อัลกุรอานญุซอ์ที่ 16
ญุซอ์ที่ 16
[18.75] เขากล่าวว่า ฉันมิได้บอกหรือว่า
แท้จริงท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกับฉันได้
[18.76] เขา (มูซา) กล่าวว่า
หากฉันถามสิ่งใดจากท่านหลังจากนี้ท่านอย่าคบฉันเป็นเพื่อร่วมทางอีกเลย แน่นอน
ท่านมีข้อแก้ตัวจากฉันพอแล้ว
[18.77] ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางต่อไป
จนกระทั่งเมื่อทั้งสองพบชาวเมืองหนึ่งทั้งสองได้ขออาหารจากชาวเมืองนั้น
แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะต้อนรับเขาทั้งสองต่อมาเขาทั้งสองได้พบกำแพงแห่งหนึ่งกำลังจะพังลงมาแล้วเขาก็ทำให้มันตรงเขา
(มูซา) กล่าวว่า ถ้าท่านประสงค์ แน่นอนท่านจะเอาค่าแรงตอบแทนสำหรับมันได้
[18.78] เขากล่าว่า
นี่คือการแยกกันระหว่างฉันกับท่านฉันจะบอกท่านถึงความหมายที่ท่านไม่สามารถมีความอดทนในสิ่งนั้น
ๆ ได้
[18.79] ส่วนหนึ่งของเรือเดินทะเลนั้น
มันเป็นของพวกผู้ขัดสนทำงานอยู่ในทะเล ฉันตั้งใจจะทำให้มันมีตำหนิ
เพราะเบื้องหลังพวกเขานั้นมีกษัตริย์องค์หนึ่งคอยยึดเรือดี ๆ ทุกลำโดยใช้อำนาจ
[18.80] และส่วนเรื่องของเด็กนั้นก็คือ
พ่อแม่ของเขาเป็นผู้ศรัทธา เรากลัวว่า
เขาจะเคี่ยวเข็ญให้ทั้งสองตกอยู่ในการละเมิดและปฏิเสธศรัทธา
[18.81] ดังนั้นเราปรารถนา (ฆ่าเขาโดยหวัง)
ว่าพระผู้เป็นเจ้าของทั้งสองจะทรงเปลี่ยนลูกที่ดีกว่าให้แก่ทั้งสอง
มัความบริสุทธิ์กว่าและใกล้ชิดต่อความเมตตา (แก่ทั้งสอง)
[18.82] และส่วนเรื่องของกำแพงนั้น
มันเป็นของเด็กผู้ชายกำพร้าสองคนที่อยู่ในเมือง
และใต้กำแพงนั้นมีขุมทรัพย์ของเขาทั้งสองและพ่อของเด็กทั้งสองก็เป็นคนดี ดังนั้น
พระผู้เป็นเจ้าจองท่านทรงประสงค์ที่จะให้เด็กทั้งสองบรรลุสู่ความเป็นผู้ใหญ่และจะให้เด็กทั้งสองเอาขุมทรัพย์ของทั้งสองออกมาเอง
เป็นความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของท่าน และฉันมิได้ทำสิ่งนั้นตามความพอใจของฉัน
นั่นคือความหมายที่ท่านไม่สามารถมีความอดทนในสิ่งนั้นๆ ได้
[18.83] และพวกเขาถามเจ้าเกี่ยวกับซุลก็อรนัยน์
จงกล่าวเถิด ฉันจะเล่าเรื่องของเขาแก่พวกท่าน
[18.84] แท้จริงเราได้ให้อำนาจแก่เขาในแผ่นดิน
และเราให้เขาทุกสิ่งที่เขาต้องการ
[18.85] ดังนั้น เขาจึงมุ่งไปทางหนึ่ง
(ทางทิศตะวันตก)
[18.86]
จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงดินแดนที่ดวงอาทิตย์ตก เขาพบลงในน้ำขุ่นดำและพบ ณ
ที่นั้นชนหมู่หนึ่ง เรากล่าวว่า (อัลลอฮ์ทรงดลใจเขา) โอ้ ซุลก็อรนัยน์
เจ้าจะลงโทษพวกเขาหรือทำความดีต่อพวกเขา
[18.87] เขากล่าวว่า
ส่วนผู้ที่อธรรมนั้นเราจะลงโทษเขา แล้วเขาจะถูกกลับไปยังพระผู้เป็นเจ้าของเขา
ดังนั้นพระองค์จะทรงลงโทษเขาซึ่งการลงโทษอย่างรุนแรง
[18.88] และส่วนผู้ศรัทธาและประกอบความดีนั้น
สำหรับเขาคือการตอบแทนที่ดี และเราจะพูดกับเขาในกิจการงานของเราอย่างง่ายๆ
[18.89] แล้วเขาได้มุ่งไปอีกทางหนึ่ง
(ทางตะวันออก)
[18.90]
จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงดินแดนที่ตะวันขึ้นเขาพบมันขึ้นเหนือกลุ่มชนหนึ่ง
เรามิได้ทำที่กำบังแดดให้แก่พวกเขา
[18.91] เช่นนั้นแหละ
เราหยั่งรู้ข่าวคราวที่เกี่ยวกับเขา
[18.92] แล้วเขาได้มุ่งไปอีกทางหนึ่ง
(ไปทางเหนือ)
[18.93]
จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงบริเวณหว่างภูผาทั้งสองเขาได้พบชนกลุ่มหนึ่งที่เชิงภูผาทั้งสองนั้นซึ่งพวกเขาเกือบจะไม่เข้าใจคำพูดกันเลย
[18.94] พวกเขากล่าวว่า โอ้ซุลก็อรนัย
แท้จริงยะอ์ญูจและมะอ์ญูจนั้นเป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดินนี้ ดังนั้น
เราขอมอบบรรดาณาการแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้สร้างกำแพงกั้นระหว่างพวกเรากับพวกเขา
[18.95] เขากล่าวว่า
สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันได้ให้อำนาจแก่ฉันดียิ่งกว่า
ดังนั้นพวกท่านจงช่วยฉันด้วยกำลัง
ฉันจะสร้างกำแพงแน่นหนากั้นระหว่างพวกท่านกับพวกเขา
[18.96] พวกท่านจงเอาเหล็กท่อนโต ๆ มาให้ฉัน
จนกระทั่งเมื่อเขาทำให้บริเวณภุผาทั้งสองราบเรียบเขาก็กล่าวว่า
จงเป่ามันด้วยเครื่องเป่าลม จนกกระทั่งเมื่อเขาทำให้มันร้อนเป็นไฟ เขากล่าวว่า
ปล่อยให้ฉันเททองแดงหลอมลงไปบนมัน
[18.97] ดังนั้น พวกเขา (ยะอ์ญูจและมะอ์ญูจ)
ไม่สามารถจะข้ามมันได้ และไม่สามารถจะขุดโพรงผ่านมาได้
[18.98] เขากล่าวว่า
นี่คือความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน ดังนั้น เมื่อสัญญาของพระผุ้เป็นเจ้าของฉันมาถึงพระองค์จะทรงทำให้มันพังทลาย
และสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ
[18.99]
และวันนั้นเราได้ปล่อยให้บางส่วนของพวกเขาปะทะกับอีกบางส่วน และสังข์จะถูกเป่าขึ้น
แล้วเราจะรวมพวกเขาทั้งหมด
[18.100] และวันนั้นเราจะนำนรกญะฮันนัม
มาเปิดเผยแก่พวกปฏิเสธศรัทธา
[18.101]
คือบรรดาผู้ที่ดวงตาของพวกเขาถูกปกปิดจากการรำลึกถึงข้า
และพวกเขาไม่สามารถจะได้ยิน
[18.102]
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้คิดแล้วหรือว่าพวกเขาจะยึดเอาปวงบ่าวของข้าอื่นจากข้าเป็นผู้คุ้มครองได้แท้จริงเราได้เตรียมนรกณะฮันนัมไว้เป็นที่พำนัก
สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว
[18.103] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
เราจะแจ้งแก่พวกท่านไหม ถึงบรรดาผู้ที่ขาดทุนยิ่งในการงาน?
[18.104]
คือบรรดาผู้ที่การขวนขวายของพวกเขาสูญสิ้นไป
ในการมีชีวิตในโลกนี้และพวกเขาคิดว่าแท้จริงพวกเขาปฏิบัติความดีแล้ว
[18.105] เขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
และการพบปะกับพระองค์ ดังนั้นการงานของพวกเขาจึงไร้ผล
และในวันกิยามะฮ์เราจะไม่ให้มันมีค่าแก่พวกเขาเลย
[18.106]
นั่นแหละการตอบแทนของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธศรัทธา
และพวกเขายึดเอาโองการทั้งหลายของข้า และบรรดาร่อซู้ลของข้า เป็นที่ล้อเล่น
[18.107] แท้จริง
บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีสำหรับพวกเขานั้นคือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส
เป็นที่พำนัก
[18.108] พวกเขาพำนักอย่างถาวรอยู่ในนั้น
พวกเขาไม่ประสงค์จะเปลี่ยนที่จากมัน
[18.109] จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หากว่าทะเลเป็นน้ำหมึกสำหรับบันทึกพจนารถของพระผู้เป็นเจ้าของฉัน แน่นอน
ทะเลจะเหือดแห้งก่อนที่คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าของฉันหมดสิ้นไป
และแม้ว่าเราจะนำมันเยี่ยงนั้นมาเป็นน้ำหมึกอีกก็ตาม
[18.110]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริง ฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่าน
มีวะฮีย์แก่ฉันว่าแท้จริง พระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้น
ผู้ใดหวังที่จะพบพระผู้เป็นเจ้าของเขา ก็ให้เขาประกอบการงานที่ดี
และอย่างตั้งผู้ใดเป็นภาคีในการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาเลย
19. ซูเราะห์มัรยัม
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[19.1] กาฟ ฮา ยา อัยน์ ศอด
[19.2] (นี่คือ)
การกล่าวถึงเมตตาธรรมแห่งพระเจ้าของเจ้า ที่มีต่อซะกะรียาบ่าวของพระองค์
[19.3] เมื่อเขาวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา
ด้วยการวิงวอนอย่างค่อย ๆ
[19.4] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงกระดูกของข้าพระองค์อ่อนแล้วและศีรษะก็มีประกายหงอกแล้ว
และมิเคยปรากฏเลยว่าการวิงวอนของข้าพระองค์ต่อพระองค์นั้นไร้ผล
โอ้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
[19.5]
และแท้จริงข้าพระองค์กลัวลูกหลานของข้าพระองค์ ภายหลัง (การตายของ)
ข้าพระองค์และภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วย ดังนั้นขอพระองค์ทรงโปรดประทานทายาที่ดีจากพระองค์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
[19.6] ผู้ซึ่งจะสืบทายาทแทนข้าพระองค์
และสืบทายาทจากตระกูลของยะอ์กูบและขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาเป็นที่โปรดปรานด้วยเถิด
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
[19.7] โอ้ ซะกะรียาเอ๋ย ! แท้จริงเราจะแจ้งข่าวดีแก่เจ้าซึ่งลูกคนหนึ่ง
ชื่อของเขาคือยะห์ยาเรามิเคยตั้งชื่อผู้ใดมาก่อนเลย
[19.8] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมัน
และข้าพระองค์ได้บรรลุสู่ความแก่ชราแล้ว !
[19.9] เขา (มลัก) กล่าวว่า กระนั้นก็ดี
พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้า และแน่นอนข้าได้บังเกิดเจ้ามาก่อน
เมื่อเจ้ายังมิได้เป็นสิ่งใด
[19.10] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้มีสัญญาณ แก่ข้าพระองค์ด้วย
พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้าคืออย่าพูดกับผู้คนเป็นเวลาสามคืน ทั้ง ๆ
ที่เจ้าอยู่ในสภาพที่สมบูณ์
[19.11]
แล้วเขาได้ออกจากแท่นสวดมายังหมู่ชนของเขา
และเขาได้ชี้ใบ้แก่พวกของเขาว่าพวกท่านจงกล่าวสดุดีในยามเช้าและยามเย็น
[19.12] โอ้ ยะห์ยาเอ๋ย ! เจ้าจงยึดมั่นในคัมภีร์ (เตารอฮ์) อย่างมั่นคง และเราได้ประทานความเฉลียวฉลาดให้เขา
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่
[19.13] และความน่าสงสารจากเรา
และความบริสุทธิ์แก่เขาและเขาเป็นผู้ยำเกรง
[19.14]
และเป็นผู้กระทำความดีต่อบิดามารดาของเขา และเขามิได้เป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้ฝ่าฝืน
[19.15] และความศานติจงมีแด่เขา
วันที่เขาถูกคลอด และวันที่เขาตาย และวันที่เขาถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่
[19.16] และจงกล่าวถึง (เรื่องของ)
มัรยัมที่อยู่ในคัมภีร์เมื่อนางได้ปลีกตัวออกจากหมู่ญาติของนาง
ไปยังมุมหนึ่งทางตะวันออก (ของบัยตุลมักดิส)
[19.17]
แล้วนางได้ใช้ม่านกั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (ญิบรีล)
ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์
[19.18] นางกล่าวว่า
แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีให้พ้นจากท่าน
หากท่านเป็นผู้ยำเกรง
[19.19] เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า
แท้จริงฉันเป็นเพียงฑูตแห่งพระเจ้าของเธอ เพื่อฉันจะให้ลูกชายผู้บริสุทธิ์แก่เธอ
[19.20] นางกล่าวว่า ฉันจะมีลูกได้อย่างไรทั้ง
ๆ ที่ไม่มีชายใดมาแตะต้องฉันเลย และฉันก็มิได้เป็นหญิงชั่ว
[19.21] เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า กระนั้นก็เถิด
พระเจ้าของเธอตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้า
และเพื่อเราจะทำให้เขาเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์และเป็นความเมตตาจากเรา
และนั่นเป็นกิจการที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
[19.22] แล้วนางได้ตั้งครรภ์
และนางได้ปลีกตัวออกไปพร้อมกับบุตรในครรภ์ ยังสถานที่ไกลแห่งหนึ่ง
[19.23]
ความเจ็บปวดใกล้คลอดทำให้นางหลบไปที่โคนตัวต้นอินทผาลัมนางได้กล่าวว่า โอ้ ! หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้ และฉันเป็นคนไร้ค่าถูกลืมเสียก็จะดี
[19.24] ดังนั้น เขา (มะลัก)
ได้เรียกนางทางเบื้องล่างต้นอินทผลัมว่า อย่าได้เศร้าเสียใจ แน่นอน
พระเจ้าของเธอทรงจัดลำธารไว้เบื้องล่างเธอแล้ว
[19.25] และจงเขย่าต้นอินทผลัม
ให้มันเอนมาทางตัวเธอ มันจะหล่นลงมาที่ตัวเธอเป็นอินทผลัมที่สุกน่ากิน
[19.26] ฉะนั้น จงกิน จงดื่ม
และจงทำจิตใจให้เบิกบานเถิด หากเธอเห็นมนุษย์คนใดก็จงกล่าวว่า
ฉันได้บนการสงบนิ่งไว้ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีฉันจะไม่พูดกับผู้ใดเลยวันนี้
[19.27]
แล้วนางใดพาเขามายังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามาพวกเขากล่าวว่า โอ้ มัรยัมเอ๋ย ! แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว
[19.28] โอ้ น้องหญิงของฮารูน
พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์
[19.29] นางชี้ไปทางเขา พวกเขากล่าวว่า
เราจะพูดกับผู้ที่อยู่ในเปลที่เป็นเด็กได้อย่างไร?
[19.30] เขา (อีซา) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮ์
พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนบี
[19.31] และพระองค์ทรงให้ฉันได้รับความจำเริญ
ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ ที่ใด
และทรงสั่งเสียให้ฉันทำการละหมาดและจ่ายซะกาตตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่
[19.32]
และทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส
ผู้เลวทรามต่ำช้า
[19.33] และความศานติจงมีแด่ฉัน
วันที่ฉันถูกคลอด และวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่
[19.34] นั่นคืออีซาบุตรของมัรยัม
มันเป็นคำบอกเล่าที่จริง ซึ่งพวกเขายังมีความสงสัยกันอยู่
[19.35] ไม่เป็นการบังควรสำหรับอัลลอฮ์
ที่พระองค์จะทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน ! เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด พระองค์จะตรัสแก่มันว่า จงเป็น
แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา
[19.36]
และแท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้น
พวกท่านจงเคารพภักดีพระองค์เถิด นี่คือทางอันเที่ยงตรง
[19.37] คณะต่าง ๆ
ได้ขัดแย้งระหว่างกันเองดังนั้น ความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
เมื่อมีการชุมนุมแห่งวันอันยิ่งใหญ่เถิด
[19.38]
พวกเขาจะได้ฟังอย่างชัดแจ้งและเห็นอย่างชัดอะไรอย่างนั้น ! วันที่พวกเขาจะมาหาเรา แต่วันนี้บรรดาผู้อธรรมอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง
[19.39]
และเจ้าจงเตือนสำทับพวกเขาถึงวันแห่งความเสียใจเมื่อกิจการนั้นถูกตัดสิน
และพวกเขาอยู่ในหลงลืม และพวกเขาไม่ศรัทธา
[19.40] แท้จริง
เราเป็นผู้ครอบครองมรดกแผ่นดินและที่อยู่บนแผ่นดิน และพวกเขาจะถูกนำกลับมายังเรา
[19.41] และจงกล่าวถึง (เรื่องของ)
อิบรอฮีมที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนบี
[19.42]
และจงรำลึกถึงเมื่อเขากล่าวแก่บิดาของเขาว่า โอ้พ่อจ๋า
ทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น และไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านเลย ?
[19.43] โอ้พ่อจ๋า แท้จริงความรู้ได้มีมายังฉันแล้ว
ซึ่งมิได้มีมายังท่าน ดังนั้น จงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันเถิด
ฉันจะชี้แนะท่านสู่ทางที่ราบรื่น
[19.44] โอ้พ่อจ๋า ! อย่าเคารพบูชาชัยตอนเป็นอันขาด
แท้จริงชัยตอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19.45] โอ้พ่อจ๋า ! แท้จริง ฉันกลัวว่าการลงโทษจากพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะประสบแก่ท่านแล้วท่านก็จะเป็นสหายของชัยตอน
[19.46] เขา (บิดา) กล่าวว่า
เจ้ารังเกียจพระเจ้าทั้งหลายของฉันกระนั้นหรือ โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย ! หากเจ้าไม่หยุดยั้ง (จากการตำหนิ) แน่นอนฉันจะขว้างเจ้า (ด้วยก้อนหิน)
และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป
[19.47] เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า
ขอความศานติจงมีแด่ท่าน ฉันจะขออภัยโทษจากพระเจ้าของฉันให้แก่ท่าน
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ฉันมาก
[19.48]
และฉันจะปลีกตัวออกจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์
และฉันจะวิงวอนขอพระเจ้าของฉันหวังว่าด้วยการวิวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน
จะไม่ทำให้ฉันได้รับความทุกข์
[19.49]
ครั้นเมื่อเขาปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพบุชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว
เราได้ให้แก่เขา อิสหาก และยะอ์กูบ และแต่ละคนเราได้แต่งตั้งให้เป็นนบี
[19.50] และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่พวกเขา
และเราได้ทำให้พวกเขาได้รับการกล่าวขวัญที่ดี (ในหมู่มวลมนุษย์)
[19.51]
และจงกล่าวถึงเรื่องมูซาที่อยู่ในคัมภีร์แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับคัดเลือก
และเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี
[19.52]
และเราได้ร้องเรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาฎูร
และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
[19.53]
และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่เขาของภูเขาฎูร
และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
[19.54]
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิสมาอีลที่อยู่ในคัมภีร์
แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสัญญาและเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี
[19.55] และเขาใช้หมู่ญาติของเขาให้ปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต
และเขาเป็นที่โปรดปราน ณ ที่พระเจ้าของเขา
[19.56]
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนบี
[19.57]
และเราได้เทิดเกียรติเขาซึ่งตำแหน่งอันสูงส่ง
[19.58]
ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานพวกเขาให้เป็นนบีที่มีเชื้อสายจากอาดัม
และจากเชื้อสายผู้ที่เราบรรทุกไว้ในเรือกับนูห์ และจากเชื้อสายของอิบรอฮีม
และอิสรออีลและจากเชื้อสายผู้ที่เราได้ชี้แนะทางและเราได้คัดเลือกไว้
เมื่อบรรดาโองการของพระผู้ทรงกรุณาปรานีถูกอ่านแก่พวกเขา
พวกเขาจะก้มลงสุญูดและร้องให้
[19.59]
ภายหลังจากพวกเขาชนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทิ้งละหมาด
และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ
[19.60] เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธา
และกระทำความดี
ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวนสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด
[19.61] สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร
ซึ่งพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงสัญญาแก่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยความเร้นลับแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นจะมีมาอย่างแน่นอน
[19.62] พวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งไร้สาระในนั้น
นอกจากคำทักทายที่เป็นศานติและสำหรับพวกเขาจะได้รับเครื่องยังชีพของพวกเขาในนั้น
ทั้งในยามเช้าและยามเย็น
[19.63]
นั่นคือสวนสวรรค์ซึ่งเราให้เป็นมรดกแก่ปวงบ่าวของเรา ผู้ที่มีความยำเกรง
[19.64] และเรา (ญิบรีล) มิได้ลงมา
เว้นแต่ด้วยพระบัญชาของพระเจ้าของท่านสำหรับพระองค์นั้น
สิ่งที่อยู่ระหว่างเบื้องหน้าของเราและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรา และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองและพระเจ้าของท่านนั้นมิทรงหลงลืมสิ่งใดเลย
[19.65]
พระเจ้าแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง
ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์
และจงอดทนต่อการเคารพภักดีพระองค์สูเจ้ารู้หรือว่ามีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ ?
[19.66] และมนุษย์ (กาฟิร) กล่าวว่า
เมื่อฉันตายไปแล้ว ฉันจะถูกให้ออกมาในสภาพมีชีวิตจริงหรือ ?
[19.67] มนุษย์ไม่คิดบ้างหรือว่า
แท้จริงเราได้บังเกิดเขามาแต่กาลก่อน โดยที่เขามิได้เป็นสิ่งใดมาก่อนเลย
[19.68]
ดังนั้นด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าแน่นอนเราจะชุมนุมพวกเขาพร้อมด้วยบรรดาชัยตอนแล้วเราจะนำพวกเขาให้มาคุกเข่าอยู่รอบ
ๆ นรก
[19.69] แล้วแน่นอนที่สุดเราจะดึงออกจากทุก ๆ
คณะ ใครในหมู่พวกเขาที่ดื้อรั้นที่สุดต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19.70] แล้วแน่นอนที่สุด
เรารู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่เหมาะสมยิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในนรก
[19.71] และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้า
นอกจากจะเป็นผู้ผ่านเข้าไปในมันมันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วสำหรับพระเจ้าของเจ้า
[19.72]
แล้วเราจะให้บรรดาผู้ยำเกรงรอดพ้นแล้วเราจะปล่อยให้บรรดาผู้อธรรมคุกเข่าอยู่ในนั้น
[19.73]
และเมื่อโองการทั้งกลายอันแจ่มแจ้งของเรา ถูกอ่นขึ้นแก่พวกเขา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า
ฝ่ายใดในสองฝ่ายนี้จะมีฐานะดีกว่า และมีเกียรติทางสังคมมากกว่า ?
[19.74]
และกี่มากน้อยแล้วประชาชาติก่อนพวกเขาเราได้ทำลายพวกเขา โดยที่พวกเขามีสิ่งของ
เครื่องใช้และรูปร่างลักษณะดีกว่า
[19.75] จงกล่าวเถิด ผู้ที่อยู่ในความหลงผิดนั้น
พระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงผ่อนผันให้เขาระยะหนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ว่า
จะเป็นการลงโทษในโลกนี้หรือจะเป็นการลงโทษในปรโลกแล้วพวกเขาก็จะรู้ว่าใครจะมีฐานะชั่วร้ายกว่าและมีกำลังพลน้อยกว่า
[19.76] และอัลลอฮ์จะทรงเพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่ผู้ที่อยู่ในแนวทางนั้นและการงานที่ดีที่ยั่งยืนนั้นดียิ่ง
ณ ที่พระเจ้าของเจ้า ในการตอบแทนรางวัล และดียิ่งในการกลับ (ไปสู่พระองค์)
[19.77] เจ้าเห็นหรือไม่ว่า
ผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา แล้วเขากล่าวอ้างว่า ฉันจะได้รับทรัพย์สมบัติและลูกหลานนั้น
[19.78]
เขาล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับหรือว่าเขาได้รับคำมั่นสัญญา จากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ?
[19.79] เปล่าเลย ! เราจะบันทึกสิ่งที่เขากล่าวและเราจะเพิ่มการลงโทษแก่เขาอีกระยะหนึ่ง
[19.80]
และเราจะรับช่วงจากเขาสิ่งที่เขากล่าวไว้และเขาจะมาหาเราอย่างโดดเดี่ยว
[19.81] และพวกเขาได้ยึดเอารูปปั้นต่าง ๆ
เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ เพื่อที่จะเป็นพลังอำนาจแก่พวกเขา
[19.82] เปล่าเลย ! รูปปั้นเหล่านั้นจะปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา
และพวกมันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
[19.83] เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า
แท้จริงเราได้ปล่อยให้ชัยตอนมีอำนาจเหนือพวกที่ปฏิเสธศรัทธาเพื่อมันจะได้ยุแหย่พวกเขาอย่างจริงจัง
[19.84] ดังนั้น
เจ้าอย่าได้เร่งร้อนต่อพวกเขาแท้จริงเราได้นับวันที่เหลือสำหรับพวกเขาไว้แล้วด้วยการนับที่แน่นอน
[19.85] วันที่เราจะรวมบรรดาผู้ยำเกรง
ให้มาชุมนุมต่อหน้าพระผู้ทรงกรุณาปรานีเป็นกลุ่ม ๆ
[19.86]
และเราจะไล่ต้อนบรรดาผู้มีความผิดไปยังนรก อย่างสัตว์ที่กระหายน้ำเป็นฝูง ๆ
[19.87]
พวกเขาไม่มีอำนาจในการชะฟาอะฮ์นอกจากผู้ที่ได้ทำสัญญาไว้กับพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19.88]
และพวกเขากล่าวว่าพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงตั้งพระบุตรขึ้นเพื่อพระองค์
[19.89] แน่นอนที่สุด
พวกเจ้าได้นำมาซึ่งสิ่งร้ายแรงยิ่งใหญ่
[19.90]
ชั้นฟ้าทั้งหลายแทบจะพังทลายลงมาและแผ่นดินก็แทบจะถล่มลึกลงไป
และขุนเขาทั้งหลายก็แทบจะยุบทลายลงมาเป็นเสี่ยง ๆ
[19.91]
ที่พวกเขาอ้างพระบุตรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19.92] และไม่เป็นการบังควรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี
ที่พระองค์จะทรงตั้งพระบุตรขึ้น
[19.93]
ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเว้นแต่เขาจะมายังพระผู้ทรงกรุณาปรานีในฐานะบ่าวคนหนึ่ง
[19.94] แน่นอนที่สุด
พระองค์ทรงรอบรู้ถึงพวกเขาและทรงนับพวกเขาอย่างถี่ถ้วนไว้แล้ว
[19.95] และทุกคนในพวกเขาจะมายังพระองค์ในวันกิยามะฮ์อย่างโดดเดี่ยว
[19.96] แท้จริง
บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณงามความดีทั้งหลายนั้น
พระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงโปรดปรานความรักใคร่แก่พวกเขา
[19.97] แท้จริง
เราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นภาษาที่ง่ายแก่เจ้าเพื่อว่าเจ้าจะได้นำมันไปแจ้งเป็นข่าวดีแก่บรรดาผู้ยำเกรง
และเจ้าจะได้นำมันไปตักเตือนหมู่ชนที่ดื้อรั้น
[19.98]
และกี่มากน้อยแล้วจากประชาชาติในอดีต เราได้ทำลายพวกเขา
เจ้าได้เห็นผู้ใดในหมู่พวกเขาหรือได้ยินเสียงกระซิบของพวกเขาบ้างไหม
20. ซูเราะห์ฏอฮา
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[20.1] ฏอฮา
[20.2] เรามิได้ให้อัลกุรอานลงมาแก่เจ้า
เพื่อให้เจ้าลำบาก
[20.3] เว้นแต่เป็นการตักเตือนแก่ผู้ที่ยำเกรง
[20.4]
เป็นการประทานลงจากพระผู้สร้างแผ่นดินและชั้นฟ้าทั้งหลายอันสูงส่ง
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี
ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์
[20.6] กรรมสิทธิ์ของพระองค์นั้นคือ
สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน
[20.7] และหากว่าเจ้ากล่าวเสียงดัง
เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ และสิ่งซ่อนเร้น
[20.8] อัลลอฮ์
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์สำหรับพระองค์นั้นทรงพระนามอันสวยงาม
[20.9]
และเรื่องราวของมูซาได้มีมาถึงเจ้าบ้างไหม ?
[20.10] เมื่อเขาเห็นไฟ
เขาจึงกลัวแก่ครอบครัวของเขาว่า พวกท่านจงหยุดอยู่ที่นี่
เพราะฉันเห็นไฟบางทีฉันจะนำคบเพลิงจากที่นั่นมาให้พวกท่าน
หรือฉันอาจจะพบผู้นำทางที่กองไฟนั้น
[20.11] ครั้นเมื่อเขามาถึงกองไฟนั้น
มีเสียงเรียกขึ้นว่า โอ้ มูซาเอ๋ย !
[20.12] แท้จริงข้าคือพระเจ้าของเจ้า
จงถอดรองเท้าทั้งสองข้างของเจ้าออก แท้จริงเจ้ากำลังอยู่ ณ หุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์
(มีชื่อว่า ) ว่า
[20.13] และข้าได้เลือกเจ้าฉะนั้น
จงตั้งใจฟังสิ่งที่ถูกวะฮีย์
[20.14] แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า
ดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้าและจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพื่อรำลึกถึงข้า
[20.15]
แท้จริงวันอวสานของโลกนั้นกำลังมาถึงข้าปกปิดมันไว้เพื่อทุกชีวิตจะถูกตอบแทนตามี่มันได้แสวงหาไว้
[20.16] ดังนั้น ผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อมันจะต้องไม่ทำให้เจ้าเหินห่างจากมัน
และปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา แล้วเจ้าจะพินาศ
[20.17] และอะไรที่อยู่ในมือขวาขอเจ้าเล่า
โอ้มูซา เอ๋ย !
[20.18] เขากล่าวว่า
มันคือไม้เท้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ใช้มันสำหรับยัน
และข้าพระองค์ใช้มันตีบนพุ่มไม้เพื่อเป็นอาหารสำหรับแกะของข้าพระองค์
และข้าพระองค์ใช้มันในประโยชน์อื่น ๆ อีก
[20.19] พระองค์ตรัสว่า จงโยนมันไปซิ
โอ้มูซาเอ๋ย
[20.20] เขาจึงโยนมันลงไป
แล้วมันก็ได้กลายเป็นงูเลื้อย
[20.21]
พระองค์ตรัสว่าจงจับมันขึ้นมาและอย่ากลัว เราจะให้มันกลับมาเป็นไม้เท้าตามสภาพก่อนของมัน
[20.22]
และจงเอามือของเข้าซุกเข้าไปใต้รักแร้แล้วเอามันออกมามันจะมีสภาพขาวประกาย
ปราศจากอันตรายใด ๆมันเป็นอีกสัญญาณหนึ่ง
[20.23]
เพื่อเราจะให้เข้าได้เห็นบางส่วนจากสัญญาณทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของเรา
[20.24]
จงไปหาฟิรเอาน์เพราะเขาได้ละเมิดฝ่าฝืน
[20.25] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอพระองค์ทรงโปรดเปิดอกของข้าพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
[20.26] และทรงโปรดทำให้การงานของข้าพระองค์
ง่ายดายแก่ข้าพระองค์ด้วย
[20.27] และทรงโปรดแก้ปม
จากลิ้นของข้าพระองค์ด้วย
[20.28] เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์
[20.29]
และทรงโปรดให้คนในครอบครัวของข้าพระองค์ เป็นผู้ช่วยแก่ข้าพระองค์ด้วย
[20.30] ฮารูนพี่ชายของข้าพระองค์
[20.31]
ได้โปรดให้เขาเพิ่มความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วย
[20.32]
และให้เขามีส่วนร่วมในกิจการของข้าพระองค์ด้วย
[20.33] เพื่อเราจักได้ถวายการแซ่ซร้องสดุดีต่อพระองค์ท่านอย่างมากมาย
[20.34]
และเราจักได้รำลึกถึงพระองค์ท่านอย่างมากมาย
[20.35] แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงเห็นเรา
[20.36] พระองค์ตรัสว่า แน่นอน
เราได้ให้ตามคำขอของเจ้าแล้ว โอ้ มูซาเอ๋ย
[20.37] และโดยแน่นอน เราได้ให้ความโปรดปรานแก่เจ้ามาครั้งหนึ่งก่อนนี้แล้ว
[20.38]
โดยที่เราได้ดลใจให้มารดของเจ้าถึงสิ่งที่ถูกดลใจ
[20.39] โดยให้นางวางเขาลงในหีบ
แล้วเอาไปปล่อยในแม่น้ำ (ไนล์) แล้วแม่น้ำก็ซัดเขาไปติดที่ชายฝั่ง (จากนั้น)
ศัตรูของข้าและศัตรูของเขาก็จะเก็บเอาเขาไป และข้าก็ได้ให้ความรักจากข้าแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้รับการเลี้ยงดู
ภายใต้การดูแลของข้า
[20.40] เมื่อพี่สาวของเจ้าเดินไป เธอได้พูด
(กับพวกนั้น) ว่า ฉันจะชี้แนะผู้ที่เลี้ยงดูเขาแก่พวกท่านไหม? แล้วเราให้เจ้ากับไปหามารดาของเจ้า
เพื่อที่จะได้เป็นที่รื่นรมณ์แก่สายตาของนางและไม่เศร้าโศกและเจ้าได้ฆ่าชายคนหนึ่ง
แล้วเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากความหนักใจ และเราได้ทดสอบเจ้าด้วยการทดสอบนานาชนิด
แล้วเจ้าได้พำนักอยู่กับชาวมัดยันเป็นเวลาหลายปี ภายหลังเจ้าได้กลับมาตามกำหนด โอ้
มูซาเอ๋ย !
[20.41]
และเราได้เลือกเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของข้า
[20.42] เจ้าจงไปพร้อมกับพี่ชายของเจ้า
พร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายของข้า และเจ้าทั้งสองอย่าเฉื่อยชาในการรำลึกถึงข้า
[20.43]
เจ้าทั้งสองจงไปหาฟิรเอาน์แท้จริงเขายะโสโอหังมาก
[20.44]
แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยน
บางทีเขาอาจจะรำลึกขึ้นมาหรือเกิดความยำเกรงขึ้น
[20.45] เขาทั้งสองได้กล่าวว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา แท้จริงเรากลัวว่าเขาจะล่วงเกินเรา
[20.46] พระองค์ตรัสว่า
เจ้าทั้งสองอย่ากลัวแท้จริงข้าอยู่กับเจ้าทั้งสอง ข้าได้ยินและได้เห็น
(ทุกสิ่งทุกอย่าง)
[20.47] ดังนั้น
เจ้าทั้งสองจงไปหาเขาแล้วกล่าวว่า แท้จริงเราเป็นร่อซู้ลของพระเจ้าของท่านฉะนั้นท่านจงปล่อยวงศ์วานอิสรออีลมากับเราเถิด
และอย่าได้ทรมานพวกเขาเลย แน่นอน เราได้นำสัญญาณ
จากพระเจ้าของท่านมายังท่านแล้วและความปลอดภัย (จากการลงโทษของอัลลอฮ์)
จงมีแด่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง
[20.48] แท้จริงได้มีวะฮีย์มายังเราว่า
แท้จริงการลงโทษจะประสบแก่ผู้ที่ปฏิเสธ (บรรดานบีของอัลลอฮ์) และหันหลัง
(ให้กับการอีมาน)
[20.49] เขากล่าวว่า ดังนั้น
ใครเล่าคือพระเจ้าของท่านทั้งสอง โอ้มูซาเอ๋ย
[20.50] มูซากล่าวว่า พระเจ้าของเราคือ
ผุ้ทรงประทานทุกอย่างแก่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างแล้วพระองค์ก็ทรงชี้แนะแนวทางให้
[20.51] เขากล่าวว่า แล้วสภาพของคนรุ่นก่อน ๆ
นั้นเป็นเช่นไร ?
[20.52] มูซากล่าวว่า
ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉัน ในบันทึกของพระองค์
พระเจ้าของฉันจะไม่ทรงผิดพลาด และไม่ทรงหลงลืม
[20.53]
พระผู้ทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ สำหรับพวกท่าน
และทรงทำให้เป็นถนนหนทางสำหรับพวกท่าน
และทรงหลั่งน้ำฝนมาจากฟากฟ้าและเราได้ให้พืชผลนานาชนิดออกมาเป็นคู่ ๆ
[20.54] พวกเจ้าจงกิน
และจงเลี้ยงปศุสัตว์ของพวกเจ้า แท้จริงในการนั้น แน่นอน
ย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับปัญญาชน
[20.55] จากแผ่นดินเราได้บังเกิดพวกเจ้า และ ณ
แผ่นดินนั้นเราจะให้พวกเจ้ากลับคืนไป และจากแผ่นดินนั้น
เราจะให้พวกเจ้ากลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง
[20.56] และแน่นอน
เราได้ให้เขาเห็นสัญญาณทั้งหมดของเราแต่เขาได้ปฏิเสธและดื้อดึง
[20.57] เขากล่าวว่า
เจ้ามาหาเราเพื่อที่จะเอาเราออกจากแผ่นดินของเรา ด้วยเล่ห์กลของเจ้ากระนั้นหรือ
โอ้ มูซาเอ๋ย !
[20.58] ดังนั้น
เราก็จะนำมาซึ่งเล่ห์กลนั้นเจ้าเช่นเดียวกัน ฉะนั้น
เจ้าจงกำหนดวันขึ้นระหว่างเรากับท่าน ณ สถานที่ที่แน่นอน
โดยที่เราจะไม่ผิดสัญญาและตัวท่านด้วย
[20.59] มูซากล่าวว่า
กำหนดวันของพวกท่านคือวันอีดวันรื่นเริง โดยให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกันในตอนสาย
[20.60] ฟิรเอาน์ได้กลับออกไป
เพื่อไปร่วมมือกันวางแผนการณ์ของเขา แล้วได้มายังที่นัดหมาย
[20.61] มูซาได้กล่าวแก่พวกเขา
ความหายนะจงประสบแก่พวกท่าน พวกท่านอย่าได้เสกสรรปั้นแต่งการมุสาต่ออัลลอฮ์
มิฉะนั้นพระองค์จะทรงทำลายพวกท่านด้วยการลงโทษ และแน่นอนผู้ปั้นแต่งการมุสานั้น
ได้ประสบความผิดหวังมาแล้ว
[20.62] พวกเขาได้โต้แย้งกันในเรื่องของพวกเขา
และได้มีการพูดกันอย่างลับ ๆ
[20.63] พวกเขากล่าวว่า
สองคนนี้มิได้เป็นอื่นใด นอกจากเป็นนักมายากลอย่างแน่นอน
ต้องการที่จะเอาพวกท่านออกจาแผ่นดินของพวกท่านด้วยเล่ห์กลของเขาทั้งสอง
และต้องการจะลบล้างขนบธรรมเนียมอันดีงามของพวกท่าน
[20.64] ดังนั้น
พวกท่านจงรวบรวมแผนการณ์ของพวกท่าน แล้วเดินออกมาเป็นแถว และวันนี้ผู้ใดเหนือกว่า
ก็จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
[20.65] พวกเขากล่าวว่า โอ้ มูซาเอ๋ย ! ท่านจะเป็นผู้โยนหรือว่าพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน
[20.66] มูซากล่าวว่า
แต่ว่าพวกท่านจงโยนก่อนเถิด ณ บัดนั้น
เชือกและไม้เท้าของพวกเขาดูประหนึ่งว่ามันเลื้อยคลานไปมาเพราะเล่ห์กลของพวกเขา
[20.67] มูซาจึงรู้สึกกลัวขึ้นในตัวของเขา
[20.68] เรากล่าวว่า เจ้าอย่ากลัว แท้จริง เจ้าอยู่ในสภาพที่เหนือกว่า
[20.69]
และเจ้าจงโยนสิ่งที่อยู่ในมือขวาของเจ้า มันจะกลืนสิ่งที่พวกเขาทำขึ้น
แท้จริงสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นนั้นเป็นแผนของนักมายากล
และนักมายากลนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าเขาจะมาจากทางไหนก็ตาม
[20.70] ดังนั้น พวกมายากลได้ก้มลงสุญูด
โดยกล่าวว่า เราขอศรัทธาต่อพระเจ้าของฮารูนและมูซา
[20.71] เขา (ฟิรเอาน์) กล่าวว่า
พวกท่านศรัทธาต่อเขา ก่อนที่ฉันจะขออนุญาตให้แก่พวกท่านกระนั้นหรือ ? แท้จริงเขาต้องเป็นหัวหน้าของพวกท่าน ซึ่งได้สอนวิชามายากลแก่พวกท่านฉะนั้น
ฉันจะตัดมือและเท้าของพวกท่านสลับข้างกัน
และฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผาลัม และพวกท่านก็จะรู้อย่างแน่ชัดว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเราที่จะให้การลงโทษที่สาหัสกว่า และยาวนานยิ่งกว่า
[20.72] พวกเขากล่าวว่า
เราจะไม่ฝักใฝ่ท่านมากกว่าหลักฐานที่ชัดแจ้งที่ได้มายังเราขอสาบานต่อพระผู้ให้บังเกิดเรา
ท่านจงกระทำตามสิ่งที่ท่านต้องการจะกระทำผิด
แท้จริงท่านจะกระทำได้ในชีวิตแห่งโลกนี้เท่านั้น
[20.73] แท้จริง
เราได้ศรัทธาต่อพระเจ้าของเราเพื่อพระองค์จะทรงอภัยความผิดต่าง ๆ ของเราให้แก่เรา
และทรงอภัยสิ่งที่ท่านได้บังคับให้เรากระทำเกี่ยวกับเรื่องมายากลและอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศยิ่งและทรงยั่งยืนตลอดไป
[20.74] ความจริงนั้น
ผู้ใดมาหาพระเจ้าของเขาในสภาพของผู้กระทำความผิด แน่นอน
เขาจะได้รับนรกเป็นการตอบแทน โดยที่เขาจะไม่ตายและไม่เป็นในนั้น
[20.75]
และผู้ใดมาหาพระองค์โดยเป็นผู้ศรัทธาเขาได้กระทำความดีต่าง ๆ ไว้ ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้นจะมีสถานะอันสูงส่ง
[20.76] สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพรณ
เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
และนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้ขัดเกลาตนเอง (ให้พ้นจากความชั่ว)
[20.77] และโดยแน่นอน เราได้วะฮีย์แก่มูซาว่า
จงเดินทางในเวลากลางคืนพร้อมด้วยปวงบ่าวของข้าแล้วฟาดลงในทะเลให้เป็นทางเดินแห้งแก่พวกเขา
เจ้าอย่าได้กลัวว่าจะถูกตามทัน และจ้าอย่าได้กลัวจมน้ำ
[20.78]
ฟิรเอาน์พร้อมด้วยไร่พลของเขาได้ตามมาทันพวกเขา แล้วน้ำจากทะเลได้ท่วม
ทำให้พวกเขาจมน้ำ
[20.79] และฟิรเอาน์ได้ทำให้กลุ่มชนของเขาหลงผิด
และมิได้แนะทางที่ถูกต้องให้
[20.80] โอ้ วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย ! แน่นอนเราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากศัตรูของพวกเจ้า
และเราได้สัญญาพวกเจ้าทางด้านขวาของภูเขาฏูร
และเราได้ให้อาหารหวานและนกคุ่มแก่พวกเจ้า
[20.81] พวกเจ้าจงกินจากสิ่งที่ดีทั้งหลาย
ที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าได้ฝ่าฝืน มิฉะนั้น
ความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้าและผู้ใดที่ความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่เขาแน่นอนเขาจะประสบความพินาศ
[20.82] และแท้จริง
ข้าเป็นผู้อภัยอย่างมากหลายแก่ผู้ลุแก่โทษ และศรัทธา และประกอบความดีแล้วยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[20.83]
และอะไรเล่าที่ทำให้เจ้ารีบเร่งออกจากกลุ่มชนของเจ้า โอ้ มูซาเอ๋ย !
[20.84] เขากล่าวว่า
พวกเขาเหล่านั้นตามหลังข้าพระองค์มาอยู่แล้ว
และข้าพระองค์ได้รีบเร่งมายังพระองค์เท่านั้น โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ก็เพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยเท่านั้น
[20.85] พระองค์ตรัสว่า
แท้จริงเราได้ทดสอบกลุ่มชนของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้จากมา
และซามิรีย์ก็ได้ทำให้พวกเขาหลงทาง
[20.86]
มูซาได้กลับมายังกลุ่มชนของเขาด้วยความกริ้วโกรธเสียใจเขากล่าวว่า
โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พระเจ้าของพวกท่านมิได้ทรงสัญญากับพวกท่านด้วยสัญญาที่ดีดอกหรือ
คำมั่นสัญญานั้นนานเกินไปสำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ ? หรือว่าพวกท่านประสงค์ที่จะให้ความกริ้วจากพระเจ้าของพวกท่าน
เกิดขึ้นแก่พวกท่าน ?
พวกท่านจึงได้บิดพริ้วสัญญาของฉัน
[20.87] พวกเขากล่าวว่า
เรามิได้บิดพริ้วสัญญาของท่าน ตามความสมัครใจของเราดอก
แต่ว่าเราต้องแบกน้ำหนักเครื่องประดับของพรรคพวกอย่างมากมายเราจึงโยนมันลงไป
เช่นเดียวกัน ซามิรีย์ก็ได้โยนมันลงไปด้วย
[20.88]
แล้วซามิรีย์ก็ได้ทำลูกวัวออกมาเป็นรูปร่างมีเสียงร้องพวกเขาจึงกล่าวว่า
นี่คือพระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของมูซา แต่เขาลืมเสีย
[20.89] พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า
มันไม่อาจจะให้คำตอบแพวกเขา และมันไม่สามารถจะให้โทษและให้คุณแก่พวกเขาเลย
[20.90] และโดยแน่นอน
ฮารูนกล่าวกับพวกเขาก่อนว่าโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย
แท้จริงพวกท่านถูกทดสอบให้หลงเสียแล้ว และแท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระผู้ทรงกรุณาปรานี
ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตามฉัน และจงเชื่อฟังคำสั่งของฉัน
[20.91] พวกเขากล่าวว่า
เรายังคงจะบูชามันโดยจะจงรักภักดี (ต่อมัน) จนกว่ามูซาจะกลับมาหาพวกเรา
[20.92] (เมื่อมูซากลับมาแล้ว) เขากล่าวว่า
โอ้ฮารูนเอ๋ย อันใดเล่าที่ยับยั้งท่าน เมื่อท่านเห็นพวกเขาหลงผิด
[20.93] ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามฉัน
ท่านฝ่าฝืนคำสั่งของฉันกระนั้นหรือ ?
[20.94] ฮารูน กล่าวว่า โอ้ลูกของแม่ฉันเอ๋ย
อย่าดึงเคราและศีรษะของฉันซิ แท้จริงฉันกลัวว่า ท่านจะกล่าว (แก่ฉัน) ว่า
ท่านได้ก่อการแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีลและท่านไม่คอบฟังคำสั่งของฉัน
[20.95] มูซากล่าวว่า เจ้าต้องการอะไร
โอ้ซามิรีย์เอ๋ย !
[20.96] เขากล่าวว่า
ฉันเห็นในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น ดังนั้น ฉันจึงกำเอากอบหนึ่งจากรอยของร่อซู้ล
(หมายถึงญิบรีล) แล้วฉันได้โยนมันลงไปและเช่นนั้นแหละจิตใจของฉันได้เห็นดีเห็นงาม
[20.97] มูซากล่าวว่า ท่านจงออกไป
แท้จริงสำหรับท่านในชีวิตนี้จะได้รับการลงโทษโดยท่านกล่าวว่า
อย่ามาแตะต้องฉันและแท้จริงสำหรับท่านนั้นมีสัญญาหนึ่ง
ท่านจะไม่ถูกทำให้ผิดสัญญาและจงดูพระเจ้าของท่านซึ่งท่านยึดถือบูชามันแน่นอนเราจะเผามัน
แล้วเราจะโปรยมันลงในทะเลให้กระจาย
[20.98] แท้จริง พระเจ้าของพวกท่านนั้นคือ
อัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงแผ่ความรอบรู้ในยังทุกสิ่ง
[20.99] เช่นนี้แหละ
เราได้บอกเล่าข่าวคราวที่ได้เกิดขึ้นแต่กาลก่อนแก่เจ้าและแน่นอน
เราได้ให้ข้อเตือนสติ จากเราแก่เจ้า
[20.100] ผู้ใดหันหลังให้อัลกุรอานแท้จริงเขาจะแบกโทษหนักในวันกิยามะฮ์
(อยู่ในนรก)
[20.101]
พวกเขาจะพำนักอย่างถาวรอยู่ในนั้นและโทษหนักนั้นเป็นความชั่วช้าสำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์เสียนี่กระไร !
[20.102] วันซึ่งสังข์จะถูกเป่า
และในวันนั้นเราจะรวมนักโทษทั้งหลายที่มีตาสีฟ้าไว้ด้วยกัน
[20.103] พวกเขาจะกระซิบกระซาบระหว่างกันว่า
พวกท่านมิได้พักในโลกนี้นอกจากเพียง 10 วัน เท่านั้น
[20.104] เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าวกัน
เมื่อผู้มีความคิดที่ดียิ่งกล่าวว่า พวกท่านมิได้พักอยู่
นอกจากเพียงวันเดียวเท่านั้น
[20.105] และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับภูเขา
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระเจ้าของฉันจะทรงทำให้มันแตกออกเป็นผุยผง
[20.106]
แล้วจะทรงปล่อยให้มันเป็นที่ราบโล่งเตียน (ไม่มีต้นไม้และสิ่งก่อสร้าง)
[20.107] สูเจ้าจะไม่เห็น ณ ที่นั้น
ที่ลุ่มและที่ดอน
[20.108] วันนั้นพวกเขาจะติดตามผู้ร้องเรียกไปโดยไม่มีการอิดเอื้อนแต่ประการใดเสียงทั้งหลายก็จะลดค่อยลงต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
เจ้าจะไม่ได้ยินเสียงใด นอกจากเสียแผ่วเบา
[20.109] วันนั้น
การชะฟาอะฮ์จะไม่เกิดประโยชน์อันใด
นอกจากผู้ที่พระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงอนุญาตแก่เขา
และพระองค์ทรงพอพระทัยในคำพูดของเขาเท่านั้น
[20.110] พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งต่าง ๆ
ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา และสิ่งต่าง
ๆที่อยู่ลับหลังพวกเขาและความรู้ของพวกเขาไม่อาจจะเท่าเทียมความรู้ของพระองค์ได้
[20.111]
และใบหน้าทั้งหลายได้สยบลงต่อพระผู้ทรงเป็นอยู่เสมอ พระผู้ทรงอมตะ และแน่นอน
ผู้ที่แบกเอาความอธรรมไว้ (ชิริก) ต้องประสบกับการขาดทุนอย่างแน่นอน
[20.112]
และผู้ใดปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลายโดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา
เขาจะไม่กลัวความอธรรมและการบั่นทอนใด ๆ
[20.113] และเช่นนั้นแหละ
เราได้ให้กุรอานเป็นภาษาอาหรับลงมาแก่เขา และเราได้กล่าวซ้ำในนั้นซึ่งข้อตักเตือน
หวังว่าพวกเขาจะมีความยำเกรงหรือเกิดข้อเตือนใจแก่พวกเขา
[20.114] ดังนั้น
อัลลอฮ์คือพระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง พระผู้ทรงอำนาจอันแท้จริง
และเจ้าอย่ารีบเร่งในการอ่านอัลกุรอาน
ก่อนที่วะฮีย์ของพระองค์จะจบลงและจงกล่าวเถิด ข้าแต่พระเจ้าของข้า
พระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพระองค์ด้วย
[20.115] และโดยแน่นอน
เราได้ให้คำมั่นสัญญาแก่อาดัมแต่กาลก่อนแต่เขาได้ลืม
และเราไม่พบความมั่ใจอดทนในตัวเขา
[20.116]
และเมื่อเรากล่าวแก่บรรดามลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดคารวะแก่อาดัม
และพวกเขาได้สุญูดนอกจากอิบลีส มันได้ดื้อดึง
[20.117] แล้วเราได้กล่าวว่า โอ้อาดัมเอ๋ย ! แท้จริงนี่คือศัตรูของเจ้าและของภริยาของเจ้า
ดังนั้นอย่าให้มันทำให้เจ้าทั้งสองออกจากสวนสวรรค์ แล้วเจ้าจะได้รับความลำบาก
[20.118] แท้จริงในสวนสวรรค์นั้น
เจ้าจะไม่หิวและจะไม่ต้องเปลือยกาย
[20.119] และแท้จริงในสวนสวรรค์นั้น
เจ้าจะไม่กระหายน้ำ และจะไม่ตากแดด
[20.120]
ต่อมาชัยตอนมารร้ายได้กระซิบกระซาบเขา มันกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย
ฉันจะชี้แนะแก่ท่านไปยังต้นไม้ที่อยู่เป็นนิจตลอดกาลและการมีอำนาจที่ไม่สูญสลายเอาไหม?
[20.121] ดังนั้น
เขาทั้งสองจึงกินจากต้นไม้นั้นสิ่งพึงสงวนของทั้งสองจึงถูกเผยแก่เขาทั้งสอง
เขาทั้งสองจึงเริ่มเอาใบไม้ของสวนนั้นมาปกปิดบนตัวของเขาทั้งสอง
และอาดัมได้ฝ่าฝืนพระเจ้าของเขา เขาจึงหลงผิด
[20.122] ภายหลัง
พระเจ้าของเขาทรงคัดเลือกเขาแล้วทรงอภัยโทษให้แก่เขา และทรงแนะทางที่ถูกต้องให้เขา
[20.123] พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์ทั้งหมด
โดยบางคน (ลูกหลาน) ในหมู่พวกเจ้าเป็นศัตรูกับอีกบางคนบางทีเมื่อมีคำแนะนำ
(ฮิดายะฮ์) จากข้ามายังพวกเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) ของข้า
เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบาก
[20.124] และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า
แท้จริงสำหรับเขาคือ
การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด
[20.125] เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่า
ทั้งๆที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น
[20.126] พระองค์ตรัสว่า เช่นนั้นแหละ
เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน
วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม
[20.127] และเช่นเดียวกัน
เราจะตอบแทนผู้ที่ล่วงละเมิดขอบเขตและไม่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของพระเจ้า
และแน่นอน การลงโทษในปรโลกนั้นสาหัสยิ่ง และยาวนานยิ่ง
[20.128]
ยังมิเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาดอกหรือว่า กี่มากน้อยแล้ว
เราได้ทำลายประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาหลายชั่วศตวรรษ โดยที่พวกเขา (กุฟารมักกะฮ์)
ได้ไปพบเห็นมาในที่พำนักอาศัยของพวกเขาแท้จริง ในการลงโทษเช่นนั้นแหละเป็นนิทัศน์อุทาหารณ์สำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญา
[20.129] และหากมิใช่ลิขิตจากพระเจ้าของเจ้า
ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วแน่นอน การลงโทษจะเกิดขึ้นทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[20.130] ดังนั้น
เจ้าจงอดทนต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวร้าย
และจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า
ก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันลับลงไป และส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน
ก็จงแซ่ซร้องสดุดีและปลายช่วงของเวลากลางวัน เพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ
[20.131]
และเจ้าจงอย่าทอดสายตาของเจ้าไปยังสิ่งที่เราได้ให้ความเพลิดเพลินแก่บุคคลประเภทต่าง
ๆ ของพวกกุฟฟาร ซึ่งความสุขสำราญในโลกดุนยา เพื่อเราจะได้ทดสอบพวกเขาในการนี้
และการตอบแทนของพระเจ้านั้น ดียิ่งกว่าและจีรังยิ่งกว่า
[20.132]
และเจ้าจงใช้ครอบครัวของเจ้าให้ทำละหมาด และจงอดทนในการปฏิบัติ
เรามิได้ขอเครื่องยังชีพจากเจ้า เราต่างหากเป็นผู้ให้เครื่องยังชีพแก่เจ้า
และบั้นปลายนั้นสำหรับผู้ที่มีความยำแกรง
[20.133] และพวกเขากล่าวว่า
ทำไมเขาจึงไม่นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขามาให้เราหรือว่าหลักฐานอันชัดแจ้งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง
ๆ สมัยก่อนนั้น มิได้มีมายังพวกเขาดอกหรือ?
[20.134]
และหากเราทำลายพวกเขาด้วยการลงโทษก่อนการให้อัลกุรอานลงมาแน่นอนพวกเขาก็กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของเราทำไมพระองค์ท่านจึงไม่ส่งร่อซู้ลมายังพวกเรา
เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตามโองการของพระองค์ท่าน
ก่อนที่เราจะได้รับความต่ำต้อยและความอัปยศ
[20.135]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ทุกคนเป็นผู้คอยดังนั้น พวกท่านจงคอยเถิด
แล้วพวกท่านจะได้รู้ว่าใครคือ พวกที่อยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรง
และใครคือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 16 ]
ป้ายกำกับ: กอละ อะลัม, ญุซอ์ที่ 16
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก