วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อัลกุรอานญุซอ์ที่ 1

อัลกุรอานแปลเป็นภาษาไทย โดยสมาคมศิษย์เก่าอาหรับ
เวบไซท์มุสลิมไทยดอทคอม

 

ญุซอ์ที่1


1. ซูเราะห์อัลฟาติหะฮ์

 ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี
[1.1] ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาปรานี
[1.2] มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย
[1.3] ผู้ทรงยิ่งในความเมตตา ผู้ทรงยิ่งในความกรุณา
[1.4] ผู้ทรงสิทธิอำนาจในวันตอบแทน
[1.5] เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอนมัสการ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ
[1.6] โปรดชี้นำเราสู่แนวทางอันเที่ยงตรงด้วยเถิด
[1.7] แนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ ได้ทรงโปรดปรานแก่พวกเขา มิใช่แนวทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ (แนวทางของ) พวกที่หลงผิด
* บทนี้ คำกล่าว บิสมิลลา ฮิรเราะห์ มานิร เราะ ฮีม เป็นอายะห์ที่ 1 ของบท
(บางบท (ซูเราะห์) เช่น ซูเราะห์เตาบะห์ ไม่มีการกล่าว
 บิสมิลลา ฮิรเราะห์ มานิร เราะ ฮีม นำก่อนอ่านตัวบท


2. ซูเราะห์อัล-บะก่อเราะฮ์

 ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี
[2.1] อะลีฟ ลาม มีม
[2.2] นี่คือคัมภีร์ (ของอัลลอฮ์) ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น มันเป็นทางนำ สำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้า
[2.3] ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย และพวกเขาดำรงการนมาซ และใช้จ่าย (ในหนทางของเรา) จากสิ่งที่เรา ได้ประทานให้แก่พวกเขา
[2.4] ผู้ที่ศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เจ้า และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมา ก่อนหน้าเจ้า และเชื่อมั่นในโลกหน้า
[2.5] คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อยู่บนทางนำ จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
[2.6] แท้จริง สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ (สิ่งเหล่านี้) นั้นย่อมเสมอกันกับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะตักเตือน พวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[2.7] อัลลอฮ์ ได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขา และหูของพวกเขา และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มี สิ่งปกปิดอยู่ และสำหรับคนพวกนี้ ก็คือการลงโทษอันมหันต์
[2.8] และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย แต่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาเลย
[2.9] พวกเขา พยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ศรัทธา แต่พวกเขาไม่ได้หลอกลวงใคร นอกจากพวกเขาเอง และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่
[2.10] ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรค ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงได้เพิ่มโรคนั้นให้มากขึ้น และการลงโทษอันเจ็บปวด จะมีไว้สำหรับพวกเขา สำหรับการที่พวกเขาโกหก
[2.11] เมื่อใดก็ตามที่ได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงอย่าสร้างความเสียหาย ขึ้นในแผ่นดิน พวกเขาจะตอบว่า แท้จริงแล้ว เราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก
[2.12] จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง พวกเขาเป็นผู้ก่อความเสียหาย แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่
[2.13] และเมื่อได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงศรัทธาอย่างจริงใจ เหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายศรัทธา พวกเขาจะกล่าวว่าจะให้เราศรัทธาเหมือนกับ ผู้ที่โฉดเขลาศรัทธากระนั้นหรือ จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขาเองนั่นแหละที่โฉดเขลา แต่พวกเขาหารู้ไม่
[2.14] และเมื่อพวกเขา ได้พบบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็เป็นผู้ศรัทธา แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหัวโจกของพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า แท้จริง เราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงแต่ จะเยาะเย้ยคนพวกนี้เท่านั้น
[2.15] (พวกเขา หาได้ตระหนักสักนิดไม่ว่า) อัลลอฮ์กำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่ และทรงปล่อยให้พวกเขาดื้อดึงต่อไป ในความระเหระหนอย่างมืดบอด
[2.16] เหล่านี้คือ คนที่แลกเปลี่ยนความหลงผิดกับทางนำ แต่นี่เป็นการค้าที่ไม่ก่อกำไร และพวกเขา ก็ไม่ได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง
[2.17] สภาพของพวกเขาอาจอุปมาได้ดังชายคนหนึ่งได้จุดไฟขึ้น และเมื่อมันส่องสว่างสิ่งที่รอบ ๆเขา อัลลอฮ์ก็ได้เอาแสงสว่างนั้น ออกไปจากตาของพวกเขา และปล่อยพวกเขาไว้ในความมืดทึบ ที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด
[2.18] พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่กลับมา (ยังหนทางที่ถูกต้อง)
[2.19] หรือ (สภาพของพวกเขา ยังอาจอุปมาได้) ดั่งฝนหนักที่กำลังตกมาจากฟากฟ้า ที่ตามมาด้วยความมืดทึบ ฟ้าร้องและฟ้าแลบ (เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฟ้าลั่น) พวกเขา ก็เอานิ้วมืออุดหูของพวกเขา ให้พ้นจากเสียงฟ้าผ่า เพราะหวาดกลัวความตาย (แต่พวกเขาลืมไปว่า) อัลลอฮ์ นั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน
[2.20] สายฟ้าแลบ ทำให้พวกเขาตกใจ ราวกับว่ามันจะเฉี่ยวเอาการมองเห็น ไปจากพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาเห็นแสง พวกเขาก็เดินคืบหน้าไป แต่เมื่อมันมืดทึบแก่พวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน และถ้าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขา และการเห็นของพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพ เหนือทุกสิ่ง
[2.21] มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว
[2.22] ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์
[2.23] และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา ก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้ สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง (ในความสงสัยก็จงทำ)
[2.24] แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง
[2.25] และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป
[2.26] บรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่าอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร โดยคำเปรียบเทียบนี้ อัลลอฮ์ ทรงปล่อยให้หลายคนหลงทาง และทรงนำทางหลายคน สู่หนทางที่ถูกต้องโดยสิ่งเดียวกันนี้ แต่พระองค์ มิได้ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงนอกจากผู้ฝ่าฝืน
[2.27] ผู้ทำลายสัญญาของอัลลอฮ์ หลังจากที่รับรองมันแล้ว และผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญชาให้สัมพันธ์ และผู้ก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดิน เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ขาดทุน
[2.28] สูเจ้า ปฏิเสธอัลลอฮ์ได้อย่างไร ในเมื่อความจริงแล้ว สูเจ้าไม่มีชีวิตมาก่อน แล้วพระองค์ได้ทรงให้ชีวิตแก่สูเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ จะทรงทำให้สูเจ้าตาย แล้วทำให้สูเจ้ามีชีวิตอีก แล้วสูเจ้า จะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[2.29] พระองค์ คือผู้ทรงสร้าง ทุกสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อสูเจ้า แล้วพระองค์ ได้ทรงหันไปยังท้องฟ้า และทรงจัดลำดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง
[2.30] จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่า แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้
[2.31] แล้วพระองค์ ได้ทรงสอนอาดัม ถึงนามของทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ ได้ทรงนำมันมาเสนอต่อมลาอิกะฮ์ และถามว่า จงบอกแก่ฉันซึ่งชื่อของสิ่งเหล่านี้ ถ้าสูเจ้าแน่ใจ (ในการคิดว่า การแต่งตั้งตัวแทน จะก่อให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย)
[2.32] บรรดามลาอิกะฮ์ตอบว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ เราไม่มีความรู้อันใด นอกจากที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาน
[2.33] พระองค์จึงกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย จงบอกนามของสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา (เมื่ออาดัม ได้บอกพวกเขาถึงนามของสิ่งเหล่านั้นแล้ว) พระองค์ได้ทรงประกาศว่า ฉันมิได้บอกสูเจ้าหรือว่า ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับ แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันรู้ดียิ่ง ถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผย และที่สูเจ้าปิดบัง
[2.34] แล้วพระองค์ได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงคำนับอาดัม มลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้คำนับ นอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธไม่ยอมทำ มันยโสโอหังและเป็นผู้ปฏิเสธ
[2.35] และเราได้กล่าวว่า อาดัมเอ๋ย เจ้าและคู่ครองของเจ้า จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ และจงกินตามความพอใจของเจ้าทั้งสอง จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ มิเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้ละเมิด
[2.36] แต่ต่อมา มารร้ายได้หลอกลวงทั้งสอง ด้วยต้นไม้นั้น (เพื่อมิให้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา) และได้นำเขาทั้งสอง ออกจากสภาพที่เคยอยู่ และเราได้ประกาศว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ เจ้าต่างเป็นศัตรูกัน และเจ้าจะมีที่พัก และปัจจัยยังชีพบนโลก ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
[2.37] ในเวลานั้น อาดัมได้เรียนถ้อยคำที่เหมาะสมจากพระผู้อภิบาลของเขา และสำนึกผิด ดังนั้น พระองค์ จึงได้รับการสำนึกผิดของเขา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2.38] (ก่อนที่อาดัมจะออกจากสวนสวรรค์) เราได้กล่าวว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ และถ้ามีทางนำจากฉันมายังเจ้า แล้วผู้ใด ปฏิบัติตามทางนำของฉัน พวกเขา ก็จะไม่มีความหวาดกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม
[2.39] และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่ออายะฮ์ทั้งหลายของเรา พวกเขาก็คือสหายของไฟ ที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น
[2.40] โอ้วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปราน ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกสูเจ้า และจงปฏิบัติ ตามสัญญาของฉันให้ครบ ส่วนฉัน จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่ทำกับพวกสูเจ้าให้ครบด้วย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกสูเจ้าต้องเกรงกลัว
[2.41] และจงศรัทธา (ในกุรอาน) ที่ฉันได้ประทานลงมา เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่สูเจ้ามีอยู่ และจงอย่าแลกเปลี่ยน อายะฮ์ทั้งหลายของฉัน ด้วยราคาเพียงเล็กน้อย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่สูเจ้าจะต้องสำรวมตน
[2.42] และจงอย่าเคล้าความจริง ด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริง ทั้งๆที่เจ้ารู้อยู่
[2.43] และจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต และจงโค้งคำนับต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับ
[2.44] สูเจ้า กำชับคนอื่นให้ปฏิบัติตามคุณธรรม แต่สูเจ้า กลับลืมตัวเองกระนั้นหรือ ทั้งๆที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์ แล้วสูเจ้ายังไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ
[2.45] และจงขอความช่วยเหลือ ด้วยความอดทนและการนมาซ แน่นอน การนมาซนั้นเป็นงานหนัก แต่ไม่ใช่กับบรรดาผู้ถ่อมตน
[2.46] ผู้ที่ตระหนักว่าในที่สุด พวกเขาจะได้พบ กับพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์
[2.47] วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย จงรำลึก ถึงความโปรดปรานของฉัน ที่ฉันได้ให้แก่สูเจ้า และจงจำไว้ว่า ฉันได้ยกย่องสูเจ้า เหนือประชาชาติทั้งหลาย
[2.48] และจงสำรวมตนต่อวันหนึ่ง เมื่อชีวิต หนึ่งไม่สามารถที่จะช่วยแทน อีกชีวิตหนึ่งได้ และการขอไถ่แทนจากใคร ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ และก็จะไม่มีใครถูกไถ่แทน และคนผิด ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใครด้วย
[2.49] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ช่วยสูเจ้า ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของคนฟิรฺเอาน์ ผู้กดขี่สูเจ้า ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส พวกเขา ฆ่าลูกชายของสูเจ้า และไว้ชีวิตลูกหญิงของสูเจ้า และในนี้ คือการทดสอบอันใหญ่หลวง สำหรับสูเจ้า จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า
[2.50] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้แยกน้ำทะเล เพื่อนำทางให้สูเจ้า และให้พวกสูเจ้าผ่านทางนั้น ไปได้โดยปลอดภัย และเราได้ทำให้บริวารของฟิรฺเอาน์ จมน้ำไปต่อหน้าต่อตาของสูเจ้า
[2.51] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้เชิญมูซาเป็นเวลา 40 คืน หลังจากที่มูซาไม่อยู่ พวกสูเจ้าก็ได้เอาลูกวัวขึ้นบูชา ดังนั้น พวกสูเจ้าจึงเป็นผู้อธรรม
[2.52] แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้ยกโทษให้สูเจ้า หลังจากนั้นเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้ขอบคุณ
[2.53] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่ (สูเจ้ากำลังสร้างความอธรรม) เรา ได้ประทานคัมภีร์ และเกณฑ์ตัดสินสิ่งถูก และสิ่งผิดแก่มูซา เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้อยู่ในทางนำ
[2.54] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าว แก่ประชาชนของเขาว่า ประชาชนของฉันเอ๋ย แท้จริง พวกท่าน ได้กระทำผิดต่อตัวพวกท่านเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้น พวกท่าน ควรจะหันไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน เพื่อขอลุแก่โทษ และจงฆ่าผู้กระทำผิดในหมู่พวกท่าน นี่เป็นการดีที่สุด สำหรับพวกท่าน ในสายตาของพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน แล้วพระองค์ ได้ทรงนิรโทษสูเจ้า เพราะพระองค์ คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2.55] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้าได้กล่าวว่า มูซาเอ๋ย เราจะไม่เชื่อท่าน จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮ์ (พูดกับท่าน) ด้วยตาเราเอง ทันใดนั้นเอง สายฟ้าก็ได้ฟาดลงมายังพวกสูเจ้า ในขณะที่สูเจ้ากำลังมองอยู่ จนสูเจ้าล้มสิ้นชีวิตไป
[2.56] หลังจากนั้น เราก็ได้ให้สูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้ขอบคุณ สำหรับความโปรดปรานอันนี้
[2.57] (จงนึกถึงเมื่อ) เราได้ให้เมฆมายังสูเจ้า และเราได้ประทาน มันนะและซัลวา เป็นอาหารสำหรับสูเจ้า และกล่าวว่า จงกินจากสิ่งที่ดี ที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า (แต่กระนั้นก็ตาม บรรดาบรรพบุรุษของสูเจ้า ก็ยังละเมิดคำบัญชาของเรา) อย่างไรก็ตาม พวกเขามิได้อธรรมต่อเรา หากแต่พวกเขาอธรรม ต่อตัวของพวกเขาเอง
[2.58] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้กล่าวว่า จงเข้าไปยังเมืองนี้ และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง ตามที่สูเจ้าต้องการ แต่จงเข้าประตูไปอย่างนอบน้อม และจงกล่าวคำ ฮิตเตาะตุน แล้วเราจะอภัยความผิดของสูเจ้า และเราจะเพิ่มพูนรางวัล แก่ผู้ประกอบการดี
[2.59] แต่บรรดาผู้อธรรม ได้เปลี่ยนถ้อยคำที่ถูกกล่าวแก่เขา ให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น เราจึงได้ส่งการลงโทษจากเบื้องบน มายังบรรดาผู้อธรรม ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน
[2.60] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซา ได้ขอน้ำดื่มเพื่อประชาชนของเขา แล้วเราได้กล่าวว่า จงเอาไม้เท้าของเจ้า ฟาดหินก้อนนั้น ซึ่งทำให้มีน้ำพุพุ่งออกมา จากมันสิบสองตา ดังนั้น ผู้คนจากทุกเผ่า จึงได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกเขา (แล้วพวกเขาได้ถูกสั่งว่า) จงกิน และจงดื่ม จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้ และจงอย่าเป็นผู้ก่อการเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน
[2.61] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เรา ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่าน จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศ และความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะ เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด
[2.62] จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม
[2.63] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้า และเราได้ยกตูรฺขึ้นเหนือสูเจ้า และกล่าวว่า จงยึดมั่น ต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้า และจงรำลึกถึง (หลักธรรมคำสอน) ที่อยู่ในนั้น เพื่อที่สูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว
[2.64] แต่แม้หลังจากนั้น สูเจ้าจะละทิ้งสัญญาก็ตาม หากมิใช่ความโปรดปราน และความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อสูเจ้าแล้ว สูเจ้า จะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน
[2.65] และพวกสูเจ้า ก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่สูเจ้า ที่ละเมิดวันเสาร์ เรา จึงได้กล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า จงเป็นลิงที่ถูกรังเกียจ
[2.66] ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้น และแก่คนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือน สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว
[2.67] และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าวแก่คนของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงบัญชาพวกท่าน ให้เชือดวัวตัวหนึ่ง พวกเขาตอบว่า ท่านกำลังล้อเล่นกับเราใช่ไหม มูซาตอบว่า ฉัน ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ให้พ้นจากการประพฤติเยี่ยงผู้โง่เขลา
[2.68] แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า จงขอพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกรายละเอียดให้กระจ่างด้วย ว่ามันเป็นอย่างไร มูซาได้กล่าวว่า พระองค์ตรัสว่า เป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่ และไม่อ่อน แต่เป็นวัววัยปานกลาง ดังนั้น จงทำตามที่ท่านถูกบัญชาเถิด
[2.69] พวกเขาได้ถามต่อไปอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกถึงสีของวัว ให้เป็นที่กระจ่างแก่เราด้วย มูซาได้ตอบว่า พระองค์ตรัสว่า วัวตัวนั้น ควรจะมีสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น
[2.70] พวกเขายังกล่าวอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้กำหนดชนิดของวัวที่ต้องการ ให้แก่เรา เพราะวัวนั้น มีลักษณะคล้ายกันโดยทั่วไป แล้วเรา จะได้หามันพบ ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์
[2.71] มูซากล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า วัวตัวนั้นเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถ ให้ไถดิน และไม่เคยถูกใช้ให้ทดน้ำเข้านา เป็นวัวที่สมบูรณ์ ปราศจากตำหนิตามตัว แล้วพวกเขาก็ร้องออกมาว่า ท่านได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงได้เชือดวัวตัวนั้นพลี โดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ
[2.72] และจงนึก เมื่อตอนที่สูเจ้าฆ่าชายคนหนึ่ง และสูเจ้าก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่อัลลอฮ์ก็ได้นำเรื่อง ที่สูเจ้าปิดบังออกมาเปิดเผย
[2.73] ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า จงฟาดศพของคนที่ถูกฆ่า ด้วยส่วนหนึ่งของวัวที่ถูกเชือดพลี จงดูว่าอัลลอฮ์ ทรงทำให้คนตาย กลับฟื้นมีชีวิตได้อย่างไร และพระองค์ ได้ทรงแสดงสัญญาณให้เห็น เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เข้าใจ
[2.74] แต่ถึงแม้จะได้เห็นสัญญาณเหล่านี้แล้วก็ตาม หัวใจของสูเจ้าก็ยังกระด้างเป็นหินหรือยิ่งกว่าหินเสียอีก อย่างไรก็ตาม ในบรรดาหินนั้นก็มีบางก้อนที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากมัน และมีบางก้อนที่แตกออกและมีน้ำไหลออกมา แล้วก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮ์ และอัลลอฮ์มิทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
[สิ้นสุดญุซอ์ที่ 1]


ป้ายกำกับ: ,

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก