วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ที่มาของเดือนอาหรับ

ที่มาของเดือนอาหรับ (ชื่อเดือน)
Written by อาลี เสือสมิง
        าวอาหรับนับแต่สมัยโบราณได้อาศัยดวงจันทร์ในการกำหนดปฏิทินของตน (ด้วยการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดการเริ่มเดือนใหม่) ปฏิทินของชาวอาหรับจึงเป็นแบบจันทรคติ (Lunation) ในขณะที่ปฏิทินสากลที่นิยมกันเป็นแบบสุริยคติ (Calender)? จำนวนเดือนของชาวอาหรับมี 12 เดือน และกำหนดชื่อเดือนจากสภาพภูมิอากาศ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวอาหรับในยุคโบราณ ซึ่งมักจะสอดคล้องกับช่วงเวลาในการตั้งชื่อเดือนในจำนวนสิบสองเดือนนั้น
        มีอยู่สี่เดือนด้วยกันที่มีลักษณะพิเศษ เรียกขานกันว่าบรรดาเดือนต้องห้าม อันได้แก่ เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ , ซุ้ลฮิจยะห์ , อัลมุฮัรรอม เดือนทั้งสามนี้มีช่วงเวลาต่อเนื่องกัน และเดือนที่สี่คือ เดือนร่อญับ ซึ่งเว้นช่วงเป็นเอกเทศ ในช่วงเดือนทั้งสี่นี้ถือเป็นช่วงเวลาปลอดสงครามและการรุกรานในระหว่างชนชาติอาหรับด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อบัญญัติที่เป็นมรดกตกทอดในการจัดระเบียบสังคม นับจากยุคของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.ล.) และท่านศาสดาอิสมาอีล (อ.ล.) และรายชื่อของแต่ละเดือนที่ชาวอาหรับเรียกขานในภาษาตน เรียงตามลำดับได้แก่

        1. เดือนอัลมุฮัรรอม (اَلْمُحَرَّمُ) ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า เดือนที่ถูกต้องห้าม สิ่งที่ถูกต้องห้ามในเดือนนี้ คือ การทำสงคราม ตลอดจนการละเมิดในชีวิตทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย การปล้นสะดมภ์ เป็นต้น เดือนนี้มีช่วงเวลาการติดต่อกับเดือนแห่งการประกอบพิธีฮัจญ์ (เดือนซุ้ลฮิจญะห์) ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์ในเดือนซุ้ลฮิจญะห์แล้ว ชาวอาหรับจากทุกสารทิศที่มุ่งมาประกอบพิธีฮัจญ์ ก็จำต้องอาศัยช่วงเวลาในเดือนมุฮัรรอมเพื่อเดินทางกลับสู่มาตุภูมิของตนโดยได้รับความปลอดภัยจากการคุกคามในทุกรูปแบบตามเส้นทางขากลับ ทั้งนี้เดือนอัลมุฮัรรอมนับเป็นเดือนลำดับที่ 1 ของปฏิทินอาหรับ ? อิสลาม อยู่ระหว่างเดือนซุ้ลฮิจญะห์กับเดือนซอฟัร

        2. เดือนซอฟัร (صَفَر) เป็นเดือนลำดับที่สองของปฏิทินอาหรับทางจันทรคติ อยู่ระหว่างเดือนอัลมุฮัรรอมกับเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะมีรากศัพท์เดิมว่า "ว่างเปล่า" , "ปราศจาก" ทั้งนี้คำว่า อัซซอฟรุ่ , อัซซุฟรุ , อัซซิฟรุ มีความหมายว่า "ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย" หรือ "ศูนย์" นั่นเอง บ้างก็แปลว่า "หิวโหย" หรือ "ความหิว"  ชาวอาหรับมักจะกล่าวว่า อัซซ่อฟารอนี่ (الصَّفَرَانِ) ซึ่งหมายถึงเดือนอัลมุฮัรรอมและเดือนซ่อฟัร บ้างก็กล่าวว่า ถ้าหากชาวนครมักกะห์เดินทางในช่วงเดือนนี้ นครมักกะห์ก็จะร้างผู้คนหรือแทบจะหาคนอาศัยในมักกะห์ไม่ได้เลย เพราะชาวมักกะห์โดยส่วนใหญ่จะออกเดินทางไปยังเขตปริมณฑลนอกนครมักกะห์ บ้างก็อธิบายว่าชาวอาหรับที่ถูกรุกรานและปล้นสะดมภ์ เรียกว่าริบทุกอย่างจนไม่มีเหลือ

        3. เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล (رَبِيْعُ الأَوَّل) เป็นเดือนลำดับที่สาม เหตุที่เรียกชื่อเช่นนี้เป็นไปได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ตรงกับฤดูกาลแรกที่ต้นไม้ใบหญ้าผลิใบเต็มท้องทุ่งที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้เพราะคำว่า ร่อบีอุนฺ (رَبِيْعٌ) มีรากศัพท์ที่หมายถึง อุดมสมบูรณ์ , เขียวชอุ่ม และชาวอาหรับซึ่งนิยมเลี้ยงอูฐและปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ มักจะนำเอาสัตว์ออกไปยังทุ่งหญ้าในช่วงเวลาของเดือนนี้ เมื่อสมัยโบราณที่มีการตั้งชื่อเดือน

        4. เดือนร่อบีอุ้ลอาคิร (رَبِيْعُ الآخِر) หรือ ร่อบีอุซซานีย์ (رَبيْعُ الثَّانِيْ) เป็นเดือนอาหรับลำดับที่ 4 เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ อันอุดมสมบูรณ์ต่อเนื่องจากเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ซึ่งจะมีฝนตกชุกมากกว่าเดือนอื่นๆ

        5. เดือนญุมาดา อัลอูดา (جُمَادٰىالأُوْلى) เดือนลำดับที่ 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติในครั้งโบราณ เมื่อแรกตั้งชื่อเดือนนั้น ตรงกับช่วงเวลาที่สภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง กันดาร และร้อนจัด จนกระทั่งแหล่งน้ำที่ได้จากตาน้ำนั้นเหือดแห้ง ฝูงอูฐและปศุสัตว์ที่ให้น้ำนมนั้นก็จะมีอาการอืดอาด ยืดยาด เพราะขาดน้ำ น้ำนมที่ได้จากสัตว์ เช่นอูฐ เป็นต้น ก็พาลหายากไปด้วย เพราะสัตว์ไม่มีน้ำนม ฝนฟ้าก็ขาดช่วง

        6. เดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ (جُمَادٰىالآخِرة) เป็นเดือนลำดับที่ 6 อยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอูลา และเดือนร่อญับ เหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ก็คงเพราะยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนจัดที่แห้งแล้ง และน้ำที่ใช้ดื่มกินและเลี้ยงปศุสัตว์หายากเต็มที เนื่องจากฝนขาดช่วงมาตั้งแต่เดือนก่อนหน้านี้ ตาน้ำก็แห้งขอดเหมือนตาที่ไร้น้ำตาจะไหลริน ว่ากันอย่างนั้น

        7. เดือนร่อญับ (رَجَب) เป็นเดือนลำดับที่ 7 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ กับเดือนชะอ์บาน คำว่า ร่อญับ มีรากศัพท์ในภาษาอาหรับที่หมายถึง ละอาย , เกรงกลัว , ครั่นคร้าม ชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่า ร่อญับ เพราะยกย่องและให้ความสำคัญต่อเดือนนี้เป็นอันมาก นับแต่ยุคอัลญาฮีลียะห์ (ยุคก่อนอิสลามอันเป็นยุคแห่งอวิชชา) และถือว่าเดือนนี้เป็นหนึ่งในสี่เดือนต้องห้ามที่แยกเป็นเอกเทศ เมื่อชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่า อัรร่อญะบานี (اَلرَّجَبَانِ)
        เดือนร่อญับทั้งสอง ก็หมายถึง เดือนร่อญับกับเดือนชะอ์บานที่ถัดมา ในเดือนร่อญับนี้ ชาวอาหรับมักจะหาไม้หรือนั่งร้านมาค้ำยันต้นอินทผลัม เพราะลำต้นของมันจะอ่อนแอ และโยกคลอนเพราะขาดน้ำในช่วงเดือนก่อนหน้านี้ ชาวอาหรับมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า "อิช ร่อญ่าบัน ต้ารอ อะญะบัน  (عِشْ رَجَبًاتَرَعَجَبًا)" ซึ่งแปลได้ว่า "จงมีชีวิตอยู่ในช่วงเดือนร่อญับ ท่านก็จักประจักษ์ความแปลกประหลาดอันชวนพิศวง"  หรือในอีกสำนวนหนึ่งแบบขาโจ๋ว่า "อยู่ให้ถึงร่อญับ ก็จักได้เห็นดี (แบบคาดไม่ถึงทีเดียวเชียว)"

        8. เดือนชะอ์บาน (شَعْبَانُ) เดือนลำดับที่ 8 ตามปฏิทินจันทรคติ กล่าวกันว่าแรกเริ่มเดิมทีเมื่อตอนตั้งชื่อเดือนนั้น ชาวอาหรับจะพากันออกจากเผ่าเพื่อแยกย้ายกันออกค้นหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการดื่มกินและเลี้ยงสัตว์ หลังจากที่ต้องทนลำบากกับช่วงฤดูร้อนที่ขาดแคลนน้ำ และต้องระวังรักษาตัวให้ห่างไกลจากความผิดใดๆ อันจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนร่อญับซึ่งเป็นเดือนต้องห้าม คำว่า ชะอ์บาน มีรากศัพท์ในภาษาอาหรับซึ่งหมายถึง "การกระจาย" , แยกย้าย การส่งคนออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และการห่างไกลจากเพื่อนฝูง

        9. เดือนร่อมาฎอน (رَمَضَانُ) เดือนลำดับที่ 9 ตามปฏิทินจันทรคติของชาวอาหรับ อันเป็นเดือนสำคัญสำหรับชาวมุสลิมในการประกอบศาสนกิจประการที่ 4 จากมุขบัญญัติทั้ง 5 ประการ นั่นคือ การถือศีลอด (อัซซิยาม , อัเซาวมฺ) ชาวมุสลิมในบ้านเรา (สยามไงล่ะ) นิยมเรียกกันว่า "เดือนบวช" ซึ่งเป็นการเรียกแบบอนุโลมตามจารีตของภาษาที่ชาวมุสลิมบ้านเรารู้กัน มิได้หมายมุ่งจะเอาความหมายตามพจนานุกรมภาษาไทยแต่อย่างไร ทั้งนี้เพราะคำว่า บวช เป็นกริยา หมายถึง ถือเพศเป็นภิกษุสามเณรหรือนักพรตอื่นๆ ในคำสอนของอิสลามไม่มีเพศของภิกษุหรือนักพรตอย่างในศาสนาอื่น แต่คงอนุโลมใช้ตามนัยยะที่บ่งว่า บวช นั้นหมายความกว้างๆ ถึงการสำรวมในอินทรีย์ (กาย , วาจา , ใจ) งดรับประทานอาหาร และการร่วมประเวณีกับภรรยาของตน ตามช่วงกำหนดเวลาที่แน่นอน กล่าวคือนับแต่แสงอรุณจริงขึ้นเรื่อยไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยมีเจตนาที่แน่นอน

        ซึ่งมองดูภาพในลักษณะที่ปรากฏจากการบวชของชาวมุสลิมในช่วงเดือนร่อมาฎอน แล้วก็เคร่งครัดไม่แพ้ผู้ถือเพศบรรพชิตทั้งหลาย เพียงแต่มุสลิมมิใช่บรรพชิตหรือนักบวชอย่างคนในศาสนาอื่นเท่านั้น สำหรับเหตุที่เรียกชื่อเดือนลำดับที่ 9 ตามปฏิทินของชาวอาหรับว่า "ร่อมาฎอน" นั้น กล่าวกันว่า เป็นเพราะเมื่อแรกตั้งชื่อเดือนนี้นั้นพอดีตรงกับช่วงเวลาที่อากาศของเมืองอาหรับร้อนจัดเป็นที่สุด (ร้อนหูฉี่) ทั้งนี้รากศัพท์ของคำว่า "ร่อมาฎอน" มีความหมาย "ร้อนจัด" (อัรร่อมัฎ - اَلرَّمَضُ) หรือ "ร้อนจนเกือบลุกเป็นไฟ" และดวงอาทิตย์ในช่วงเวลานั้นกระทำองศากับพื้นทรายในท้องทะเลทรายแบบจังๆ บ้างก็กล่าวว่ามีรากศัพท์มาจาก อัรรอมฎออฺ (اَلرَّمْضَاءُ) ซึ่งหมายถึงความรุนแรงของความร้อน (ร้อนจัดนั่นแหละ) บ้างก็บอกว่า เดือนนี้ซึ่งผู้คนทำการถือศีลอด และขะมักเขม้นประกอบคุณงามความดีจะเผาผลาญกิเลสและความชั่วทั้งปวง

        10. เดือนเชาว๊าล (شَوَّال) เดือนลำดับที่ 10 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนร่อมาฎอนกับเดือนซุ้ลเกาะดะห์ว่ากันว่าเหตุที่ชาวอาหรับตั้งชื่อเดือนนี้ว่า "เชาว๊าล" ก็เพราะอูฐตัวเมียจะยกหางของมันชี้เด่ในเดือนนี้ (อ่านแล้วอย่าคิดลึกจนเกินเหตุ หางที่ว่าเนี๊ยะ หางอูฐนะจ้ะ) ในภาษาอาหรับเรียกอูฐตัวเมียว่า อันนาเกาะห์ (اَلنَّاقَةُ) เพราะรูปทรงของนางอูฐนั้นสูงชะลูดและมักจะว่านอนสอนง่ายฝึกฝนให้เชื่องไม่ลำบากนัก ซึ่งผู้เขียนก็มิอาจทราบได้ว่าด้วยเพราะเหตุอันใด พอเวลาเข้าเดือน "เชาว๊าล" ทีไร คุณนางอูฐเธอถึงต้องกระดกหาง บางทีอาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ประดาอูฐหนุ่มได้กระชุ่มกระชวยในเรื่องอย่างว่าก็เป็นได้ (ฮิ!ฮิ!)

        11. เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ (ذُوالقَعْد) หรือ ซุ้ลกิอฺดะห์ (ذُوْالقِعْدَةِ) เดือนลำดับที่ 11 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนเชาว๊าลกับเดือนซุ้ลฮิจญะห์ คำว่า อัลเกาะอ์ดะห์ (اَلقَعْدَةُ) ใส่สระ ฟัตฮะห์ที่อักษรก๊อฟ หมายถึง "นั่งหนึ่งครั้ง" หรือเสื่อที่ปูนั่ง ส่วนคำว่า อัลกิอฺดะห์ (اَلقِعْدَةُ) - ใส่สระกัซเราะห์ที่อักษรก๊อฟ  หมายถึง ขนาดพื้นที่ซึ่งผู้นั่งกินพื้นที่เวลานั่ง แต่ถ้าอ่านว่า อัลกุอดะห์ (اَلقُعْدَةُ) ใส่สระฎอมมะห์ที่อักษรก๊อฟ จะหมายถึงสัตว์พาหนะที่ผู้เลี้ยงใช้ขี่ทำธุระ

        เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลเกาะอ์ดะห์ หรือ ซุลกิอฺดะห์ (เรียกได้ทั้งสองชื่อนั่นแหละ บ่ผิดดอก) ก็เพราะว่าชาวอาหรับจะนั่งจับเจ่า (คงจะหมายถึง ระงับ ละเลิก) จากเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานเผ่าอื่น การพิพาท การปล้นสะดมภ์ ตลอดจนการออกเสาะแสวงหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์ นับเป็นหนึ่งในสี่ของเดือนต้องห้าม (อัลอัชฮุรุ้ล ฮุรุม) และในช่วงเวลาการประกอบพิธีฮัจญ์ในเดือนถัดมา (ซุ้ลฮิจญะห์) ฉะนั้นจึงต้องมีช่วงเวลาที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสำหรับผู้ที่เดินทางสู่นครมักกะห์ตามเส้นทางสู่ประกอบการพิธี "ฮัจญ์"

        12. เดือนซุ้ลฮิจญะห์ (ذُوالحِْجَّةِ) เดือนสุดท้ายลำดับที่ 12 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์กับเดือนมุฮัรรอม เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลฮิจญะห์  (ذُوالحِْجَّةِก็เพราะว่าเป็นช่วงฤดูฮัจญ์ที่ชาวอาหรับจากทุกสารทิศจะเดินทางมุ่งสู่นครมักกะห์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ คำว่า อัลฮัจญ์ (اَلْحَجُّ) หมายถึง การเยี่ยมเยียน เช่น เยี่ยมเยียนสถานที่สำคัญ ส่วนคำว่าอัลฮิจญะห์ (اَلْحِجَّةُ)  หมายถึง "ปี" เพราะการประกอบพิธีฮัจญ์ จะถูกกระทำตามศาสนบัญญัติในทุกๆ ปี ชาวอาหรับบางทีก็นับจำนวนปีโดยอาศัยการประกอบพิธีฮัจญ์ เช่น อาศัยอยู่ในนครมักกะห์ มา 3 ฮัจญ์แล้ว เป็นต้น


ชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์

1. วันอาทิตย์
Sunday
 الأحد อัลอะฮัด
2. วันจันทร์
Monday
الإثنين  อัลอิซนัยน
3. วันอังคาร
Tuesday
الثلاثاء  อัซซะลาซะอ์
4. วันพุธ
Wednesday
الأربعاء  อัรเราะบะอ์
5. วันพฤหัสบดี
Thursday
الخميس  อัลคัมมิส
6. วันศุกร์
Friday
الجمعة  อัลญุมอะห์
7. วันเสาร์
Satureday
السبت  อัลซับตุ





ป้ายกำกับ:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก