่นอนมูซาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง
แต่พวกเขาหยิ่งผยองในแผ่นดิน และพวกเขาก็หาได้รอดพ้นไปจากเราไม่
[29.40]
และแต่ละคนเราได้ลงโทษด้วยความผิดของเขา เช่น บางคนในหมู่พวกเขาเราได้ส่งลมพายุร้ายทำลายเขา
และบางคนในหมู่พวกเขา เราได้ลงโทษเขาด้วยเสียงกัมปนาท และบางคนในหมู่พวกเขา
เราได้ให้แผ่นดินสูบเขา และบางคนในหมู่พวกเขา เราได้ให้เขาจมน้ำตาย
และอัลลอฮ์มิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขา แต่พวกเขาต่างหากที่อธรรมต่อพวกเขาเอง
[29.41] อุปมาบรรดาผู้ที่ยึดเอาอื่นจากอัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครองอุปไมยดั่งแมงมุมที่ชักใยทำรังและแท้จริงรังที่บอบบางที่สุดคือรังของแมงมุม
หากพวกเขารู้
[29.42] แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งใด ๆ
ที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากพระองค์และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[29.43] และเหล่านี้คืออุปมาทั้งหลายที่เราได้เปรียบเทียบมัน
สำหรับปวงมนุษย์แต่ไม่มีผู้ใดตระหนักมันหรอก นอกจากผู้มีความรู้
[29.44]
อัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริงที่แน่นอนแท้จริงในการนี้แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่บรรดาผู้ศรัทธา
[29.45]
เจ้าจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากคัมภีร์และจงดำรงการละหมาด (เพราะ)
แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามกและความชั่วและการรำลึกถึงอัลลอฮ์นั้นยิ่งใหญ่มาก
และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 20]
ป้ายกำกับ: ญุซอ์ที่ 20, อัมมัน เคาะลักเกาะ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก