อัลกุรอานญุซอ์ที่ 8
ญุซอ์ที่
8
[6.111]
และแม้ว่าเราได้ให้มลาอิกะฮ์ลงมายังพวกเขา และบรรดาคนตายได้พูดกับพวกเขา
และเราได้รวบรวมทุกสิ่งไว้เบื้องหน้าพวกเขา ก็ใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธากัน
นอกจากอัลลอฮ์จะทรงประสงค์เท่านั้น แต่ทว่าส่วนมากในหมู่พวกเขานั้นไม่รู้
[6.112] และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน
คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน
ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ ขึ้นเถิด
[6.113]
และเพื่อที่หัวใจของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกจะได้โน้มเอียงไปสู่คำพูดที่ตกแต่งนั้นและเพื่อที่พวกเขาจะได้พึงพอใจในคำพูด
นั้น และเพื่อที่พวกเขาจะได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้กระทำกันอยู่
[6.114] อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาด ทั้ง ๆ
ที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด ? และบรรดาผุ้ที่เรา ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา นั้น พวกเขารู้ดีว่า
แท้จริงอัลกุรอ่านนั้นถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้า ด้วยความเป็นจริง
เจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
[6.115]
และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว
ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[6.116]
และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว
พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป
พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอา เอง
และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น
[6.117]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรู้ยิ่งต่อผู้ที่กำลังหลงไปจากท่ายของพระองค์
และเป็นผู้รู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่รับเอาคำแนะนำ
[6.118] ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่ง
ที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน เถิด
หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์
[6.119]
แลมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเข้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน
ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสิ่ง ที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้า
นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการ มันเท่านั้น
และแท้จริงมีผู้คนมากมายทำให้ผู้อื่นหลงผิดไป
ด้วยความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้แท้จริง
พระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรอบรู้ยิ่งต่อผู้ละเมิดทั้งหลาย
[6.120]
และพวกเจ้าจงสละซึ่งบาปที่เปิดเผยและบาปที่ปกปิด
แท้จริงบรรดาผู้ที่ขวนขวายกระทำสิ่งที่เป็นบาปกันอยู่นั้น พวกเขาจะได้รับการตอบแทน
ตามที่พวกเขากระทำกัน
[6.121]
และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์มิได้ถูกกล่าวบน มัน
และแท้จริงมัน เป็นการละเมิดแน่ๆ
และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย ของมัน เพื่อพวกเขา
จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา
แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6.122] และผู้ที่ตายแล้ว
แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น และเราได้ให้แสงสว่าง แก่เขาซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยที่มิใช่เป็นผู้ที่จะออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ
? ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงาม แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่
[6.123] และในทำนองนั้นแหละ
เราได้ให้มีขึ้นในแต่ละเมือง ซึ่งบรรดาบุคคลสำคัญ ๆ
เป็นผู้กระทำความผิดแห่งเมืองนั้นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้วางอุบายหลอกลวงในเมืองนั้น
และพวกเขาจะไม่วางอุบายหลอกลวง นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
แต่พวกเขาหารู้สึกไม่
[6.124] และเมื่อได้มีโองการใดมายังพวกเขาพวกเขาก็กล่าวว่า
เราจะไม่ศรัทธาเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้รับ
เยี่ยงสิ่งที่บรรดาร่อซู้ลของอัลลอฮ์ได้รับมาแล้ว อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง ณ
ที่ ที่พระองค์จะทรงให้มีสารของพระองค์ขึ้น
บรรดาความต่ำต้อยและการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮ์นั้น
จะประสบแก่บรรดาผู้ที่กระทำความผิด เนื่องจากการที่พวกเขาวางอุบายหลอกลวงกัน
[6.125]
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงต้องการจะแนะนำเขาก็จะทรงให้หัวอกของเขาเบิกบาน เพื่ออิสลาม
และผู้ใดที่พระองค์ทรงต้องการจะปล่อยให้เขาหลงทาง ก็จะทรงให้ทรวงอกของพวกเขาแคบ
อึดอัด ประหนึ่งว่าเขากำลังขึ้นไปยังฟากฟ้า
ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงให้มีความโสมม แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[6.126]
และนี่แหละคือทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยมีสภาพอันเที่ยงตรง
แท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายไว้ แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รำลึก
[6.127] สำหรับพวกเขา นั้น คือนิวาสแห่งความปลอดภัย
ในพระผู้เป็นเจ้าจองพวกเขา
แลบะขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นผู้คึ้มครองพวกเขาด้วยเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากระทำ
[6.128]
และวันที่พระองค์ตจะทรงชุมชนพวกเขาไว้ทั้งหมด (โดยตรัสขึ้นว่า) หมู่ญิณทั้งหลาย ! แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมาย และบรรดาสหายของพวกเขาจนหมู่มนุษย์ได้กล่วว่าข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์บางส่สนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วน
และพวกข้าพระองค์ก็ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลา
ของพวกข้าพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคอที่อยู่ของพวกเจ้า
โดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาลนอกจากสิ่ง ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้
[6.129]
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บางส่วนของผู้อธรรมทั้งหลายเป็นสหายกับอีกบางส่วน
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาขวนขวายกัน
[6.130] หมู่ญินและมนุษย์ทั้งหลาย!
บรรดาร่อซู้ลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าดอกหรือ? โดยที่พวกเขาจะบอกเล่าแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาโองการของข้า และเตือนพวกเจ้า ซึ่งบรรดาโองการของข้า และเพื่อนพวกเจ้า
ซึ่งการพบกับวัน ของพวกเจ้านี้ พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ขอยืนยันแก่ตัวของพวกเข้าพระองค์เอง
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา
และพวกเขาก็ได้ยืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองว่า
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[6.131] นั่นก็เพราะว่า
พระเจ้าของเจ้านั้นมิเคยเป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายด้วยความอธรรม โดยที่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่รู้อะไร
[6.132] และสำหรับแต่ละคนนั้นมีหลายระดังชั้น
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้และพระเจ้าของเจ้านั้นมิใช่เผลอไผลในสื่งที่พวกเขากระทำกัน
[6.133] และพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ทรงมั่งมี
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา หากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดสิ้นไป
และจะทรงให้สืบ แทนจากพวกเจ้า
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ดังที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากลูหลานของกลุ่มชนอื่น
[6.134] แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้
นั้นจะมาแน่นอน และพวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้
[6.135] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ประชาชาติของฉันทั้งหลาย!
จงปฏิบัติตามสภาพ ของพวกท่านเถิด แท้จริงฉันก็จะเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
และพวกท่านจะได้รู้ว่าใครกัน บั้นปลาย แห่งปรโลกจะเป็นของเขา
แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
[6.136]
และพวกเขาได้ให้มีส่วนหนึ่งสำหรับอัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้บังเกิดขึ้นอันได้แก่พืชและปศุสัตว์
โดยที่พวกเขากล่าวว่า นี้สำหรับอัลลอฮ์ตามการอ้างของพวกเขา
และนี้สำหรับบรรดาภาคีของพวกเรา
แล้วส่วนที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขานั้นก็จะไม่ถึงอัลลอฮ์
แต่ส่วนที่เป็นของอัลลอฮ์นั้นจะถึงบรรดาภาคีของพวกเขา ช่างชั่วช้าแท้ ๆ สิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน
[6.137] และในทำนองนั้นแหละ
บรรดาภาคีของพวกเขา นั้น ได้ทำให้สวยงามแก่จำวนมากมายในหมู่มุชริกีน ซึ่งการฆ่าลุก
ๆ ของพวกเขาเพื่อที่จะทำลายพวกเขา แลเพื่อที่จะให้สับสนแก่พวกเขา ซึ่งศาสนา
ของพวกเขา และแม้ว่าอัลลอฮ์ประสงค์ แล้วพวกเขาย่อมไม่กระทำมันเจ้า จงปล่อยพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จกันเถิด
[6.138] และพวกเขากล่าว่า
นี้คือปศุสัตว์ปละพืชผลที่หวงห้ามไว้
ซึ่งไม่มีใครจะบริโภคมันได้นอกจากผู้ที่เราประสงค์ เท่านั้น ด้วยการอ้างของพวกเขา
และปศุสัตว์ที่หลังของมันถูกห้าม และปศุสัตว์ ที่พวกเขาจะไม่กล่าวพระนามอัลลอฮ์บนมัน
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ ความเท็จแก่พระองค์
ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนลบงโทษพวกเขาใฝนสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้น
[6.139] และพวกเขากล่าวว่า
สิ่งที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์ เหล่านั้น เฉพาะบรรดาผู้ชายของเราเท่านั้น
และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแก่บรรดาภรรยาของเรา และหากว่ามัน ตาย พวกเขา พวกเขา
ก็เป็นผู้มีหุ้นส่วนในมัน และพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา
ในการที่เขาได้กำหนดลักษณะไว้ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้
[6.140] แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว
บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก ๆ ของพวกเขา เพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้
และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้เป็นปัจจัยบยังชีพแก่พวกเขา
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปแลพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ
[6.141] และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้มีขึ้น
ซึ่งสวนทั้งหลาย ทั้งที่ถูกให้มีร้านขึ้น และไม่ถูกให้มีร้านขึ้น และต้นอินทผาลัม
และพืชโดยที่ผลของมันต่างๆ กัน และต้นซัยตูน
และต้นทับทิมโดยที่มีความละม้ายคล้ายกัน และไม่ละม้ายคล้ายกัน
จงบริโภคจากผลของมันเถิดเมื่ออกผลและจงจ่ายส่วนอันเป็นสิทธิ ในมันด้วย
ในวันแห่งการเก็บเกี่ยวมัน และจงอย่าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
[6.142] และหลังจากหมู่ปศุสัตว์นั้น
(ได้ทรงให้มี) ที่ใช้บรรทุก และเชือด
จงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้เาถิดและจงอย่าตามก้าวเดิน
ของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้งของพวกเจ้า
[6.143] และ (ได้ทรงให้มี) สัตว์แปดตัวเป็นคู่
ๆ คือจากแกะสองตัว และจากแพะสองตัว จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัว
นั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม หรือว่า ตัวเมียสองตัวนั้น
หรือว่าทีมดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้
พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง หากพวกท่านพูดจริง
[6.144] และจากอูฐสองตัว
และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัวนั้น
กระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้งสอง
นั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้ หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่
ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้
ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
เพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด โดยไม่มีความรู้
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
[6.145] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน
นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร
แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิด ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน
ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหา และมิใช่ผู้ละเมิด แล้วไซร้
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[6.146] และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น
เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกัน และจากวัวและแกะนั้น
เราได้ห้ามแก่พวกเขา ซึ่งไขมันของมัน นอกจากไขมันที่หลังของมัน
หรือลำไส้ได้อุ้มไว้ หรือที่ปะปนอยู่ที่กระดูกนั่นแหละ เราได้ลงโทษพวกเขา
เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้พูดจริง
[6.147] หากพวกเขาปฏิเสธเจ้า
ก็จงกล่าวเถิดว่าพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวาง
และการลงโทษของพระองค์นั้นจะไม่ถูกโต้กลับให้พ้นจากกลุ่มชนที่กระทำความผิด
[6.148]
บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นนั้นจะกล่าวว่าหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ แล้วไซร้
พวกเราก็ย่อมไม่ให้มีภาคีขึ้น และทั้งบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วย
และพวกเราก็ย่อมไม่ให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม
ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ได้มุสาแล้ว จนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดกระนั้นหรือ
ฉะนั้นพวกเจ้าจงจะต้องนำมันออกมาให้แก่เรา พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใด
นอกจากการคาดคิดเอาเท่านั้น และพวกท่านไม่มีอื่นใด นอกจากจะกล่าวเท็จเท่านั้น
[6.149] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด
[6.150] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
พวกท่านจงนำมาซึ่งบรรดาพยานของพวกท่านที่จะยืนว่า แท้จริงฮัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสิ่งนี้
แล้วถ้าพวกเขา (เป็นพยาน) ยืนยัน
เจ้าก็อย่ายืนยันกับพวกเขาด้วยและอย่าตามความใคร่ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปกโลก
และขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้สิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระเจ้าของพวกเขา
[6.151] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่าท่านทั้งหลายจงมากันเถิด
ฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ห้ามไว้แก่พวกท่านคือ
พวกเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจริง ๆ และอย่าฆ่าลูกของพวกเจ้า
เนื่องจากความจนเราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และแก่พวกเขา และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า
ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และอย่าฆ่าชีวิต ที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้
นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา
[6.152]
และจงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้า นอกจากด้วยวิถีทางที่ดียิ่ง
จนกว่าเขาจะบรรลุวัยฉกรรจ์
และจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งด้วยความเที่ยงตรง
เราจะไม่บังคับชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นและเมื่อพวกเจ้าพูด ก็จงยุติธรรม
และแม้ว่าเขา จะเป็นญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม และต่อสัญญาของอัลลอฮ์นั้นก็จงปฏิบัติตามให้ครบถ้วย
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[6.153]
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด
และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์
นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
[6.154]
แล้วเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาทั้งนี้เป็นการครบถ้วน แก่ผู้ที่กระทำดี
และเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อเป็นการแนะนำ และเป็นการเอ็นดูเมตตา
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อการพบกับพระเจ้าของพวกเขา
[6.155] และนี้แหละคือคัมภีร์
ที่มีความจำเริญซึ่งเราได้ให้คัมภีร์ลงมายังเจ้า จงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด
และจงยำเกรง เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา
[6.156] (มิเช่นนั้น) พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานลงมาให้แก่สองพวก เท่านั้น ก่อนหน้าพวกข้าพระองค์และแท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องในการอ่านของพวกเขา
[6.157] หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น หากได้มีคัมภีร์ถูกประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์แล้วไซร้
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ในคำแนะนำดียิ่งกว่าพวกเขา
แท้จริงนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้วจากพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้ง
และคำแนะนำและการเอ็นดูเมตตา
ดังนั้นใครเล่าคือผู้อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติบรรดาโองการของอัลลอฮ์และผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้น
เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ผินหลังให้แก่โองการทั้งหลายของเรา ซึ่งการลงโทษอันชั่วช้า
เนื่องจากการที่พวกเขาผินหลังให้
[6.158] พวกเขามิได้รอคอยอะไร
นอกจากการที่มลาอิกะฮ์จะมายังพวกเขา หรือการที่พระเจ้าของเจ้าจะมา
หรือการที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้าจะมา
วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น
จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด
ซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ
ไว้ในการศรัทธาของเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงรอกันเถิด
แท้จริงพวกเราก็เป็นผู้รอคอย
[6.159]
แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า
(มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น
ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6.160] ผู้ใดที่นำความดีมา
เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน
นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[6.161] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
แท้จริงฉันนั้น พระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
คือศาสนที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง และเขา (อิบรอฮีม)
ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6.162] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน
และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
[6.163] ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์
และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้ และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย
[6.164] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาพระเจ้า? ทั้ง ๆ
ที่พระองค์นั้นเป็นพระเจ้าของทุกสิ่ง และแต่ละชีวิตนั้นจะไม่แสวงหาสิ่งใด
นอกจากจะเป็นภาระแก่ชีวิตนั้นเองเท่านั้น และไม่มีผู้แบกภาระคนใดจะแบกภาระของผู้อื่นได้แล้วยังพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
คือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
[6.165]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดิน
และได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้น เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
7. ซูเราะห์อัล-อะอ์รอฟ
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[7.1] อะลิฟ ลาม มีม ศอด
[7.2] มีคัมภีร์ฉบับหนึ่ง
ซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า
ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า
ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน (ผู้คน) และเพื่อเป็นข้อเตือนใจ
แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[7.3] พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด
และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใดๆ อื่นจากพระองค์
ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรำลึก
[7.4]
และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันโดยที่การลงโทษของเราได้มายังเมืองนั้น
ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนในเวลาบ่าย
[7.5] มิปรากฏว่า
พวกเขาวิงวอนขออื่นใดขณะที่การลงโทษของเราได้มายังพวกเขา นอกจากการที่พวกเขากล่าว
(สารภาพ) ว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์เป็นผู้อธรรม
[7.6]
แน่นอนเราจะถามบรรดาผู้ที่ถูกร่อซู้ลไปยังพวกเขา
และแน่นอนเราจะถามบรรดาร่อซู้ลทั้งหลายด้วย
[7.7] แน่นอนเราจะนำความรู้มาเล่าให้พวกเขาฟัง
และเราไม่เคยหายไปไหน
[7.8]
และการชั่งเป็นความจริงผู้ใดที่ตราชูของเขาหนักชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ
[7.9]
และผู้ใดที่ตราชูของเขาเบาชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ก่อความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
เนื่องจากการที่พวกเขามิได้ให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาโองการของเรา
[7.10] และแท้จริงนั้น
เราได้ให้พวกเจ้ามีที่พำนักอยู่ในแผ่นดิน และเราได้ให้มีขึ้นแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาเครื่องยังชีพในผืนแผ่นดินนั้น ส่วนน้อยของพวกเจ้าเท่านั้นที่ขอบคุณ
[7.11] และแท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้า
แล้วเราได้ให้พวกเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงสุยูดแก่อาดัมเถิด แล้วพวกเขาก็สุยูดกัน นอกจากอิบลิสเท่านั้น
มิปรากฏว่ามันอยู่ในหมู่ผู้สุยูด
[7.12] พระองค์ตรัสว่า
อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุยูด ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า
ข้าพระองค์ดีกว่าเขา โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จาไฟ
และได้บังเกิดเขาจากดิน
[7.13] พระองค์ตรัสว่า จงลงจากสวนนั้นไปเสีย
ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น
จงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย
[7.14] มันกล่าวว่า
โปรดผ่อนผันข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด
[7.15] พระองค์ตรัสว่า
แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน
[7.16] มันกล่าวว่า
ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด
แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์
[7.17] แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขา
จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขาและจากเบื้องขวาของพวกเขา
และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น
เป็นผู้ขอบคุณ
[7.18] พระองค์ตรัสว่า จงออกจากสวนนั้น
ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน และถูกขับไล่ ข้าสาบานว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า
ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัมทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด
[7.19] และพระองค์ตรัสว่า อาดัมเอ๋ย ! ทั้งเจ้าและคู่ครองเจ้าจงอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด แล้วจงบริโภค ณ
ที่ใดก็ได้ที่เจ้าทั้งสองประสงค์และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้
(มิเช่นนั้นแล้ว) เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่อธรรม
[7.20]
แล้วชัยฏอนก็ได้กระซิบกระซาบแก่ทั้งสองนั้นเพื่อที่จะเผย
แก่เขาทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปิดบังแก่เขาทั้งสองไว้
อันได้แก่สิ่งอันถึงละอายของเขาทั้งสอง และมันได้กล่าวว่า
พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงหวงห้ามท่านทั้งสอง ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ (เพราะอื่นใด)
นอกจากการที่ท่านทั้งสองจะกลายเป็นมลาอิกะฮ์
หรือไม่ก็กลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาลเท่านั้น
[7.21] และมันได้สาบานแก่ทั้งสองนั้นว่าแท้จริง)
นอยู่ในพวกที่แนะนำท่านทั้งสอง
[7.22]
แล้วเราก็ทำให้ทั้งสองนั้นตกอยู่ในสิ่งที่มันต้องการ อันเนื่องจากการหลอกลวง
ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสต้นไม้ต้นนั้นแล้ว สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง
ก็เผยให้ประจักษ์แก่เขาทั้งสอง และเขาทั้งสองก็เริ่มปกปิดบน (ส่วนที่น่าละอาย)
ของเขาทั้งสองจากใบไม้แห่งสวนสวรรค์ นั้น
และพระเจ้าของเขาทั้งสองจึงได้เรียกเขาทั้งสอง (โดยกล่าวว่า)
ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับต้นไม้นั้นดอกหรือ? และข้ามิได้กล่าวแก่เจ้าทั้งสองดอกหรือว่า
แท้จริงชัยฏอน นั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งแก่เจ้าทั้งสอง
[7.23] เขาทั้งสองได้กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกเข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ได้อธรรมแก่ตัวของพวกข้าพระองค์เอง
แลถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์และเอ็นดูเมตตาแก่ข้าพระองค์แล้ว
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็ต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน
[7.24] พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงลงกันไปโดยที่บางส่วนของพวกเจ้า คือ
ศัตรูกับอีกบางส่วนและในแผ่นดินนั้นมีที่พำนัก
และสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าจนถึงระยะเวลาหนึ่ง
[7.25] พระองค์ตรัสว่า
ในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะตาย และจากแผ่นดินนั้นและพวกเจ้าจะถูกออกมาอีก
[7.26] ลูกหลานอาดัมเอ๋ย!
แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งเครื่องนุ่งห่มทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม
และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั่นคือสิ่งที่ดียิ่งนั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์
เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก
[7.27] ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย!
จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้า
เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว
โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่มของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอายของเขาทั้งสองแท้จริงทั้งมัน
และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน
แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[7.28]
และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ พวกเขาก็กล่าวว่า
พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา
และอัลลอฮ์ก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก
พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?
[7.29] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงผินให้ตรงซึ่งใบหน้าของพวกเจ้า ณ ทุก ๆมัสยิด
และจงวินวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้มอบอิบาดะฮ์ทั้งหลายแด่พระองค์โดยบริสุทธิ์ใจ
เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าแต่แรกนั้น พวกเจ้าก็จะกลับไป
[7.30] พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้
และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด
แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์
และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ
[7.31] ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย ! จงเอาเครื่องประดับกายของพวกเจ้า ณ ทุกมัสยิดและจงกินและจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย
แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย
[7.32] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่าผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้าม ซึ่งเครื่องประดับร่างกาย จากอัลลอฮ์
ที่พระองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดาสิ่งดี ๆ
จากปัจจัยยังชีพ จงกล่าวเถิด (มุฮัมัด) ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธา
ในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ (และสำหรับพวกเขา) โดยเฉพาะ ในวันกิยามะฮ์
ในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายแก่ผู้ที่รู้
[7.33] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า
แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามนั้น คือบรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ
ทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย และสิ่งที่เป็นบาป
และการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม
และการที่พวกเจ้าให้เป็นภาคแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ
ลงมาแก่สิ่งนั้น และการที่พวกเจ้ากล่าวให้ภัยแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้
[7.34]
และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่ง ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว
พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้ และจะขอให้เร็วไป (สักชั่วโมงหนึ่ง)
ก็ไม่ได้
[7.35] ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ! ถ้ามีบรรดาร่อซู้ลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้วผู้ใดที่ยำเกรงและปรับปรุงแก้ไขแล้วก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆแก่พวกเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
[7.36]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและแสดงโอหังเหล่านั้นชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
[7.37]
แล้วผู้ใดเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโหลกความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์
ชนเหล่านี้แหละส่วนของพวกเขาที่ถูกกำหนดไว้นั้นก็จะได้แก่พวกเขา
จนกว่าบรรดาฑูตของเราที่จะเอาชีวิตของพวกเขาได้มายังพวกเขาโดยกล่าวว่า ไหนเล่าสิ่ง
ที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์? พวกเขาก็กล่าวว่า
เขาเหล่านั้นได้หายหน้าไปจากเราเสียแล้ว และพวกเขาได้ยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า
พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[7.38] พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงเข้าไปในหมู่ประชาชาติที่ได้ล่วงลับมาก่อนพวกเจ้าทั้งที่เป็นญิน
(บังเกิดมาจากไฟ) และมนุษย์ ซึ่งอยู่ในไฟนรกนั้นเถิด
ทุกครั้งที่มีกลุ่มชนหนึ่งเข้าไป พวกเขาก็สาปแช่งพี่น้องของพวกเขา
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้ไปทันกันในไฟนรกนั้นทั้งหมด แล้ว กลุ่มหลังสุดของพวก
เขาก็กล่าวแก่กลุ่มแรกของพวกเขาว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ชนเหล่านี้แหละได้ทำให้พวกข้าพระองค์หลงผิด
ดังนั้นโปรดได้ทรงนำมาแก่พวกเขา ซึ่งการลงโทษสองเท่าจากไฟนรกด้วยเถิด
พระองค์ตรัสว่า แต่ละกลุ่มนั้นจะได้รับสองเท่า แต่ทว่าพวกเจ้าไม่รู้
[7.39] และกลุ่มแรกของพวกเขา
ได้กล่าวแก่กลุ่มหลังว่า พวกท่านไม่มีความที่เด่นใด ๆ เหนือพวกเรา ดังนั้นพวกท่านจงชิมการลงโทษ
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหากันไว้เถิด
[7.40] แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่าง
ๆของเรา และได้แสดงโอหังต่อโองการเหล่านั้น
บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์
จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้ และในทำนองนั้นแหละ
เราจะตอบแทนลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด
[7.41] สำหรับพวกเขานั้น คือ
ที่นอนจากนรกญะฮันนัม และจากเบื้องบนของพวกเขานั้น มีสิ่งคลุมครอบอยู่
และในทำนองนั้นแหละเราจะตอบแทนลงโทษแก่บรรดาผู้อธรรม
[7.42]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นเราไม่บังคับชีวิตใด
นอกจากที่ชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นชนเกล่านี้แหละคือชาวสวรรค์
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นชั่วนิรันดร์
[7.43]
และเราได้ถอนออกซึ่งการผูกใจเจ็บที่อยู่ในหัวอกของพวกเขา (คือชาวสวรรค์)
โดยมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่ภายใต้ของพวกเขาและพวกเขาได้กล่าวว่า
การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงแนะนำพวกเราให้ได้รับสิ่งนี้
และใช่ว่าพวกเราจะได้รับคำแนะนำก็หาไม่ หากว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงแนะนำแก่พวกเรา
แน่นอนบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเรานั้นได้นำความจริงมาและพวกเราได้ถูกป่าวร้องว่า
นั้นแหละคือสวนสวรรค์โดยที่พวกท่านได้รับมันไว้เป็นมรดก
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าเคยกระทำกันไว้
[7.44]
และชาวสวรรค์ได้ร้องเรียกชาวนรกว่าแท้จริงพวกเราได้พบแล้วว่าสิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เราไว้นั้นเป็นความจริง
และพวกท่านได้พบสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้เป็นความจริงไหม? พวกเขากล่าวว่า
เป็นความจริงแล้วมีผู้ประกาศคนหนึ่งได้ประกาศขึ้นในระหว่างพวกเขาว่า
ขอละอ์นัตของอัลลอฮ์จงมีแต่ผู้อธรรมทั้งหลายเถิด
[7.45] คือบรรดาผู้ที่ขัดขวางทางของอัลลอฮ์
และปรารถนาให้ทางนั้นคดเคี้ยว และต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาปฏิเสธศรัทธา
[7.46] และระหว่างพวกเขานั้นมีกำแพงกั้น
และบนส่วนสูงของกำแหงนั้นมีบรรดาชายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขารู้จัก (พวกนั้น) ทั้งหมด
ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา (ชาวสวรรค์) และพวกเขาได้เรียกชาวสวรรค์ (โดยกล่าวว่า)
ขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดโดยที่พวกเขา ยังมิได้เข้าสวนสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็ปรารถนาอย่างแรงกล้า
[7.47]
และเมื่อบรรดาสายตาของพวกเขาถูกหันไปทางชาวนรก พวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
โปรดอย่าได้ทรงให้พวกข้าพระองค์ร่วมอยู่กับกลุ่มผู้อธรรมเหล่านั้นเลย
[7.48]
และบรรดาผู้ที่อยู่บนส่วนสูงของกำแพงนั้นได้ร้องเรียกชายกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขารู้จักพวกนั้นได้ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา
(ชาวนรก) โดยกล่าวว่ามันย่อมไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านเลยซึ่งการสะสม (ทรัพย์)
ของพวกท่านและการที่พวกท่านหยิ่งยะโส
[7.49]
ชนเหล่านี้ใช่ไหมคือผู้ที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ว่า อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้ได้แก่พวกเขาซึ่งความเอ็นดูเมตตาใด
ๆ พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์กันเถิดโดยปราศจากความกลัวใด ๆ แก่พวกเจ้า
และทั้งพวกเจ้าก็จะไม่เสียใจ
[7.50] และชาวนรกได้ร้องเรียกชาวสวรรค์ว่า
จงเทน้ำมาให้แก่พวกเราด้วยเถิด
หรือไม่ก็สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่านด้วย เขาเหล่านั้นกล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงให้สิ่งทั้งสองนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[7.51]
คือบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และเป็นของเล่น
เลแชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ก็ได้หลอกลวงพวกเขาด้วย
ดังนั้นวันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง
ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันของพวกเขานี้และการที่พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเขา
[7.52]
และแท้จริงนั้นเราได้นำคัมภีร์ฉบับหนึ่งมาให้แก่พวกเขาแล้ว
ซึ่งเราได้แจกแจงคัมภีร์นั้นด้วยความรอบรู้ ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อแนะนำ
และเป็นการเอ็นดูเมตตาแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา
[7.53] เขาเหล่านั้นมิได้คอยอะไร
นอกจากผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์นั้นเท่านั้น วันที่ผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์จะมานั้น
บรรดาผู้ที่ได้ลืมคัมภีร์มาก่อนจะกล่าวว่า
แท้จริงบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเราได้นำความจริงมาแล้ว
มีบรรดาผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเราบ้างไหม ซึ่งพวกเขาจะได้ขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา
หรือไม่ก็ให้พวกเราถูกนำกลับไปใหม่
แล้วพวกเราก็จะได้ปฏิบัติอื่นจากที่พวกเราเคยปฏิบัติมา
แน่นอนพวกเขาได้ยังความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นนั้นได้หายหน้าจากพวกเขาไป
[7.54] แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ
อัลลออฮืผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน
แล้วสถิตย์อยู่บนลังลังก์พระองค์ทรงให้กลางคืนครองคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว
และทรงสร้างดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์
และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้กำหนดทำหน้าที่บริการ ตามพระบัญชาของพระองค์
พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
มหาบริสุทธิ์อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7.55]
พวกเจ้าจงวิงวอนต่อพระเตจ้าของพวกเจ้าในสภาพถ่อมตนและปกปิด
แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิด
[7.56] และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน
หลังจากได้มีการปรับปรุงแกไขมันแล้วและจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรงและความปรารถนาอันแรงกล้า
แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
[7.57]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงส่งลงมาเป็นข่าวดีเบื้องหน้าความเอ็นดูเมตตาของพระองค์จนกระทั่งเมื่อมันได้แบกเมฆอันหนักอึ้งไว้
เราก็นำมันไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น
แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บรรดาผู้ที่ตายแล้วออกมา หวังว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[7.58] และเมืองที่ดีนั้นพืชของมันจะงอกออกมา
ด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของมัน
และเมืองที่ไม่ดีนั้นพืชของมันจะไม่ออกนอกจากในสภาพแกร็น ในทำนองนั้นแหละ
เราจะแจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่ขอบคุณ
[7.59]
และแท้จริงเราได้ส่งนูฮ์ไปยังประชาชาติของเขา แล้วเขาได้กล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉันจงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิดไม่มีผู้ได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน
[7.60]
บรรดาชนชั้นนำในหมู่ประชาชนของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเขาเห็นท่านอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[7.61] เขากล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความหลงผิดใด ๆ อยู่ที่ฉัน แต่ทว่าฉัน คือฑูตคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7.62] โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันจะชี้แจงและนำให้แก่พวกท่าน
และฉันรู้จากอัลลอฮ์สิ่งที่พวกท่านไม่รู้
[7.63] และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่านเพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน
และเพื่อที่พวกท่านจะได้ยำเกรง และเพื่อว่าพวกท่านจะได้รับการเอ็นดูเมตตา
[7.64] แล้วพวกเขาได้ปฏิเสธนูฮ์ ภายหลังเรา
ได้ช่วยเขา และบรรดาผู้ที่อยู่กับเขาในเรือให้รอดนั้น
และเราได้ให้บรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราจมน้ำ
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นกลุ่มชนที่มืดบอด
[7.65] และยังประชาชาติอ๊าดนั้น เราได้ส่งฮูด
ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไปเขากล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์ พวกท่านไม่ยำเกรงดอกหรือ?
[7.66]
บรรดาชนชั้นนำที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่ประชาชาติของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเราเห็นท่านอยู่ในความโฉดเขลา และแท้จริงพวกเราแน่ใจว่าท่านนั้นเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้มุสา
[7.67] เขากล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความโฉดเขลาใด ๆ อยู่ที่ฉัน แต่ทว่าฉันคือร่อซู้ลคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7.68] โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันนั้นเป็นผู้แนะนำที่ซื่อตรงแก่พวกท่าน
[7.69] และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน
เพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน และพวกท่านจงรำลึกเถิด
ขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผุ้สืบช่วงแทน มาหลังจากประชาชาติของนูฮ์
และได้ทรงเพิ่มพละกำลังแก่พวกท่านในการบังเกิด
ดังนั้นพวกท่านถึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[7.70] พวกเขากล่าวว่า ที่ท่านมหาพวกเรานั้น
เพื่อว่าเราจะได้เคารพสักการะอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว
และละทิ้งสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราะคยเคารพสักการะมากระนั้นหรือ? จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเรามายังพวกเราเถิดหากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง
[7.71] เขากล่าวว่า
แน่นอนได้เกิดขึ้นแล้วแก่พวกท่าน ซึ่งการลงโทษ
และความกริ้วโกรธจากระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจะโต้เถียงฉันในบรรดาชื่อ ที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งมันขึ้นมาเอง
โดยที่อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ มาสำหรับชื่อเหล่านั้น กระนั้นหรือ? ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยเถิดแท้จริงฉันร่วมกับพวกท่านด้วยในหมู่ผู้รอคอย
[7.72] แล้วเราได้ช่วยเขา
และบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับเขาให้รอดพ้น ด้วยความเอ็นดูเมตตาจากเรา แลเราได้ตัดขาด
ซึ่งคนสุดท้ายของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และมิเคยปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา
[7.73] และยังประชาชาติซะมูตนั้น
เราได้ส่งซอและฮ์ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แน่นอนได้มีหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้วนี้คืออูฐตัวเมัยของอัลลอฮ์ในฐานะเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันกินในแผ่นดินของอัลลอฮ์เถิด และจงอย่าแตะต้องมันด้วยการทำร้ายใด
ๆเลยจะเป็นเหตุให้การลงโทษอันเจ็บแสบคร่าพวกท่านเสีย
[7.74]
และพวกท่านจงรำลึกขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทนมาหลังจากชาวอ๊าด
และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น
โดยยึดเอาจากที่ราบอขงมันเป็นวัง และสกัดภูเขาเป็นเป็น
พวกท่านพึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิด
และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย
[7.75]
บรรดาชั้นชั้นนำที่แสดงโอหังจากประชาชาติของเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอ
(กล่าวคือ) แก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขากล่าว่าพวกท่านรู้กระนั้นหรือว่า
แท้จริงซอและฮ์นั้นเป็นผู้ถูกส่งมาจากพระเจ้าของเขา
พวกเขากล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นผู้ศรัทธาต่อสิ่งที่เขาถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
[7.76] บรรดาผู้ที่แสดงโอหังกล่าวว่า
แท้จริงเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ต่อสิ่งที่พวกท่านได้ศรัทธากัน
[7.77] และพวกเขาก็ตัดขาดอูฐตัวเมียตัวนั้นและได้ละเมิดคำสั่ง
แห่งพระเจ้าของพวกเจ้า และได้กล่าวว่าโอ้ซอและฮ์ ! จงนำสิ่ง
ที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเราไว้มาให้แก่พวกเราเถิด
ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซู้ล
[7.78]
และความไวอย่างแรงของแผ่นดินก็ได้เคร่าพวกเขา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา
[7.79] แล้วเขาก็หันออกไปจากพวกนั้น
และกล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว
ซึ่งสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านด้วย
แต่ทว่าพวกท่านไม่ชอบบรรดาผู้ชี้แจงแนะนำ
[7.80] และจงรำลึกถึงลูฏขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า
ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ
ซึ่งๆม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้นหรือ?
[7.81]
แท้จริงพวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิงยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย
[7.82]
และคำตอบแห่งประชาชาติของเขานั้นมิปรากฏเป็นอื่นใด นอกจากการที่พวกเขากล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกเขาออกไปจากเมืองของพวกท่านเสีย
แท้จริงพวกเขาเป็นพวกที่บริสุทธิ์
[7.83]
และเราได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขาให้รอดพ้น นอกจากภรรยาของเขาเท่านั้น ซึ่งนางปรากฏอยู่ในหมู่ที่คงอยู่
(เพื่อรับการลงโทษ)
[7.84]
และเราได้ให้ฝนตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้าจงดูเถิดว่า
ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็นอย่างไร?
[7.85] และยังประชาชาติมัดยันนั้น
เราได้ส่งชุอัยบ์ ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน! จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะสำหรับพวกท่านอีแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านนั้นได้มายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งเถิด
และจงอย่าให้ขาดแก่เพื่อมนุษย์ซึ่งบรรดาสิ่งของของพวกเขา
หลังจากที่มีการแก้ไขมันแล้ว
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกท่านหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
[7.86] และพวกท่านอย่านั่งในทุกหนทาง
โดยทำการขู่และสกัดกั้นให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ผู้ซึ่งศรัทธาต่อพระองค์
และพวกท่านยังปรารถนาให้ทางของอัลลอฮ์คต และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่านมีจำนวนน้อย
แล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกท่านมีจำนวนมากขึ้น
และพวกท่านจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้นเป็นอย่างไร?
[7.87]
และถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกท่านศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
และอีกกลุ่มหนึ่งมิได้ศรัทธาแล้วก็จงอดทนไปเถิดจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงชี้ขาดระหว่างเรา
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 8]
ป้ายกำกับ: ญุซอ์ที่ 8, วะลา อันนะนา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก