บทบาท ยิวผู้อหังการ กับโลกมุสลิม
บทบาทของยิวสากลในการล้มล้างระบอบคิลาฟะห์ของจักรวรรดิอุษมานียะห์
ความเป็นศัตรูของชาวยิวต่อศาสนาอิสลาม
ชาวยิวได้กล่าวอ้างอย่างไร้สาระว่าพวกตนคือชนชาติที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ
ที่มิใช่ชาวยิวล้วนแต่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นทาสของชาวยิว
ซ้ำร้ายพวกยิวยังได้เจือสมและอ้างอีกด้วยว่า
พวกตนคือบุตรและผู้เป็นที่รักยิ่งของพระผู้เป็นเจ้า
การมีมุมมองเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายทั้งในส่วนของยิวเองและมนุษยชาติโดยรวม
และยังทำให้ความเมตตาต่อพลโลกถูกปฏิเสธออกไปจากหัวใจของชาวยิว
พวกเขาจึงมักไม่รีรอในการก่อสงครามกับชนชาติอื่นๆ
และมีผลทางจิตวิทยาทำให้เกิดปมด้อยเกี่ยวกับความเชื่อว่าพวกตนคือชนชาติที่ถูกคัดเลือกของพระเจ้าซึ่งทำให้มีความหยิ่งยะโสมากขึ้นตลอดจนการปลีกตัวไม่ข้องแวะสุงสิงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือพวกเขาจะไม่มองเรื่องราวต่างๆ
ในมุมมองที่รวมเอาพวกเขาและประชาชาติทั้งหมดเข้าไว้ในความนึกคิด
แต่จะมองชนชาติอื่นๆ เป็นมุมมองเฉพาะ (อัลฮะรอกะห์ อัลฟิกรียะห์ หน้า 208)
ชาวยิวในนครยัซริบ (นครม่าดีนะห์) จะปฏิบัติกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นจากชนเผ่าเอาวซ์และ
อัลคอซรอจญ์บนพื้นฐานที่ว่าพวกตน (ชาวยิว)
มีความโดดเด่นเหนือกว่าชาวอาหรับทั้งสองเผ่านี้
เพราะชาวยิวถือว่าตนคือผู้ได้รับคัมภีร์และมีความรู้
ฉะนั้นเมื่อเกิดความบาดหมางหรือการรบพุ่งระหว่างชาวยิวกับชนเผ่าเอาวซ์และอัลคอซรอจญ์
ชาวยิวก็มักจะกล่าวเสมอว่า : บัดนี้ได้มีศาสดาประกาศก (อ่านว่า ประ กา สก
คือผู้ประกาศ “ศาสดามูซา (โมเสส)” ถูกแต่งตั้งมายังมนุษยชาติแล้ว
ซึ่งสมัยของศาสดาผู้นี้ยืนยาวนัก และพวกเรา (ชาวยิว) จะดำเนินตามศาสดาประกาศกผู้นั้น
และเราจะรบกับพวกท่านเคียงข้างศาสดาประกาศกผู้นั้นเฉกเช่นการรบของชนอาดและ อิรอม
(ฟิกฮุศศีเราะห์ หน้า 123)
“และครั้นเมื่อศาสนทูตจากพระผู้เป็นเจ้าได้มายังพวกเขา
(ชาวยิว) โดยยืนยันถึงสิ่งที่ถูกต้องอันมีอยู่พร้อมกับพวกเขา
(หมายถึงบทบัญญัติในคัมภีร์ที่พวกเขายึดมั่น) กลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ก็ได้ละทิ้งคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า
(เกี่ยวกับศาสนทูตผู้นี้) เอาไว้เบื้องหลังพวกเขา ประหนึ่งดังว่าพวกเขาไม่รู้”
(บทอัลบะกอเราะห์ พระบัญญัติที่ 101)
ทั้งๆ ที่ศาสดามุฮำหมัด ซอลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม
ได้ทรงมีพันธสัญญาระหว่างพระองค์กับชาวยิวนับแต่ที่พระองค์ได้ทรงลงพำนักที่นครมะดีนะห์ด้วยการรับรองความปลอดภัยแก่ชาวยิวในเสรีภาพแห่งการถือในศาสนาของตน
และการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ โบสถ์วิหาร, ทรัพย์สินและสิทธิอันชอบธรรมและคงไว้ซึ่งความเป็นพันธมิตรของพวกเขากับชนเผ่าเอาว์ซ์และอัลคอซรอจญ์
ตลอดจนการช่วยเหลือและการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ชาวยิว
โดยมีเงื่อนไขว่า ชาวยิวจะต้องไม่บิดพลิ้วหักหลังและประกอบสิ่งที่ชั่วช้า
รวมถึงชาวยิวต้องไม่กระทำตนเป็นสายลับและให้การช่วยเหลือศัตรู ทั้งๆ
ที่เป็นเช่นนี้ในช่วงเวลาอันสั้น ชาวยิวก็ถือว่าการมายังนครมะดีนะห์ของท่านศาสดาเป็นลางร้ายสำหรับพวกตนและเริ่มมองดูพระองค์ด้วยสายตาที่หวาดระแวงและเกรงว่าพระองค์จะสามารถสถาปนาความมั่นคงแห่งรัฐอิสลามที่เกิดขึ้นใหม่และการเผยแพร่คำสอนของพระองค์จะเป็นที่แพร่หลาย
อีกทั้งสร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างชนอาหรับทั้ง 2
เผ่าภายใต้การเป็นผู้นำของพระองค์ ซึ่งจะทำให้การบาดหมางอันยาวนานระหว่างชน 2
เผ่าที่เป็นปัจจัยแห่งฐานอำนาจของชาวยิวยุติลง
นอกจากนี้ชาวยิวยังได้หวั่นเกรงว่าพวกตนจะสูญเสียความมีอภิสิทธิ์ต่างๆ
ที่ตนเคยมีและแสวงหาผลกำไรอันมากมายจากอภิสิทธิ์นั้น
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าแต่เดิมนั้นชาวยิวได้มาถึงคาบสมุทรอาหรับในฐานะของกลุ่มชนผู้ทรงภูมิความรู้และคอยสั่งสอนชี้แนะชนพื้นเมือง
อีกทั้งยังเคยมีฐานะเป็นตุลาการคอยตัดสินคดีความของชาวพื้นเมืองเดิมอีกด้วย
เรียกได้ว่าสำหรับชาวยิวแล้วพวกเขามีบทบาท มีเกียรติและศักดิ์ศรี มีพลังอำนาจและส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
การชำระคดีความอันเป็นสถานภาพที่ได้รับการยกย่องในสังคมอาหรับในนครยัซริบมาก่อนหน้าการอพยพของท่านศาสดาและชนมุสลิมมาก่อนเป็นเวลาช้านาน
ดังนั้นเมื่ออิทธิพลของศาสนาอิสลามเข้ามาแทนที่บทบาทของพวกตน
ชาวยิวก็ต้องหวาดระแวงและพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสถานภาพที่ตนเคยมีเอาไว้เป็นปกติสามัญ
ภาพวาดชาวยิวในอาณาจักรอุษมานียะห์
พวกยิวได้ใช้ชีวิตร่วมกับชาวอาหรับอย่างกลมกลืนพร้อมด้วยอิทธิพลและอำนาจที่มั่นคงจนทำให้เกิดความเข้าใจเอาเองว่าพวกเขาอยู่นอกเหนือขอบข่ายการเรียกร้องเชิญชวนของท่านศาสดา
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
อีกทั้งยังถือว่าพวกตนอยู่ในแนวทางที่ดีเกินกว่าที่การเรียกร้องของอิสลามจะรวมเอาพวกเขาเข้าไว้ในขอบข่ายความเข้าใจและท่าทีเช่นนี้ของชาวยิวจึงเป็นอุปสรรคขวางกั้นความประสงค์ของท่านศาสดาที่จะนำพาพวกเขาเข้าสู่ศาสนาของพระองค์และอยู่ภายใต้การเป็นผู้นำสูงสุดของพระองค์
การกลับกลายเป็นว่าพวกชาวยิวมองเห็นว่าพวกตนมีสิทธิ
รอคอยในการร่วมสมทบของท่านศาสดากับฝ่ายตนดังที่โองการอัลกุรอ่านได้บอกให้ท่านศาสดาให้ทราบว่า
: (พวกเขา(ชาวยิว) ได้กล่าวว่า : จะไม่มีทางได้เข้าสู่สวนสวรรค์นอกจากบุคคลที่เป็นชาวยิวหรือคริสเตียน)
(บทอัลบะกอเราะห์ พระบัญญัติที่ 111) และพระดำรัสที่ว่า
“และพวกยิวตลอดจนพวกคริสเตียนย่อมไม่มีวันพึงพอใจต่อท่านจนกว่าท่านจะปฏิบัติตามแนวทางอันเป็นศาสนาของพวกเขา”
(บทอัลบะกอเราะห์ พระบัญญัติที่ 120) และพระดำรัสที่ว่า
“และพวกเขาได้กล่าวว่า : พวกท่านจงเป็นยิวหรือคริสเตียนเถิด
พวกท่านจักได้รับทางนำ” (บทอัลบะกอเราะห์ / 135)
เฉพาะอย่างยิ่ง
ขณะที่ชาวยิวได้มองเห็นท่านศาสดาปฏิบัติละหมาดโดยผินหน้าสู่ชุมทิศของพวกเขา
(คือกรุงเยรูซาเล็ม อันเป็นชุมทิศในการนมัสการช่วงแรกก่อนเปลี่ยนชุมทิศสู่บัยติลลาฮฺแห่งนครมักกะห์)
และยังเห็นว่าพระองค์ได้ทรงประกาศถึงความศรัทธาที่มีต่อเหล่าศาสดาพยากรณ์ที่มีเชื้อสายยิวและคัมภีร์ของพวกเขาด้วยคำสอนของอัลกุรอ่านโดยพระองค์ทรงถือว่าคำประกาศดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งแห่งการเรียกร้องเชิญชวนของพระองค์ที่แยกออกจากกันไม่ได้
ด้วยเหตุนี้กระมัง
ชาวยิวจึงเฝ้ารอด้วยความหวังว่าท่านศาสดาจะเห็นดีเห็นชอบในศาสนาของพวกตน
แต่พวกเขาก็สิ้นหวัง
และพบว่าพระองค์ได้เรียกร้องพวกตนสู่อิสลามเฉกเช่นเดียวกับมนุษยชาติทั้งหลายโดยไม่มีการยกเว้นหรือได้รับอภิสิทธิ์อันใด
ซ้ำร้ายอัลกุรอานยังได้เรียกร้องชาวยิวเป็นกรณีเฉพาะในบางครั้งและหักล้างความเชื่อที่ผิดของพวกเขา
จึงเป็นเรื่องปกติที่สิ่งนี้จะกลายเป็นปัจจัยทำให้ชาวยิวปฏิเสธการเรียกร้องเชิญชวนของพระองค์และก่อเกิดความอิจฉาริษยาและชิงชังต่อสถานภาพของพระองค์นับแต่ก้าวแรกของการสถาปนารัฐอิสลามในนครม่าดีนะห์
และยิ่งเมื่อพวกยิวเห็นว่าผู้คนได้เหินห่างจากพวกตนและหันไปยึดเอาท่านศาสดาเป็นผู้ชี้นำสูงสุดและเป็นประมุขที่ได้รับการปฏิบัติตามโดยดุษฎี
ชาวยิวจึงรู้สึกถึงภัยอันตรายที่จะมาถึงตน รวมถึงอิทธิพลและอำนาจที่เคยมีตลอดจนผลประโยชน์ที่เคยแสวงหาได้จากผู้คน
ฉะนั้น
เมื่อพวกยิวต้องการรักษาสถานภาพและแนวทางแห่งศาสนาและความเชื่อของพวกตน
พวกเขาก็จะต้องกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกดึงเข้าสู่กระแสแห่งการเรียกร้องของอิสลาม
กรณีเช่นนี้จึงเป็นสิ่งผลักดันให้ชาวยิวต้องป้องกันผลประโยชน์ของพวกตนซึ่งถูกคุกคามด้วยการดำเนินแผนการอันเต็มไปด้วยการเสแสร้ง
อิจฉาริษยา มุ่งปองร้าย และขัดขวางอย่างถึงที่สุด
บทบาทอันทรงพลัง
และเกรี้ยวกราดที่ชาวยิวได้สำแดงเอาไว้ได้ปรากฏชัดอยู่ในหลายโองการด้วยกันในคัมภีร์อัลกุรอาน
โดยกล่าวถึงธาตุแท้และเปิดโปงแผนการร้ายของพวกเขา นั่นคือ
นอกจากจะไม่ยอมรับการเรียกร้องสู่อิสลามแล้ว
ยังได้ยุยงส่งเสริมหรือเป็นพันธมิตรกับเหล่าศัตรูเพื่อทำลายล้างอิสลามอีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่า
ชาวยิวก็คือผู้ก่อกำเนิดกลุ่มชนผู้กลับกลอกหน้าไหว้หลังหลอก/มูนาฟีกีน ด้วยการสร้างความคลางแคลงสงสัยในจิตใจและปลุกระดมจิตวิญญาณแห่งความขบถและการปองร้ายด้วยเล่ห์เพทุบาย
ซึ่งถ้าหากว่าไม่มีชาวยิวคอยอยู่เบื้องหลัง
พวกกลับกลอกก็คงไม่หลงผิดและเติบใหญ่กล้าแข็งจนกำเริบเสิบสานคิดการใหญ่และเป็นพันธมิตรกับพวกกุรอยซ์ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านศาสดา
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเหล่ามุสลิม
พวกยิวได้กลายเป็นแนวร่วมกับพวกกุรอยซ์ให้การสนับสนุนในการก่อสงครามกับฝ่ายมุสลิม
และทำให้พวกกุรอยซ์จมปลักอยู่ในโคลนตมแห่งการปฏิเสธ
นอกจากนี้พวกยิวยังได้ใช้เล่ห์เพทุบายวางแผนประทุษร้าย และดูถูกเหยียดหยามฝ่ายมุสลิมอย่างไม่ลดละ
จนในที่สุดท่านศาสดา ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เนรเทศพวกยิวออกจากนครม่าดีนะห์
พวกยิวภายหลังถูกเนรเทศยังคงเป็นปรปักษ์อยู่ตลอดเวลาต่อศาสนาอิสลาม
ทั้งนี้เพราะชนรุ่นต่อๆ มาของพวกยิวมิได้มีท่าทีต่ออิสลามต่างจากชนรุ่นปู่ย่าตายาย
การวางแผน การใช้เล่ห์เหลี่ยม
ตลอดจนการบิดพลิ้วและหักหลังกลายเป็นสัญชาติญาณของพวกเขาที่ปลูกฝังในชนทุกรุ่นสืบต่อมา
ซึ่งการกล่าวถึงธาตุแท้ของพวกเขาในอัลกุอานนั้นสอดคล้องกับชาวยิวทุกรุ่น
และการระมัดระวังจากพวกยิวก็ถูกเรียกร้องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นยิวในยุคใด
เพราะท่าทีและทัศนคติของพวกยิวไม่เคยเปลี่ยนแปลง
อัลกุรอานปราศจากขอบเขตของกาลเวลาและสถานที่ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
การระบุถึงคุณลักษณะและเรื่องราวของพวกยิวซึ่งถูกเน้นย้ำเอาไว้ในอัลกุอานก็คงไม่มีคุณค่าและประโยชน์อันใด
พวกยิวรู้และทราบดีว่า ชาวมุสลิมคือศัตรูที่แท้จริงสำหรับพวกตน
โดยเฉพาะหลังจากการแทรกซึมของพวกยิวในทุกลัทธิศาสนากลุ่มความเชื่อและพรรคการเมืองค่ายต่างๆ
ซึ่งชาวยิว สามารถสร้างความเสื่อมเสียและใช้กลุ่มลัทธิเหล่านั้นเพื่อประโยชน์แก่ตน
แต่พวกเขาก็มิสามารถทำลายอัลกุรอานซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงพิทักษณ์เอาไว้ได้
ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวได้ว่า
การรณรงค์ต่อสู้ของชาวยิวต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมเป็นสิ่งที่มีมาโดยตลอด
หาได้หยุดหย่อนไม่ หนทางเดียวที่พวกยิวจะประสบกับชัยชนะก็คือ
การทำให้ประชาชาติมุสลิมเหินห่างจากหลักความเชื่อของศาสนาที่ถูกต้องและสร้างสิ่งทดแทนทางวัฒนธรรมขึ้นใหม่ในโลกอิสลาม
(นะซอรอต ฟี ซีเราะห์ อัลอะมัล อัลอิสลามียะห์/อุมัร อะบีด ฮัซนะห์ หน้า 157)
คัดลอกบทความจาก
http://www.alisuasaming.com/Word/hml_word/Book/ottoman10.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก