อัลกุรอานญุซอ์ที่ 11
ญุซอ์ที่
11
[9.94] พวกเขา (ที่ไม่ออกไปสงครามตะบู๊ก)
จะแก้ตัวแก่พวกท่าน เมื่อพวกท่านกลับมายังพวกเขาจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่าพวกท่านอย่าแก้ตัวเลยเราจะไม่เชื่อพวกท่านดอก
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวคราวของพวกท่านแก่เราแล้ว
และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นการกระทำของพวกท่าน และร่อซู้ลของพระองค์ก็เห็นด้วย
แล้วพวกท่านก็จะถูกนำลับไปยังพระผู้ทรงรอบรู้แห่งสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย
แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกท่านให้รู้ถึงสิ่งที่พวกท่านกระทำนั้น
[9.95]
พวกเขาจะสาบานต่ออัลเลอฮ์แก่พวกท่านเมื่อพวกท่านได้กลับมายังพวกเขา เพื่อให้พวกท่านยกโทษให้พวกเขา
ดังนั้นพวกท่านจงผินหลังให้พวกเขาเถิด แท้จริงพวกเขานั้นชั่วร้าย
และที่พำนักของพวกเขาคือนรก ทั้งนี้เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้
[9.96] พวกเขาจะสาบานแก่พวกท่าน
เพื่อให้พวกท่านพอใจต่อพวกเขา แล้วหากพวกท่านพอใจต่อพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงพอพระทัยต่อกลุ่มชนที่ละเมิดฝ่าฝืน
[9.97] บรรดาอาหรับชนบทนั้น
เป็นพวกปฏิเสธศรัทธาและพวกกลับกลอกที่ร้ายกาจที่สุด และเป็นการสมควรยิ่งแล้ว
ที่พวกเขาจะไม่รู้ขอบเขตในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ร่อซู้ลของพระองค์และอัลลออ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[9.98] และในหมู่อาหรับชนบทนั้น
มีผู้ถือเอาสิ่งที่ตนบริจาคไปเป็นค่าปรับ
และถือว่าเป็นการขาดทุนและพวกเขารอคอยเหตุร้ายที่จะเกิดแก่พวกท่าน
เหตุร้ายเหล่านั้นจงประสบแก่พวกเขาเขาเถิดและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้
[9.99] และในหมู่อาหรับชนบทนั้น มีผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์
และถือเอาสิ่งที่ตนบริจาคไปนั้น เป็นการใกล้ชิดกับอัลลอฮ์
และเป็นการขอพรของร่อซู้ล พึงรู้เถิดว่า แท้จริงมันเป็นการขอพรจากร่อซู้ล
พึงรู้เถิดว่า แท้จริงมันเป็นการทำให้ใกล้ชิดแก่พวกเขา
อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาอยู่ในความเอ็นดูเมตตาของพระองค์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
[9.100] บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ
(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์)
และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย
และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว
ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง
[9.101] และส่วนหนึ่งจากผู้ที่พำนักอยู่รอบๆ
พวกท่านที่เป็นอาหรับชนบทนั้น เป็นพวกกลับกลอก และในหมู่ชาวมะดีนะฮ์ก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาเหล่านั้นดื้อรั้นในการกลับกลอก เจ้า (มุฮัมมัด)
ไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขาดอก เรา (อัลลอฮ์) รู้จักพวกเขาดี
เราจะลงโทษพวกเขาสองครั้ง แล้วพวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันยิ่งใหญ่ต่อไป
[9.102] และมีชนกลุ่มอื่นที่สารภาพความผิดของพวกเขา
โดยที่พวกเขาประกอบกรรมดีปะปนไปกับงานที่ชั่ว
หวังว่าอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ
ผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
[9.103] (มุฮัมมัด)
เจ้าจงเอาส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป้นทาน เพื่อทำให้พวกเขาบริสุทธิ์
และล้างมลทินของพวกเขาด้วยส่วนตัวที่เป็นทานนั้น และเจ้าจงขอพรให้แก่พวกเขาเถิด
เพราะแท้จริงการขอพรของพวกเจ้านั้น ทำให้เกิดความสุขใจแก่พวกเขา
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
[9.104] พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรับการสำนึกผิดจากปวงบ่าวของพระองค์
และทรงรับบรรดาสิ่งที่เป็นทาน (ศ่อดะเกาะฮ์) และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ
ผู้ทรงอัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[9.105] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
พวกท่านจงทำงานเถิด แล้วอัลลอฮ์จะทรงเห็นการงานของพวกท่าน
และร่อซู้ลของพระองค์และบรรดามุอ์มินก็จะเห็นด้วย และพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระผู้ทรงรอบร็ในสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผยแล้วพระองค์จะทรงแจ้งแกาพวกท่าน
ในสิ่งที่พวกท่านทำไว้
[9.106] และมีชนอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่ยังรอคำบัญชาของอัลลออ์
พระองค์อาจจะทรงลงโทษพวกเขาและพระองค์ก็อาจจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[9.107]
และบรรดาผู้ที่ยึดเอามัสยิดหลังหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดความเดือดร้อนและปฉิเสธศรัทธาและก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างบรรดามุอ์มินด้วยกัน
และเป็นแหล่งส้องสุมสำหรับผู้ที่ทำสงครามต่อต้านอัลลอฮ์และร่อซุลของพระองค์มาก่อนและแน่นอนพวกเขาจะสาบานว่า
เราไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากที่ดี และอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นพยานยืนยันว่า
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นพวกกล่าวเท็จอย่างแน่นอน
[9.108]
เจ้าอย่าไปร่วมยืนละหมาดในมัสยิดนั้นเป็นอันขาด แน่นอน
มัสยิดที่ถูกวางรากฐานบนความยำเกรงตั้งแต่วันแรกนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เจ้าจะเข้าไปยืนละหมาดในนั้น
เพราะในมัสยิดนั้นมีคณะบุคคลที่ชอบจะชำระตัวให้บริสุทธิ์
และอัลลอฮ์นั้นทรงรักบรรดาผู้ที่ชำระตัวให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ
[9.109]
ผู้ที่วางรากฐานอาคารของเขาบนความยำเกรงต่ออัลลอฮ์
และบนความโปรดปรานนั้นดีกว่าหรือว่าผู้ที่วางรากฐานอาคารของเขาบนริมขอบเหวที่จะพังทลายลง
แล้วมันก็พัง นำเขาลงไปในนรกและอัลลอฮ์นั้นจะไม่ชี้แนะทางแก่กลุ่มชนที่อธรรม
[9.110]
อาคารของพวกเขาที่ก่อสร้างขึ้นมานั้นยังคงเป็นที่ระแวงสงสัยอยู่ในจิตใจของพวกเขาจนกระทั่งวหัวใจเหล่านั้นจะแตกออกเป็นเสี่ยง
ๆ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[9.111]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงซื้อแล้วจากบรรดาผู้ศรัทธา
ซึ่งชีวิตของพวกเขาและทรัพย์สมบัติของพวกเขา
โดยพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์เป็นการตอบแทน
พวกเขาจะต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์แล้วพวกเขาก็จะฆ่าและถูกฆ่า
เป็นสัญญาของพระองค์เองอย่างแท้จริง ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์เตารอฮ์ อินญีล และกรุอาน
และใครเล่าจะรักษาสัญญาของเขาให้ดียิ่งไปกว่าอัลลอฮ์ ดังนั้น
พวกท่านจงชื่นชมยินดีในการขายของพวกท่านเถิด ซึ่งพวกท่านได้ขายมันไป
และนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง
[9.112] บรรดาผู้กลับเนื้อกลับตัว
ผู้กระทำการอิบาดดะฮ์ ผู้กล่าวคำสรรเสริญ
ผู้เดินทางเพื่อต่อสู้หรือแสวงหาวิชาความรู้ ผู้รุกัวะอ์ ผู้สุญูด
ผู้กำชับให้ทำความดี
ผู้ห้ามปรามให้ละเว้นความชั่วและบรรดาผุ้รักษาขอบเขตของอัลลอฮ์และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาเถิด
[9.113]
ไม่บังควรแก่นบีและบรรดาผู้ศรัทธาที่จะขออภัยโทษให้แก่พวกตั้งภาคี
และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติใกล้ชิดกันก็ตาม
ทั้งนี้หลังจากเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก
[9.114]
และการขออภัยโทษของอิบรอฮีมให้แก่บิดาของเขามิได้ปรากฏขึ้น
นอกจากเป็นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่บิดาของเขาเท่านั้น แต่เมื่อได้เป็นที่ประจักษ์แก่เขาแล้ว
แท้จริงบิดาของเขาเป็นศัตรูของอัลลอฮ์
เขาก็ปลีกตัวออกจากบิดาของเขาแท้จริงอิบรอฮีมนั้นเป็นผู้อ่อนโยน
และเป็นผู้มีขันติอดทน
[9.115]
และอัลลออ์นั้นจะไม่ทรงให้กลุ่มชนใดหลงผิด
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงชี้ทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขาแล้ว นอกจากจะป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขา
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะยำเกรงเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
[9.116] แท้จริงอัลลอฮ์นั้น
อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงให้เป็น
ทรงให้ตายและนอกจากอัลลอฮ์แล้วก็ไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ
สำหรับพวกท่าน
[9.117]
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่ท่านนบี ชาวมุฮาญิรีน และชาวอันศ้อรแล้ว
ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเขา (นบี)
ในยามคับขันหลังจากที่จิตใจของชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขา เกือบจะหันเหออกจากความจริง
แล้วพระองค์ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงกรุณาอยู่เสมอ
[9.118] และอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่ชายสามคน
(คือ กะอุบ์ อิบนุมาลิก มุรอเราะฮ์ อิบนุ อัรร่อบีอ์ และฮิลาล อิบนุอุมัยยะฮ์)
ที่ไม่ได้ออกไปสงคราม จนกระทั่งแผ่นดินได้คับแคบแก่พวกเขาทั้ง ๆ
ที่มันกว้างใหญ่ไพศาล และตัวของพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดไปด้วย
แล้วพวกเขาก็คาดคิดกันว่าไม่มีที่พึ่งอื่นใดเพื่อให้พ้นจากอัลลอฮ์ไปได้
นอกจากกลับไปหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงอภัยโทษให้พ้นจากอัลลอฮ์ไปได้
นอกจากกลับไปหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา
เพื่อพวกเขาจะได้กลับเนื้อกลับตัวสำนักผิดต่อพระองค์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
[9.119] โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย
พึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง
[9.120]
ไม่บังคับควรแก่ชาวมะดีนะฮ์และชาวอาหรับชนบทที่พักอยู่รอบ ๆ
จะผินหลังให้กับร่อซู้ลของอัลลอฮ์
และไม่บังคับควรที่เขาเหล่านั้นจะห่วงชีวิตของพวกเขา
มากกว่าชีวิตของท่านร่อซู้ลทั้งนี้เนื่องจากความกระหายน้ำก็ดี
ความทุกข์ยากก็ดีและความหิวโหยก็ดี เพื่อหนทางของอัลลอฮ์นั้นจะไม่สบกับพวกเขา
และไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบย่างไป ณ ที่ใดที่ ทำให้พวกปฏิเสธศรัทธา กริ้วโกรธก็ตาม
และพวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายจากศัตรูนอกจากการางที่ดีถูกจากรึกไว้แล้วสำหรับพวกเขาเพราะสิ่งนั้น
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงให้รางวัลของผู้กระทำความดีต้องสูญเสียไปเป็นอันขาด
[9.121] และพวกเขาจะไม่บริจาคในการบริจาคใด ๆ
ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก็ตาม และพวกเขาไม่เดินผ่านหุบเขาใด ๆ
นอกจากมันจะถูกบันทึกไว้แก่พวกเขา เพื่อว่าอัลลอฮ์จะทรงตอบแทนให้แก่พวกเขา
ซึ่งสิ่งที่ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้
[9.122]
ไม่บังควรที่บรรดาผู้ศรัทธาจะออกไปสู้รบกันทั้งหมด
ทำไมแต่ละกลุ่มในหมู่พวกเขาจึงไม่ออกไปเพื่อหาความเข้าใจในศาสนา และเพื่อจะได้ตักเตือนหมู่คณะของพวกเขา
เมื่อพวกเขาได้กลับมายังหมู่คณะของพวกเขา
โดยหวังว่าหมู่คณะของพวกเขาจะได้ระมัดระวัง
[9.123] โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย
จนสู้รบกับบรรดาผู้ที่อยู่ใกล้เคียงพวกท่าน ที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเสียก่อน
และจงให้พวกเหล่านั้นประสบกับความรุนแรงจากพวกท่าน และพึงรู้เถิดว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย
[9.124]
และเมื่อมีบทหนึ่งบทใดของอัลกุรอานถูกประทานลงมา ดังนั้น
ในหมู่พวกเขามีผู้กล่าวขึ้นว่า มีใครบ้างในพวกท่านที่บทนี้ทำให้ศรัทธาเพิ่มขึ้น ? สำหรับบรรดาผู้ที่มีความศรัทธานั้น
บทนี้ได้ทำให้การศรัทธาเพิ่มขึ้นแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็มีความปิติยินดี
[9.125]
และสำหรับบรรดาผู้ที่มีโรคอยู่ในจิตใจของพวกเขา
บทนี้ก็ยิ่งจะเพิ่มความสกปรกให้แก่พวกเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
และพวกเขาจะตายไปในสภาพที่เป็นพวกปฏิเสธศรัทธา
[9.126] และพวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
แท้จริงพวกเขาจะถูกทดสอบในทุก ๆปี ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง
แล้วพวกเขาก็ไม่ยอมกลับเนื้อกลับตัวและพวกเขาก็ไม่สำนึกผิดอีกด้วย
[9.127]
และเมื่อบทหนึ่งบทใดของอัล-กรุอานถูกประทานลงมา
บางคนในหมู่พวกเขาต่างก็มองตาซึ่งกันและกัน (แล้วถามขึ้นว่า) มีใครเห็นพวกท่านบ้างไหม
แล้วพวกเขาก็พากันหันเหออกจากแนวทางที่ถูกต้อง
เพราะแท้จริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
[9.128]
แท้จริงมีร่อซู้ลคนหนึ่งจากพวกท่านเองได้มาหาพวกท่านแล้ว
เป็นที่ลำบากใจแก่เขาในสิ่งที่พวกท่านได้รับความทุกข์ยาก เป็นผู้ห่วงใยย่าน
เป็นผุ้เมตตา ผู้กรุณาสงสาร ต่อบรรดาผู้ศรัทธา
[9.129]
พากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
อัลลอฮ์นั้นเป็นที่พอเพียงแก่ฉันแล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น
แด่พระองค์เท่านั้นที่ฉันขอมอบหมาย และพระองค์คือเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่
10. ซูเราะห์ยูนุส
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[10.1] อะลีฟ ลาม รอ
เหล่านี้คือบรรดาโองการแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง
[10.2] เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือ
ที่เราได้ให้วะฮีย์ยฺแก่ชายคนหนึ่งจากพวกเขา ให้เตือนสำทับมนุษย์
และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าแท้จริงสำหรับพวกเขานั้น
จะได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง ณ ที่พระเจ้าของเขา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า
แท้จริง นี่คือนักมายากลอย่างแน่นอน
[10.3] แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคือ อัลลอฮ์
ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์
ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์
นั่นคืออัลลอฮ์ พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด
พวกท่านมิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ ?
[10.4]
ยังพระองค์เท่านั้นคือทางกลับของพวกท่านทั้งหลาย สัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริงเสมอ
แท้จริงพระองค์นั้นทรงเริ่มการสร้าง
แล้วพระองค์ก็ทรงให้มันบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดีโดยเที่ยงธรรม
ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
พวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มที่ร้อนจัดและการลงโทษอันเจ็บแสบ เพราะพวกเขาปฏิเสธ
ไม่ยอมศรัทธา
[10.5] พระองค์ทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า
และดวงจันทร์มีแสงนวล และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจร
เพื่อพวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ อัลลอฮ์มิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้
เว้นแต่ด้วยความจริง พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่างๆ สำหรับหมู่ชนที่มีความรู้
[10.6] แท้จริงการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน
และที่อัลลอฮ์ทรงสร้างในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอน
เป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่มีความยำเกรง
[10.7] แท้จริงบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเรา
และพวกเขาพอใจต่อชีวิตในโลกดุนยา และพวกเขาดีใจต่อมัน
และบรรดาผู้ละเลยต่อสัญญาณต่างๆ ของเรา
[10.8] ชนเหล่านั้น ที่พำนักของพวกเขาคือนรก
เนื่องด้วยพวกเขาขวนขวายเอาไว้
[10.9]
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดี
พระเจ้าของพวกเขาจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา
เนื่องด้วยการศรัทธาของพวกเขา ภายใต้พวกเขามีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน
ซึ่งอยู่ในสวนสวรรค์อันเกษมสำราญ
[10.10] การขอพรของพวกเขาในสวนสวรรค์คือ
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน ข้าแต่พระเจ้าของเรา และคำทักทายของพวกเขาในนั้นคือ
ความสันติสุข (อัสสลาม) และสุดท้ายแห่งการขอพรของพวกเขาคือ
การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก
[10.11] และหากอัลลอฮ์ทรงเร่งตอบรับความชั่วของมนุษย์
เช่นเดียวกับการเร่งของพวกเขาเพื่อขอความดีแล้ว
แน่นอนความตายของพวกเขาก็คงถูกกำหนดแก่พวกเขา
แล้วเราจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบเราให้อยู่ในความงงงวย
เพราะการดื้อดึงของพวกเขา
[10.12] และเมื่ออันตรายประสบกับมนุษย์
เขาก็จะวิงวอนขอเราในสภาพนอนตะแคง หรือนั่ง หรือยืน
ครั้นเมื่อเราปลดเปลื้องอันตรายของเขาให้พ้นจากเขาไปแล้ว
เขาก็เมินคล้ายกับว่าเขามิได้วิงวอนขอเราให้พ้นจากอันตรายที่ได้ประสบแก่เขา
เช่นนั้นแหละ ถูกทำให้สวยงามแก่บรรดาผู้ละเมิดขอบเขตในสิ่งที่พวกเขากระทำ
[10.13] และโดยแน่นอน เราได้ทำลายประชาชาติจากศตวรรษก่อนจากพวกท่านไปแล้ว
เมื่อพวกเขาเป็นผู้อธรรม
และบรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง
แล้วพวกเขาก็ไม่ศรัทธา เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนแก่หมู่ชนที่เป็นอาชญากร
[10.14]
แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนในแผ่นดินหลังจากพวกเขาเหล่านั้น
เพื่อเราจะดูว่าพวกท่านจะปฏิบัติตนอย่างไร
[10.15]
และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว
บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า
ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน
ฉันจะไม่ปฏิบัติตามเว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริงฉันกลัวว่า
หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้วจะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
[10.16] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกท่าน และพระองค์จะไม่ให้พวกท่านได้รู้อัลกุรอานนั้น
แน่นอนฉันได้มีอายุอยู่ในหมู่พวกท่านมาก่อนนั้น พวกท่านไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ ?
[10.17] ดังนั้น
ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์
หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริงบรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
[10.18]
และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นไปจากอัลลอฮ์ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา
และมิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ
ที่อัลลอฮ์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮ์ด้วยสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้
ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ ? พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น
[10.19] และมนุษย์นั้นมิใช่อื่นใด
นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกัน แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน
และหากมิใช่ลิขิตได้บันทึกไว้ที่พระเจ้าของพวกเจ้าแล้ว แน่นอนก็คงถูกตัดสินระหว่างพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน
[10.20] และพวกเขากล่าวว่า
ทำไมอภินิหารจากพระเจ้าของเขาจึงไม่ถูกประทานมาให้เขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
แท้จริงสิ่งเร้นลับนั้นเป็นของอัลลอฮ์ พวกท่านจงคอยดูเถิด
แท้จริงฉันนั้นอยู่กับพวกท่านในหมู่ผู้คอยดู
[10.21] และเมื่อเราให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาหลังจากภยันตรายได้ประสบแก่พวกเขา
ดังนั้นพวกเขาก็มีอุบายต่อโองการต่างๆ ของเรา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
อัลลอฮ์ทรงรวดเร็วยิ่งในการแก้อุบาย
แท้จริงบรรดามลาอิกะฮ์ของเราจะบันทึกสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอุบายอยู่
[10.22] พระองค์ผู้ทรงทำให้พวกท่านเดินทางโดยทางบกและทางทะเล
จนกระทั่งเมื่อพวกท่านอยู่ในเรือและมันได้นำพวกเขาแล่นไปด้วยลมที่ดี
และพวกเขาดีใจกับมัน ทันใดนั้นลมพายุได้พัดกระหน่ำ
และคลื่นก็ซัดเข้ามายังพวกเขาจากทุกด้าน และพวกเขาคิดว่า
แท้จริงพวกเขาถูกล้อมด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ว่า
หากพระองค์ทรงให้เราพ้นจากภยันตรายนี้ โดยแน่นอนยิ่ง
พวกเราจะอยู่ในหมู่ผู้กตัญญูทั้งหลาย
[10.23] ครั้นเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขารอดมา
แล้วพวกเขาก็ทำความเสียหายในแผ่นดินโดยปราศจากความเป็นธรรม โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงการทำความเสียหายของพวกเจ้านั้นมันเป็นอันตรายต่อตัวของพวกเจ้าเอง
เป็นความเพลิดเพลินของชีวิตในโลกนี้เท่านั้น แล้วในที่สุดพวกเจ้าก็จะกลับไปหาเรา
แล้วเราจะแจ้งข่าวให้พวกเจ้าทราบถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
[10.24] แท้จริง อุปมาชีวิตในโลกนี้
ดั่งน้ำฝนที่เราได้หลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า พืชของแผ่นดินได้คละเคล้ากับน้ำนั้น
บางส่วนของมันมนุษย์และปศุสัตว์ใช้กินเป็นอาหาร
จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินได้เริ่มปรากฏความงดงามของมัน
และถูกประดับด้วยพืชผลอย่างสวยงาม เจ้าของของมันก็คิดว่า
แท้จริงพวกเขามีอำนาจเหนือมัน คำบัญชาของเราได้มายังมันในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน
แล้วเราได้ทำให้มันถูกเก็บเกี่ยวเสมือนกับว่าไม่มีการหว่านมาแต่วันวาน
เช่นนั้นแหละ เราได้จำแนกโองการต่าง ๆ แก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
[10.25]
และอัลลอฮ์ทรงเรียกร้องไปสู่สถานที่แห่งศานติ
และทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางที่เที่ยงธรรม
[10.26]
สำหรับบรรดาผู้กระทำความดีจะได้รับความดี และได้เพิ่มขึ้นอีก
ความหมองคล้ำและความต่ำต้อยจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์
พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
[10.27] และบรรดาผู้ขวนขวายทำความชั่ว
การตอบแทนความชั่วด้วยความชั่วเช่นเดียวกัน ความต่ำต้อยจะปกคลุมพวกเขา
ไม่มีผู้คุ้มกันพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮ์ได้
เสมือนว่าใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมไว้ด้วยส่วนหนึ่งของกลางคืนอันมืดทึบ
ชนเหล่านี้คือชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
[10.28] และวันที่เราชุมนุมพวกเขาทั้งหมด
แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า จงอยู่ ณ สถานที่ของพวกเจ้า
พวกเจ้าและบรรดาภาคีของพวกเจ้า แล้วเราได้แยกพวกเขาออกจากกัน
และบรรดาภาคีของพวกเขากล่าวว่า ไม่ควรเลยที่พวกท่านจะเคารพสักการะต่อเรา
[10.29] ดังนั้นจึงพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน
แน่นอนเรา (บรรดาภาคี) ไม่รู้เลยในการเคารพสักการะของพวกท่านต่อเรา
[10.30]
ขณะนั้นทุกชีวิตจะถูกสอบถึงสิ่งที่กระทำไว้ก่อน
และพวกเขาจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์พระเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมาจะหนีไปจากพวกเขา
[10.31] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกท่าน
หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตาย
และเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ แล้วพวกเขาจะกล่าวว่า
อัลลอฮ์ ดังนั้นจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านไม่ยำเกรงหรือ ?
[10.32] นั่นแหละอัลลอฮ์
พระเจ้าที่แท้จริงของพวกท่าน
ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น
แล้วทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกให้หันเหออกไปอีก ?
[10.33] เช่นนั้นแหละ ลิขิตของพระเจ้าของเจ้าย่อมเป็นจริงแก่บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนว่า
แน่แท้พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[10.34] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่านที่เป็นผู้เริ่มแรกในการให้บังเกิดแล้วให้มันบังเกิดอีก ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮ์ทรงเริ่มแรกในการให้บังเกิด แล้วทรงให้มันบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นทำไมพวกท่านจึงหันเหออกจากความจริงไป (สู่ความเท็จ) เล่า ?
[10.35] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่านเป็นผู้ชี้แนะทางสู่สัจธรรม ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางสู่สัจธรรม
ดังนั้นผู้ที่ชี้แนะทางสู่สัจธรรมสมควรกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติตาม (อิบาดะฮ์)
หรือว่าผู้ที่ไม่อาจจะชี้แนะผู้อื่นได้เว้นแต่จะถูกชี้แนะ
ทำไมพวกท่านจึงตัดสินใจเช่นนั้น ?
[10.36]
และส่วนใหญ่ของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการนึกคิด
แท้จริงการนึกคิดนั้นไม่อาจจะแทนความจริงได้แต่อย่างใด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
[10.37]
และอัลกุรอานนั้นมิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์
แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนกข้อบัญญัติต่างๆ ในนั้น
ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้นซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[10.38] หรือพวกเขากล่าวว่า เขา (มุฮัมมัด)
เป็นผู้ปั้นแต่งขึ้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น
และจงเรียกร้องผู้ที่พวกท่านสามารถนำมาได้นอกจากอัลลอฮ์ หากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง
[10.39]
แต่ว่าพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้มาก่อน และสัญญาร้ายยังมิได้มายังพวกเขา
เช่นนั้นแหละ บรรดาชนรุ่นก่อนจากพวกเขาได้ปฏิเสธมาแล้ว ดังนั้น เจ้าจงดูเถิดว่า
ผลสุดท้ายของพวกอธรรมนั้นเป็นอย่างไร ?
[10.40]
และในหมู่พวกเขามีผู้ศรัทธาในอัลกุรอาน และในหมู่พวกเขามีผู้ไม่ศรัทธา
และพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่ง ต่อบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย
[10.41] และถ้าพวกเขาปฏิเสธ (ไม่ยอมศรัทธา)
เจ้าจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) การงานของฉันก็เป็นของฉัน
และการงานของพวกท่านก็เป็นของพวกท่าน พวกท่านจงปลีกตัวออกจากสิ่งที่ฉันกระทำ
และฉันก็จะปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านกระทำ
[10.42] และในหมู่พวกเขามีผู้ฟัง
(การอ่านอัลกุรอาน) ของเจ้า เจ้าจะให้คนหูหนวกได้ยินกระนั้นหรือ ? และถึงแม้พวกเขาหูหนวกแต่ก็ไม่ใช้ปัญญา
[10.43] และในหมู่พวกเขามีผู้มองไปยังเจ้า
เจ้าจะชี้แนะทางให้คนตาบอดกระนั้นหรือ ? และถึงแม้พวกเขาตาบอดแต่ก็ไม่มีสายตาที่จะมองดู
[10.44] แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด
แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง
[10.45]
และวันที่พระองค์ทรงชุมนุมพวกเขาประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่นาน (ในโลกนี้)
เว้นแต่เพียงชั่วครู่เดียวในเวลากลางวัน พวกเขาทักทายซึ่งกันและกัน
แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮ์ย่อมขาดทุน
และพวกเขามิได้เป็นผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[10.46]
และบางคนที่เราจะให้เจ้าได้เห็นบางส่วน (ของการลงโทษ) ซึ่งเราสัญญาแก่พวกเขา
หรือเราจะให้เจ้าตายเสียก่อน ดังนั้นทางกลับของพวกเขาย่อมไปหาเรา
แล้วอัลลอฮ์ทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ
[10.47] และทุกประชาชาติมีร่อซู้ลถูกส่งมา
ดังนั้นเมื่อร่อซู้ลของพวกเขาได้มาแล้ว
กิจการระหว่างพวกเขาก็ถูกตัดสินโดยเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[10.48] และพวกเขาจะกล่าวว่า
เมื่อใดเล่าสัญญานี้ (จะปรากฏ) หากพวกท่านสัจจริง ?
[10.49] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่ตัวฉัน
เว้นแต่ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ สำหรับทุกประชาชาติย่อมมีเวลากำหนด
เมื่อเวลาของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าสักระยะหนึ่งไม่ได้
และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็มิได้
[10.50] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ ?
หากการลงโทษของพระองค์ประสบแก่พวกท่านในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน
ทำไมพวกอาชญากรเหล่านั้นจึงขอร่นเวลา
[10.51] ครั้นเมื่อมันเกิดขึ้น
พวกท่านก็ศรัทธาต่อพระองค์กระนั้นหรือ ? ขณะนี้
(พวกท่านศรัทธา) ก่อนหน้านั้นพวกท่าน (เยาะเย้ย) ขอร่นเวลา
[10.52] แล้วมีเสียงกล่าวแก่พวกอธรรมว่า
พวกท่านจงลิ้มรสการลงโทษอันจีรังเถิด พวกท่านจะไม่ถูกตอบแทน
เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านขวนขวายไว้เท่านั้น
[10.53] และพวกเขาจะสอบถามเจ้าว่า (การลงโทษ)
จะเกิดขึ้นจริงหรือ ?
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แน่นอนทีเดียว
ขอสาบานต่อพระเจ้าของฉัน แท้จริงมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
และพวกท่านไม่สามารถจะรอดไปได้
[10.54] หากทุกชีวิตที่อธรรม
(ครอบครองคลังสมบัติ) ที่อยู่ในแผ่นดิน มันก็จะยอมไถ่ตน
และพวกเขาก็จะซ่อนความเสียใจเมื่อได้เห็นการลงโทษ
และจะถูกตัดสินระหว่างพวกเขาอย่างเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแต่อย่างใด
[10.55] พึงทราบเถิด
แท้จริงในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พึงทราบเถิด
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่รู้
[10.56] พระองค์ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย
และยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป
[10.57] โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงข้อตักเตือน
(อัลกุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านแล้ว และ (มัน)
เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง
และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา
[10.58] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์ และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวนั้น
พวกเขาจงดีใจเถิด ซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมไว้
[10.59] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือซึ่งเครื่องยังชีพที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกท่าน
แล้วพวกท่านก็ทำให้บางส่วนเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) และบางส่วนเป็นที่อนุมัติ (หะลาล)
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) อัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้แก่พวกท่าน
หรือพวกท่านปั้นแต่งให้แก่อัลลอฮ์
[10.60]
และบรรดาผู้ที่ปั้นแต่งความเท็จให้แก่อัลลอฮ์จะนึกคิดอย่างไรในวันกิยามะฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้มีบุญคุณต่อมนุษย์ แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ขอบคุณ
[10.61]
และเจ้ามิได้อยู่ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด และเจ้ามิได้อ่านบางส่วนจากมันในอัลกุรอาน
และพวกท่านมิได้กระทำการใดๆ
เว้นแต่เราได้เป็นพยานแก่พวกท่านในขณะที่พวกท่านกำลังง่วนอยู่ในเรื่องนั้น
และจะไม่รอดพ้นจากพระเจ้าของเจ้า (การกระทำใดๆ) ที่มีน้ำหนักเท่าธุลีทั้งในแผ่นดินและในชั้นฟ้า
และที่เล็กกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น เว้นแต่อยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น
[10.62] พึงทราบเถิด
แท้จริงบรรดาคนที่อัลลอฮ์รักนั้น ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แก่พวกเขา
และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจ
[10.63] คือบรรดาผู้ศรัทธา
และพวกเขามีความยำเกรง
[10.64]
สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดีในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และในโลกหน้า
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในลิขิตของอัลลอฮ์ นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
[10.65]
และคำพูดของพวกเขาจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ แท้จริงอำนาจทั้งมวลนั้นเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
[10.66] พึงทราบเถิด
แท้จริงทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและทุกสิ่งในแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮ์
และบรรดาผู้วิงวอนขอสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์นั้นจะไม่ปฏิบัติตามภาคีเหล่านั้น
พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามเว้นแต่การคาดคิดเท่านั้น
และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากคาดคะเนขึ้น
[10.67] พระองค์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนให้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อนในมัน
และกลางวันเพื่อจะได้มองเห็น
แท้จริงในการนั้นแน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนที่ได้ยินเพื่อใคร่ครวญ
[10.68] พวกเขากล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งพระบุตร มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน พระองค์ทรงพอเพียงจากสิ่งใดๆ
ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและที่อยู่ในแผ่นดินเป็นของพระองค์
พวกท่านไม่มีหลักฐานใดๆ ในการกล่าวเช่นนี้
พวกท่านจะกล่าวร้ายต่ออัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้กระนั้นหรือ ?
[10.69] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์นั้น พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จดอก
[10.70] ความเพลิดเพลินในโลกนี้
แล้วพวกเขาก็กลับคืนมาสู่เรา
แล้วเราจะให้พวกเขาลิ้มรสการลงโทษอย่างหนักเพราะเหตุที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา
[10.71]
และเจ้าจงอ่านให้พวกเขาฟังถึงเรื่องราวของนบีนูห์ เมื่อเขา (นูห์)
กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้หมู่ชนของฉัน
หากว่าการพักอยู่ของฉันและการตักเตือนของฉันด้วยโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกท่านแล้ว
ดังนั้นฉันขอมอบหมายแด่อัลลอฮ์เท่านั้น
พวกท่านจงร่วมกันวางแผนของพวกท่านพร้อมกับบรรดาภาคีของพวกท่านเถิด
แล้วอย่าให้แผนของพวกท่านเป็นที่ปิดบังแก่พวกท่าน แล้วจงดำเนินการต่อฉันทันทีและอย่าได้ลังเลเลย
[10.72] หากพวกท่านผินหลังให้
ฉันมิได้ขอค่าตอบแทนใดๆ จากพวกท่าน แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮ์
และฉันถูกใช้ให้อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม
[10.73] แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธเขา (นูห์)
เราได้ช่วยให้เขาและผู้อยู่กับเขารอดพ้นไว้ในเรือ และเราได้ให้พวกเขาเป็นตัวแทน
(ในเวลาต่อมา) และเราได้ให้บรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราจมน้ำ
ดังนั้นเจ้าจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของพวกที่ถูกเตือนนั้นเป็นอย่างไร ?
[10.74] หลังจากเขา (นูห์) แล้ว
เราได้ส่งบรรดาร่อซู้ลไปยังประชาชาติของพวกเขา แล้วบรรดาร่อซู้ลเหล่านั้นได้นำหลักฐานอย่างชัดแจ้งมายังพวกเขา
แต่พวกเขามิได้ศรัทธาในสิ่งที่พวกเขาได้เคยปฏิเสธต่อนูห์มาก่อนแล้ว เช่นนั้นแหละ
เราได้ประทับตราบนหัวใจของบรรดาผู้ฝ่าฝืนเหล่านั้น
[10.75] หลังจากพวกเหล่านั้นแล้ว
เราได้ส่งมูซาและฮารูนไปยังฟิรเอาน์และบรรดาผู้นำของเขาด้วยสัญญาณทั้งหลายของเรา
พวกเขาก็เย่อหยิ่ง โอหัง โดยพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีความผิด
[10.76]
ครั้นเมื่อความจริงจากเราได้มายังพวกเขาแล้ว พวกเขาก็กล่าวว่า
แท้จริงนี่คือวิทยากลอันชัดแจ้ง
[10.77] มูซาได้กล่าวว่า
พวกท่านกล่าวร้ายต่อความจริงเมื่อมันได้มายังพวกท่านเช่นนั้นหรือ ? นี่หรือวิทยากล และนักวิทยากลนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จดอก
[10.78] พวกเขากล่าวว่า
ท่านมาหาเราเพื่อที่จะหันเหเราออกจากสิ่งที่เราได้พบเห็น (ศาสนา)
ของบรรพบุรุษของเรา
และเพื่อที่ความยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจะได้เป็นของท่านทั้งสองกระนั้นหรือ ? และเราจะไม่ศรัทธาต่อท่านทั้งสองเป็นแน่
[10.79] และฟิรเอาน์ได้กล่าวว่า
พวกท่านจงนำมาให้ฉัน นักวิทยากลผู้เชี่ยวชาญทุกคน
[10.80] เมื่อนักวิทยากลมาแล้ว
มูซาได้กล่าวกับพวกเขาว่า พวกท่านจงโยนสิ่งที่พวกท่านนำมาเพื่อจะโยนเถิด
[10.81] เมื่อพวกเขาได้โยนไปแล้ว
มูซาได้กล่าวว่า สิ่งที่พวกท่านนำมานั้นคือวิทยากล แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงทำลายมัน
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้การงานของบรรดาผู้บ่อนทำลายดีขึ้น
[10.82]
และอัลลอฮ์จะทรงให้สัจธรรมยืนหยัดอยู่ด้วยคำกล่าวของพระองค์
และแม้ว่าบรรดาคนชั่วจะเกลียดชังก็ตาม
[10.83] ไม่มีใครศรัทธาต่อมูซานอกจากลูกหลานบางคนจากกลุ่มชนของเขา
(บนีอิสรออีล)
เนื่องจากความกลัวต่อฟิรเอาน์และหัวหน้าของพวกเขาจะทำความวุ่นวายแก่พวกเขา
และแท้จริงฟิรเอาน์นั้นเป็นผู้หยิ่งผยองในแผ่นดิน
และแท้จริงเขาอยู่ในหมู่ผู้ละเมิด
[10.84] และมูซากล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน
หากพวกท่านศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พวกท่านก็จงมอบหมายต่อพระองค์
หากพวกท่านเป็นผู้ยอมจำนน
[10.85] พวกเขากล่าวว่า
แด่อัลลอฮ์เราขอมอบหมาย ข้าแต่พระเจ้าของเรา
ได้ทรงโปรดอย่าให้เราเป็นเครื่องทดลองสำหรับหมู่ชนผู้อธรรมเลย
[10.86]
และได้ทรงโปรดช่วยเราให้พ้นจากหมู่ชนผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยพระเมตตาของพระองค์ด้วยเถิด
[10.87]
และเราได้วะฮีย์ยฺมายังมูซาและพี่ชายของเขา (ฮารูน)
ให้จัดสร้างบ้านให้แก่กลุ่มชนของเจ้าทั้งสองในอียิปต์
และจงทำบ้านของพวกท่านเป็นกิบละฮ์ และจงดำรงการละหมาด
และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา
[10.88] และมูซาได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา
แท้จริงพระองค์ทรงประทานความสำราญและทรัพย์สินแก่ฟิรเอาน์และหัวหน้าของเขาในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ข้าแต่พระเจ้าของเรา โดยพวกเขาจะทำให้ (กลุ่มชน) หลงจากแนวทางของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงทำลายทรัพย์สินของพวกเขา และทรงโปรดทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างเพื่อมิให้พวกเขาศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด
[10.89] พระองค์ตรัสว่า
การวิงวอนของเจ้าทั้งสองถูกรับแล้ว เจ้าทั้งสองจงดำเนินตามแนวทางที่เที่ยงธรรม
และอย่าปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาผู้ไม่รู้
[10.90] และเราได้ให้บนีอิสรออีลข้ามทะเลพ้นไป
ดังนั้นฟิรเอาน์และพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขา (บนีอิสรออีล)
ไปโดยอธรรมและเป็นศัตรู จนกระทั่งเมื่อการจมน้ำมาถึงเขาแล้ว เขากล่าวว่า
ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด
นอกจากผู้ซึ่งบนีอิสรออีลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือคนหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม
[10.91] บัดนี้
และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย
[10.92] ดังนั้น
วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า
และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆ ของเรา
[10.93] และโดยแน่นอน
เราได้ให้บนีอิสรออีลพำนักอาศัยอยู่ ณ สถานที่อันดี
และเราได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีมากมายแก่พวกเขา
ดังนั้นพวกเขามิได้แตกแยกกันจนกระทั่งคัมภีร์ได้มายังพวกเขา
แท้จริงพระเจ้าของเจ้าจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮ์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน
[10.94] หากเจ้าอยู่ในการสงสัยในสิ่งที่เราได้ให้แก่เจ้า
ก็จงถามบรรดาผู้อ่านคัมภีร์ก่อนเจ้า (เตารอฮ์) โดยแน่นอน
สัจธรรมได้มายังเจ้าจากพระเจ้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัย
[10.95]
และเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์
ดังนั้นเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
[10.96] แท้จริงบรรดาผู้ที่พระดำรัส
(การลงโทษ) ของพระเจ้าของเจ้าได้บัญญัติแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[10.97]
และแม้ว่าทุกสัญญาณได้มายังพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะแลเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด
[10.98] ดังนั้น
ทำไมจึงไม่มีหมู่บ้านสักแห่งหนึ่งศรัทธาโดยที่การศรัทธาของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์แก่พวกเขา
นอกจากกลุ่มชนของยูนุส เมื่อพวกเขาศรัทธา
เราได้ปลดเปลื้องการลงโทษอันอัปยศจากพวกเขาในการมีชีวิตในโลกนี้
และเราได้ยืดเวลาระยะหนึ่งแก่พวกเขา
[10.99] และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แน่นอน ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา
เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ ?
[10.100] และมิเคยปรากฏว่าชีวิตใดจะศรัทธา
เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และพระองค์จะทรงลงโทษแก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา
[10.101] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
พวกท่านจงดูว่ามีอะไรในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และสัญญาณทั้งหลายและการตักเตือนทั้งหลายจะไม่อำนวยผลแก่กลุ่มชนที่ไม่ศรัทธา
[10.102] พวกเขาจะไม่คอยดูสิ่งใด
นอกจากการคอยดูเยี่ยงวันทั้งหลายของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเขา จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) พวกท่านจงคอยดูเถิด แท้จริงฉันจะเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้คอยดู
[10.103]
แล้วเราจะช่วยบรรดาร่อซู้ลของเราและบรรดาผู้ศรัทธาให้รอดพ้น
เช่นนั้นแหละเป็นหน้าที่เราที่เราจะช่วยบรรดามุอฺมินให้รอดพ้น
[10.104] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
โอ้มนุษย์เอ๋ย หากพวกท่านสงสัยในศาสนาของฉัน
ดังนั้นฉันจะไม่เคารพภักดีอื่นจากอัลลอฮ์ แต่ฉันจะเคารพภักดีอัลลอฮ์ผู้ทรงทำให้พวกท่านตาย
และฉันได้รับบัญชาให้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา
[10.105] และว่า
จงมุ่งหน้าของเจ้าเพื่อศาสนาอย่างเที่ยงตรง และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี
[10.106]
และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เจ้า
และไม่ให้โทษแก่เจ้า หากเจ้ากระทำเช่นนั้น แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม
[10.107]
และหากอัลลอฮ์จะทรงให้ทุกข์ภัยประสบแก่เจ้าแล้ว
ก็ไม่มีผู้ปลดเปลื้องมันได้นอกจากพระองค์
และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว
ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์
และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[10.108] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
โอ้มนุษย์เอ๋ย แน่นอนสัจธรรมจากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง แท้จริงเขาดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องเพื่อตัวของเขา
และผู้ใดหลงทาง แท้จริงเขาก็หลงทางเพื่อตัวของเขา
และฉันไม่ได้เป็นผู้คุ้มกันพวกท่าน
[10.109]
และเจ้าจงปฏิบัติตามที่ถูกวะฮีย์ยฺแก่เจ้า และจงอดทนจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงตัดสิน
และพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินที่ดียิ่ง
11. ซูเราะห์ฮูด
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[11.1] อะลีฟ ลาม รอ
คัมภีร์ที่โองการทั้งหลายของมันถูกทำให้รัดกุมมีระเบียบ แล้วถูกจำแนกเรื่องต่างๆ
อย่างชัดแจ้ง จากพระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญ
[11.2]
เพื่อพวกท่านต้องไม่เคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ แท้จริงฉันได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์มายังพวกท่าน
เพื่อเป็นผู้ตักเดือนและผู้แจ้งข่าว
[11.3]
และพวกท่านจงขอนิรโทษจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์
พระองค์จะทรงหใปัจจัยแก่พวกท่านซึ่งปัจจัยที่ไปจนถึงวาระหนึ่งที่กำหนดไว้และพระองค์จะทรงประทานแก่ทุก
ๆ ผู้ทำความดีซึ่งความดีของเขาและหากพวกท่านผินหลังให้ แท้จริงฉันกลัวแทน
พวกท่านซึ่งการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
[11.4]
การกลับของพวกท่านย่อมไปสู่อัลลอฮ์และพระองค์เป็นผู้ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่ง
[11.5]
พึงรู้เถิด แท้จริงพวกเขาปกปิดความลับในทรวงอกของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซ่อนความความเป็นศัตรูจากพระองค์
พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมตัวนั้น
พระองค์ทรงรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิด
และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผยแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 11 ]
ป้ายกำกับ: ญุซอ์ที่ 11, ยะอฺ ตะดิรูน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก