กฎหมายอิสลาม الشريعة الإسلامية
بـــــــــــــسم للَّه
الرحمــــــــان الرحيـــــــم
กฎหมายอิสลาม
الشريعة الإسلامية
ความหมายของกฎหมายอิสลาม :
( خطاب الشارع المتعلق بأفعال العباد اقتضاء أو تخييرا أو وضعا ) “
ศาสนบัญญัติที่กำหนดพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นเนื้อความบังคับหรือบังคับให้เลือก
และด้วยการกำหนดเป็นรูปแบบและวิธีการ ”
กฎหมายอิสลามมี
4
องค์ประกอบที่สำคัญ คือ
1.
เป็นศาสนบัญญัติ
2.
มีสภาพเป็นข้อกำหนดความประพฤติของบุคคล
3.
มีสภาพเป็นข้อบังคับ
หรือบังคับให้เลือก
4.
มีสภาพที่เป็นกระบวนการที่แน่นอน
ประเภทของกฎหมายอิสลาม
กฎหมายอิสลามมี 2 ประเภท
1.
กฎหมายที่มีเนื้อหาบังคับ (Charging
legal law : التكليفى الحكم الشرعي )
2.
กฎหมายที่เป็นรูปแบบกำหนดวิธีการ
(Correlative law : الحكم الشرعي الوضعى )
กฎหมายที่มีเนื้อหาบังคับ
มี 5 ประเภท คือ
1.
อัลวาญิบ (Obligation
: الواجب )
2.
อัลมันดูบ (Recommended
:
المندوب )
3.
อัลลมูบาห์ (Permissible
: المباح )
4.
อัลมักรูฮฺ (Abominable
: المكروه )
5.
อัลหะรอม (Prohibited
: الحرام )
1. อัลวาญิบ (Obligation
: الواجب )
ความหมายของอัลวาญิบ
ماطلب الشارع من العبد فعله طلبا جازماً
“ บทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้บุคคลปฏิบัติโดยแน่วแน่
เด็ดขาด ” การละเว้นถือเป็นบาป และกิจกรรมนั้นไม่สมบูรณ์
1.2
สำนวนบทกฎหมายที่แสดงถึงการบังคับปฏิบัติโดยแน่วแน่ เด็ดขาด (Forms of
obligation)
ด้วยกฎหมายอิสลามถูกประทานลงมาเป็นภาษาอาหรับ
ในภาษาอาหรับจะมีสำนวนที่แสดงถึงการบังคับให้ปฏิบัติตามแน่วแน่เด็ดขาด
และถือว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษ หรือปรับในโลกนี้ หรือถูกลงโทษในโลกหน้า ซึ่งมี 8 สำนวน คือ
1. สำนวนที่แสดงถึงกริยาบังคับ
(Imperative mood :( صيغة فعل الأمر ) เช่น
คำตรัสขององค์อัลลอฮฺที่ว่า :
النساء /27 ( وأقيموا الصلاة وآتوا الزكاة )
ความว่า
“ สูเจ้าทำการละหมาดและจงให้ทานซากาต ”
ข้อสังเกตจากตัวอย่างข้อนี้
คือ
จะมีคำว่า
( أقيموا กับ وآتوا ) แปลว่า “ จงทำการ จงให้ ”
ซึ่งเป็นสำนวนที่แสดงถึงกริยาบังคับให้ปฏิบัติตามและให้ทำ ส่วนคำว่า ( الزكاة ‘ الصلاة ) แปลว่า “ ละหมาด , ทานซากาต ”
ซึ่งเป็นกรรม (Passive) ที่บุคคลต้องกระทำ
นั้นก็คือต้องละหมาด ต้องให้ทานซากาต หากบุคคลใดที่เป็นผู้สมบูรณ์ตามเงื่อนไขและลักษณะตามกฎหมายกำหนด
จักต้องกระทำละหมาด และจักต้องจ่ายซากาต หาไม่แล้วถือว่าเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย
จะต้องถูกลงโทษด้วยการถูกขังจนถึงยอมกลับใจทำการเตาบัต (Repentance) ปฏิบัติละหมาด และหากเป็นกรณีละทิ้งการจ่ายซากาต จะต้องถูกยึดทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องจ่ายซากาต
หรือถูกปราบปรามจนถึงยอมจ่าย
2 . สำนวนที่เป็นไวยากรณ์เกี่ยวกับปัจจุบันและอนาคตที่กำกับด้วยลามมูลอัมรี
( ลามที่ให้ความหมายบังคับ Obligatory particle ) ตัวอย่างเช่น
คำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
الحج /29 ( وليطّوفوابالبيت العتيق )
ความว่า
“ และสูเจ้าจงทำการเวียนรอบกะบะฮฺ ”
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้คือ
• คำว่า “ ليطوفوا ” แปลว่า “ สูเจ้าจงทำการเวียน ” ประกอบด้วย
2 คำ คือ
ลามมูลอัมรี : ลามที่ให้ความหมายบังคับให้กระทำ และคำว่า “ يطوّفوا ” ซึ่งเป็นคำไวยากรณ์ (Verb) ที่แสดงถึงการกระทำในปัจจุบันหรืออนาคต
• ไวยากรณ์เกี่ยวกับปัจจุบันกาลและอนาคตเมื่อกำกับด้วยลามมูลอัมรี
จัดอยู่ในสำนวนบังคับจักต้องปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาดแน่วแน่
ค
. โองการนี้เป็นบทกฎหมายที่แสดงถึงการทำฮัจญ์ ( الحج ) หรือ อุมเราะฮฺ ( العمرة ) มีองค์ประกอบสำคัญคือ จักต้องทำการเวียนรอบกะบะฮฺ
หากไม่กระทำถือว่าการทำฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺใช้ไม่ได้ และไม่เป็นที่ยอมรับของกฎหมาย
3. สำนวนที่แสดงถึงการเป็นนามของกริยาบังคับ
(Imperative Participle : اسم فعل الأمر )
ตัวอย่างเช่น
คำตรัสขององค์อัลลอฮฺที่ว่า : ( عليكم أنفسكم )
ความว่า
“ สูเจ้าจำต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ”
ข้อสังเกตตัวอย่างนี้คือ
ก
. คำว่า “ عليكم ” แปลว่า “ สู่เจ้าจำต้องรับผิดชอบ ” ซึ่งเป็นคำนามของกริยาบังคับ
( اسم فعل الأمر ) ให้ปฏิบัติตามด้วยการรับผิดชอบ
ข
. คำว่า “ أنفسكم ” แปลว่า “ ต่อการกระทำของตนเอง ” เป็นกรรม (Passive) ที่บุคคลต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองในกรอบข้อกำหนดของกฎหมายทุกอย่าง
ค
.
โองการนี้เป็นบทกฎหมายที่แสดงถึงหน้าที่ของการรับผิดชอบของบุคคลเมื่อได้กระทำการใดๆแล้ว
เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นๆ
4. สำนวนที่แสดงถึงการเป็นที่มาของคำที่เป็นตัวแทนของสำนวนกริยาบังคับ
( لمصدر النائب عن فعل الأمر )
ตัวอย่างเช่น
คำตรัสขององค์อัลลอฮฺที่ว่า : محمد /4 “ فإذا لقيتم الذين كفروا فضرب الرقاب ”
ความว่า
“ เมื่อพวกเจ้าได้เผชิญกับปฏิเสธชน ( ในภาวะสงคราม ) ก็จงฟันคอพวกเขาเสีย (
ทำการสู้รบกับพวกเขา )” มูฮัมมัด อายะฮฺที่ 4
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้คือ
ก
. คำว่า “ ضرب ” แปลว่า “ จงฟัน ” เป็นที่มาของคำว่า ، إضرب يضرب ، ضرب
ซึ่งเป็นคำเดิมหรือเป็นคำที่เป็นที่มาของคำกริยาต่างๆ
ที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ทำหน้าที่แทนคำกริยาบังคับ
ซึ่งมีความหมายเดี่ยวกันกับคำกริยาบังคับ นั้นก็คือ มีความหมายบังคับให้ทำ
ซึ่งความหมายของ ضرب ในสำนวนนี้ก็คือ “ จงตัด จงทำการรบ ”
ข
. คำว่า “ الرقاب ” แปลว่า “ คอ ” ในที่นี้หมายถึง “ คน ” ที่เป็นผู้ปฏิเสธชน
ซึ่งเป็นมูฎอฟูอีไลฮ ( คำสัมพันธ์ Possessive
case) ที่อยู่ในสถานะของกรรม (Passive) โดยให้ความหมายว่า
เมื่อมุสลิมได้เผชิญกับปฏิเสธชนในภาวะสงครามก็จงฆ่าพวกนั้น หรือจงทำการรบกับพวกเขา
ค
. โองการนี้เป็นตัวบทกฎหมายที่แสดงถึงการทำการรบกับปฏิเสธชนในภาวะสงครามเป็นสิ่งบังคับกับมุสลิมทุกคน
( ที่กฎหมายกำหนดลักษณะเฉพาะหรือกรณีเฉพาะ ) จักต้องปฏิบัติตาม
หาไม่แล้วถือว่าเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย จักต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
5. คำเฉพาะที่ให้ความหมายบัญชาให้ทำ
(Obligation Word: لفظ الأمر ) ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ชัดเจนที่ให้ความหมายบังคับให้ทำ
ตัวอย่างเช่น
คำดำรัสขอองค์อัลลอฮฺที่กล่าวว่า
58/ النساء “ إن الله يأمركم أن تؤدوا الأمانات إلى أهلها ”
ความว่า
“ แท้จริงอัลลอฮฺได้บัญชาสูเจ้าให้สู้เจ้าจงมอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของมัน ” อัน
- นิซาฮ โองการที่ 58
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้คือ
ก
. คำว่า “ يأمركم ” แปลว่า “ พระองค์ได้บัญชาสูเจ้า ” ซึ่งคำว่า “ يأمر ” เป็นคำเฉพาะที่ให้ความหมายบัญชาให้ทำ
ข
. คำว่า “ كم ” แปลว่า “ สู่เจ้า ” ซึ่งเป็นกรรม ( บุคคลที่ต้องปฏิบัติตาม )
นั้นก็คือผู้รับฝากของ
ค
. โองการนี้เป็นตัวบทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้ผู้รับฝากของต้องส่งคืนของแก่เจ้าของ
เมื่อมีการร้องขอ หรือกรณีที่ต้องส่งคืนตามกำหนดอย่างสมบูรณ์
หาไม่แล้วจะถือว่าละเมิดกฎหมายนี้ และจะต้องโทษตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้
6. คำเฉพาะที่ให้ความหมายบังคับ
ถูกกำหนดเป็นบัญญัติเช่น คำอัลอีญาบ (Ordainment : الايجاب ) อัลฟารีดะฮ (Ordinance
: الفريضة ) อัลกาตับ (To draw up : الكتب )
ตัวอย่างเช่น
คำดำรัสขอองค์อัลลอฮฺที่กล่าวว่า
البقرة /183 ( كتب عليكم الصيام )
ความว่า
“ การถือศิลอดนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ” อัล - บากอเราะ โองการที่ 183
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
النساء /11 “ فريضة من الله ”
ความว่า
“ ทั้งนี้เป็นบัญญัติที่มาจากอัลลอฮฺ ” อัน - นิซาอฺ โองการที่ 11
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้คือ
ก
. คำว่า “ كتب ” แปลว่า “ ถูกกำหนด ” และคำว่า “ فريضة ” ถูกบัญญัติ
ซึ่งเป็นคำที่ให้ความหมายวาญิบจักต้องปฏิบัติตาม
ข
. โองการเหล่านี้เป็นตัวบทกฎหมายที่แสดงถึงข้อกำหนด
หรือบทบัญญัติที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม หาไม่แล้วถือว่าผิดกฎหมาย ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
7. ทุกสำนวนที่ส่อความหมายบังคับในภาษาอาหรับ
ตัวอย่างเช่น
พระดำรัสของอัลลอฮฺในกุรอานที่กล่าวว่า
97/ آلعمران “ ولله على الناس حج البيت ”
ความว่า “
และเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเหนือมนุษย์นั้นคือ เขาจำต้องไปแสวงบุญ ณ บ้านหลังนั้น ( กะบะฮฺที่มักกะฮ
) อาละอิมรอน โองการที่ 97
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้คือ
ก
. คำว่า “ لله ” แปลว่า “ และเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ” และคำว่า “ على الناس ” แปลว่า “ เหนือมนุษย์ ”
เป็นสำนวนอัลหัศรีย์ (Limitation
: الحصر ) ซึ่งให้ความหมายเชิงเกณฑ์กำหนดบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม
ข
. คำว่า “ حج البيت ” เป็นมุบตาดามูอัคคอร (Subject
of a sentence : المبتد ) ซึ่งเป็นเป้าหมายของสำนวนนี้ นั้นก็คือ
ทุกคนที่เป็นมุสลิม หากมีความสามารถตามที่กฎหมายกำหนดแล้วเขาจำต้องไปแสวงบุญ ณ นครมักกะฮ
หาไม่แล้วจะถือว่าเขามีความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่
8. สำนวนที่แสดงถึงการกำหนดบทลงโทษและประณามผู้ละเมิด
ตัวอย่างเช่น
พระดำรัสของอัลลอฮฺในกรุอานกล่าวว่า “
" فليحذر الذين يخالفون عن أمره أن تصيبهم فتنة أويصيبهم عذاب أليم
" النور /63
ความว่า
“ ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มูฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า
เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา
หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน ” อันนูร อายะฮฺที่ 63
ข้อสังเกตตัวอย่างนี้
ก
. คำว่า “ قليحذر ” แปลว่า “ จงระวัง ”
ซึ่งเป็นการเตือนเพื่อไม่ให้สิ่งที่ถูกเตือนนั้นเกิดขึ้น
ข
. คำว่า “ الذين يخالفون عن أمره ” แปลว่า “ ผู้ที่ละเมิดคำสั่งของท่านศาสดา
” ซึ่งเป็นสำนวนที่ประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ
1. ผู้ที่ถูกเตือนนั้นก็คืออย่าเป็นผู้ละเมิด
2. สิ่งที่ถูกเตือน นั้นคือ
ละเมิดคำสั่งของท่านศาสดา
ค
. คำว่า “ أن تصيبهم فتنة أويصيبهم عذاب أليم ” แปลว่า “ จะต้องได้รับโทษที่สาสม ”
ซึ่งเป็นการประนามและกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมละเมินคำสั่งของศาสดา
ง
. โองการนี้เป็นบทกฎหมายที่แสดงถึงการบังคับไม่ให้ละเมิดคำสั่งของท่านศาสดา
หาไม่แล้วจะต้องรับโทษและต้องถูกประณาม
2. อัลมันดูบ ( Recommended
: المندوب )
2.1
ความหมายของอัลมันดูบ คือ “ طلب لشارع من العبد فعله طلبا غيرجازم ما “
บทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้บุคคลกระทำอย่างไม่เด็ดขาด
หรือ ในอีกความหมายหนึ่งคือ
บทกฎหมายที่ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลกระทำโดยการกำหนดผลตอบแทนในการกระทำนั้นๆและจะไม่มีการลงโทษหากมิได้กระทำ
2.2
สำนวนกฎหมายที่แสดงถึงการบังคับปฏิบัติโดยไม่เด็ดขาด (Forms of
recommendation: صيغ المندوب ) มีดังต่อไปนี้
1. สำนวนที่แสดงถึงกริยาบังคับให้กระทำ
(Imperative mood) เมื่อมีหมายบ่งบอก (Indication: ( قرينة การเปลี่ยนสถานะจากวาญิบเป็นมันดูบ เช่น
หลักฐานอื่นที่มาจากอัลกุรอานหรือซุนนะฮ
ตัวอย่างเช่น
คำดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
البقرة / 282 “ اذا تداينتم بدين إلى أجل مسمى فاكتبوه ”
ความว่า
“ เมื่อสูเจ้าทำการกู้ยืมหนี้สิน โดยมีการกำหนดเวลาที่แน่นอน
พวกเจ้าจงทำบันทึกมันไว้ ” อัลบาดอเราะฮ โองการที่ 282
ในโองการอื่นอัลลอฮได้ตรัสว่า
البقرة /283 “ بعضكم بعضا فليؤدالذي او ئتمن أمانته وليتق الله ربه فإن أمن ”
ความว่า
: “ หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน
ลูกหนี้ผู้ได้รับความไว้วางใจก็ต้องชำระคืนหนี้สินที่เขาได้รับความไว้วางใจเสีย
และเขาจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺผู่ทรงเป็นผู้อภิบาลของเขา ” อัลบาเกาะรอฮฺ โองการที่ 283
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
ก.
คำว่า “ فاكتبوه ” แปลว่า “ พวกเจ้าจงทำบันทึกมันไว้ ” เป็นสำนวนบังคับให้กระทำ
ซึ่งเป็นคำสั่งให้บันทึกสัญญากู้ยืมที่ตามหลักแล้ว ถือว่าเป็นวาญิบ
• โองการที่สอง
แสดงถึงความไม่จำเป็นต้องทำการบันทึก หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน
เพราะโดยหน้าที่แล้ว ต้องชำระหนี้สิน ของเขาตามมารยาทที่เข้าได้รับความไว้วางใจ
ค
. คำสั่งในโองการแรกที่เป็นวาญิบได้ถูกเปลี่ยนสถานะจากวาญิบเป็นมันดูบ
โดยโองการที่สองเป็นหมายบ่งบอก ( قرينة
)ว่าคำสั่งในโองการแรกนั้นไม่ได้ให้ความหมายของวาญิบแต่ความหมายของมันคือมันดุบซึ่งหาไม่แล้วก็จะเกิดข้อขัดแย้งระหว่างความหมายคำสั่ง
บังคับในโองการแรกกับความหมายเชิงอนุญาตในโองการที่สอง
2. สํานวนที่บ่งบอกถึงการเป็นสุนัต
ตัวอย่างเช่น
คำกล่าวของท่านรอซูลที่มีความว่า “ ฉันได้ทำแบบอย่างแก่สูเจ้า การกิยามูลลัย
การละหมาดกลางคืนในเดือนรอมาฏอน “
3. สำนวนที่บ่งบอกถึงการกระทำดีกว่าการละทิ้ง
ตัวอย่างเช่น
คำกล่าวของท่านรอซูลที่กล่าวถึงการอาบน้ำในวันศุกร์โดยมีความว่า “ ใครอาบน้ำ
(วันศุกร์) แน่แท้การอาบน้ำย่อมประเสริฐกว่า ”
4. ทุกสำนวนที่ให้ความหมายถึงการส่งเสริมให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
คำกล่าวของท่านรอซูลที่เกี่ยวกับการแปลงฟันทุกครั้งที่ละหมาด ที่มีความว่า :
หากไม่เป็นสิ่งที่ลำบากแก่ประชาชาติของฉันแล้ว
แน่นอนฉันจะสั่งให้พวกเขาแปลงฟันทุกครั้งที่เขาละหมาด
3. อัลมูบาห์ ( Per
missible , lawful ( المباح )
3.1
ความหมายาของอัลมูบาห์ " ماخير الشارع العبد بين فعله وتركه "
คือ
“ บทกฎหมายที่กำหนให้บุคคลสามารถเลือกกระทำหรือละทิ้ง “
โดยที่ไม่ได้บังคับให้กระทำหรือห้ามไม่ให้ปฏิบัติ
แต่เปิดโอกาสให้บ่าวสามารถเลือกว่าจะกระทำหรือไม่
ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละบุคคลโดยที่การกระทำหรือไม่นั้นมีสภาพเท่าเทียมกันหรือเป็นสิ่งที่อนุญาตให้บุคคลสามารถเลือกได้
3.2
สำนวนกฎหมายที่แสดงถึงการอนุญาตเลือกกระทำหรือละทิ้ง (Forms of legal
permissibility)
( صيغ الإباحة )
คือสำนวน
คำ หรือเครื่องหมายบ่งบอก ( Indication
) ต่างๆที่ส่อความหมายให้บุคคลสามารถเลือกกระทำหรือละทิ้งไม่กระทำซึ่งมีหลากหลาย
แต่ที่สำคัญคือ
1.ตัวบทกฎหมายที่ส่อความหมายปฎิเสธความผิดหรือผลบาปของผู้กระทำ
เช่น คำว่า " لاإثم " " لاجناح
" " لاحرج "
ตัวอย่างเช่น
คำตรัสของอัลลอฮ์ที่กล่าวในอัลกรุอ่านที่ว่า :
ความว่า
: " ไม่เป็นการลำบากใจอันใด
ไม่เป็นโทษแก่คนตาบอดและไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนพิการ
และไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนป่วย และไม่เช่นกันแก่ตัวของพวกเจ้า
ที่จะรับประทานที่บ้านของพวกเจ้า (รวมทั้งบ้านของบรรดาลูกๆของพวกเจ้า)
หรือบ้านของพ่อๆของพวกเจ้า หรือบ้านของแม่ๆ ของ พวกเจ้า
หรือบ้านของพี่ชายน้องชายของพวกเจ้าหรือบ้านของพี่สาวน้องสาวของพวกเจ้าหรือบ้านของลุง
อา ของพวกเจ้าหรือบ้านของป้า อาสาวของพวกเจ้า หรือบ้านของลุง อาของพวกเจ้า
หรือบ้านของป้า น้าสาวของพวกเจ้า (คือไม่เป็นโทษแก่พวกเจ้าที่จะรับประทานในบรรดาบ้านของญาติไกล้ชิดดังกล่าว)
หรือบ้านที่พวกเจ้าครอบครองกุญแจของมัน
(คือเมื่อเวลาเจ้าของบ้านไม่อยู่และเขามอบกุญแจไว้เพื่อช่วยดูแลรักษา)
หรือบ้านของเพื่อนๆ ของพวกเจ้า ไม่เป็นการบาปอันใดแก่พวกเจ้า
ที่จะร่วมกันรับประทานกันเป็นหมู่หรือแยกกัน เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในบ้านก็จงกล่าวสลามให้แก่ตัวของพวกเจ้าเองเป็นการคำนับอันจำเริญยิ่งจากอัลลอฮฺ
เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาพิจารณา
" อันนูร โองการที่ : 61
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
ก.
คำว่า " ليس على الأعمى حرج " แปลว่า ไม่เป็นการลำบากใจอันใด
(ไม่เป็นโทษ) แก่คนตาบอด และคำว่า " لس عليكم جناح " แปลว่า “
ไม่เป็นการบาปอันใดแก่พวกเจ้า ”
ซึ่งเป็นการปฏิเสธโทษและบาปสำหรับผู้ใดที่กระทำสิ่งต่างๆที่ถูกระบุในโองการดังกล่าว
ข.
การปฏิเสธโทษหรือบาปเป็นสำนวนที่แสดงถึงการอนุมัติสามารถกระทำได้และเป็นสิ่งที่อนุญาตละทิ้งโดยไม่กระทําก็ได้
ค.
การรับประทานอาหารในบ้านของญาติใกล้ชิดหรืได้ถูกระบุในโองการนี้เป็นสิ่งอนุมัติพึ่งกระทําได้
และเป็นสิ่งที่อนุญาตให้งดกระทําก็ได้
2.ตัวบทกฎหมายที่ส่งความหมายอนุญาตหรืออนุมัติเช่น
คำว่า " أحل "
ตัวอย่างเช่น
พระดำรัสของอัลลอฮฺในอัลกรุอ่านที่กล่าวว่า
" اليوم أحل لكم الطيبات وطعام الذين أوتوا الكتاب حل لكم وطعامكم حل لهم
" المائدة /5
ความว่า
“ วันนี้สิ่งดีทั้งหลายได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว
และอาหารของบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น (พวกยิวและพวกคริสต์)
เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้า และอาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา ”
อัลมาอีดะห์ โองการที่ : 5
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
ก.
คำว่า " أحل " และคำว่า حل แปลว่า “ เป็นที่อนุมัติ ”
ซึ่งเป็นสำนวนที่แสดงถึงการอนุญาตกระทำได้
ข.
สิ่งดีๆทั้งหลายที่องค์อัลลอฮฺประทานเป็นเครื่องยังชีพแก่มนุษย์
มนุษย์สามารถเลือกรับประทานสิ่งใดหรือละสิ่งไหนก็ได้
เป็นสิทธฺของมนุษย์สามารถเลือกได้ตราบใดสิ่งนั้นอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่อนุมัติ
ค.
อาหารของชาวคัมภีร์ (ยกเว้นสิ่งที่ต้องห้าม)
และอาหารของชาวมุสลิมเป็นสิ่งที่อนุมัติซึ่งกันและกัน
3. สำนวนกฎหมายที่แสดงถึงกริยาบังคับให้กระทำ
( Imperative mood ) แต่มีหมายบ่งบอก ( Indication قرينة ) การเปลี่ยนสถานะจากวาญิบ
และมันดูบ เป็นมูบาห์ เช่นหลักฐานอื่นที่มาจากอัลกรุอ่าน หรืออัสซุนนะฮฺ
ตัวอย่างเช่น
พระดำรัสาขององค์อัลลอฮฺที่กล่าวในอัลกุรอ่านว่า :
" فاذا قضيت الصلاة فا نتشروا في الأرض وابتغوا من فضل الله
" الجمعة /10
ความว่า
: “ ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดลงแล้วก็จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน
และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ” อัลญุมอะฮฺ โองการที่10
และพระดำรัสขององค์อัลลอฮฺที่กล่าวว่า
:
" يأيها الذين آمنوا اذانودي للصلاة من يوم الجمعة فاسعوا إلى ذكر الله وذرو االبيع
" الجمعة /9
ความว่า
: “ บรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย เมื่อได้มีเสียงเรียกร้อง (อะซาน)
เพื่อทำการละหมาดเนื่องในวันศุกร์ ก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ
และจงละทิ้งการค้าขายเสีย ” อัลญุมอะฮฺ โองการที่ 9
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
ก.
คำว่า " فانتشروا في الأرض " แปลว่า “ จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน
(คือหลังจากพวกเจ้าได้เสร็จสิ้นการละหมาดวันศุกร์แล้วก็จงแยกย้ายกันออกไปทำธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ
ของพวกเจ้า)
ซึ่งเป็นคำสั่งให้ทำการแยกย้ายเพื่อการธุรกิจที่ตามหลักแล้วคำบัญชาหรือคำสั่งถือว่าเป็นวาญิบที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาด
ข.
โองการที่สอง แสดงถึงการไม่อนุญาตทำการค้าขายหรือธุรกิจก็เพราะเนื่องจากมีการอะซาน
ซึ่งแสดงถึงการละหมาดวันศุกร์จะเริ่มขึ้นแล้ว
ซึ่งการห้ามทำธุรกิจในช่วงเวลาละหมาดวันศุกร์นั้นเป็นการห้ามเฉพาะเวลา
ที่แสดงถึงการทำธุรกิจก่อนจะมีเสียงอะซานนั้นเป็นสิ่งที่อนุมัติสามารถกระทำได้หรือสามารถละทิ้งได้
ค.คำบัญชาหรือคำสั่งในโองการแรกที่ให้แยกย้ายออกทำกิจกรรมหรือธุรกิจที่เป็นวาญิบ
ได้ถูกเปลี่ยนสถานะจากวาญิบเป็นมูบาห์ โดยโองการที่สองที่เป็นตัวบ่งบอก ( قرينة )
ว่าคำบัญชาหรือคำสั่งในโองการแรกนั้นมิได้ให้ความหมายวาญิบ หากแต่ความหมายของมันคือมันดุบ
เพื่อความสอดคล้องของความหมายของการอนุญาต
การทำกิจกรรมหรือธุรกิจก่อนมีการอะซานละหมาดวันศุกร์กับความหมายของการอนุญาตให้แยกย้ายทำกิจกรรมหรือธุรกิจหลังจากที่การทำการละหมาดวันศุกร์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
4. กฎทั่วไปที่ถือว่าในกรณีไม่มีตัวบทว่าเป็นสิ่งต้องห้ามก็ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ
( Original Permission : الإباحة الأصلية ) โดยการยึดถือตัวบทกฎหมายทีถูกดังกล่าวในอัลกรุอ่านที่ว่า
" هوالذي خلق لكم ما في الأرض جميعاً
" البقرة /29
ความว่า
: “ พระองค์คือผู้ที่ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งมวลในโลกใว้สำหรับพวกเจ้า ” อัลบากอเราะฮฺ
โองการที่29
ซึ่งด้วยโองการนี้นักกฎหมายอิสลามได้ทำการถอดความ
( Derivation : الاستنباط ) หลักการหนึ่งที่เป็นหลักการทั่วไปที่สำคัญ
คือ
" الأصل في الأشياء الإباحة حتى دل دليل على التحريم "
ความว่า
: โดยหลักแล้วทุกสิ่งนั้นถือว่าเป็นสิ่งอนุมัติ
เว้นแต่มีหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นสิ่งต้องห้าม ”
4. อัลมักรูฮฺ ( Abominable:
المكروه )
4.1
ความหมายของอัลมักรูฮฺ คือ
" ماطلب الشارع من العبد الكف عن فعله طلبا غير جازم "
“ บทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้บุคคลงด
ละเว้น ไม่กระทำอย่างไม่เด็ดขาด ” หรืออีกความหมายหนึ่งคือ “
บทกฎหมายที่ไม่ส่งเสริมและไม่สนับสนุนให้บุคคลประพฤติ
กระทำโดยการกำหนดผลตอบแทนให้กับบุคคลที่ละทิ้งการกระทำดังกล่าวแต่หากมีการละเมิดก็มิได้ถือว่าเป็นผู้กระทำผิด
”
4.2
สำนวนบทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้งดละเว้นอย่างไม่เด็ดขาด ( Forms of
abominable : صيغ المكروه )
สำนวนและคำที่ใช้ในบทกฎหมายและส่องแสดงถึงความไม่พึ่งประสงค์
ไม่ส่งเสริมและไม่สนับสนุนให้กระทำมีดังต่อไปนี้
1. คำว่า كره ( Dislike
: ความรังเกียจ ) หรือคำที่มีรากศัพท์ดังเดิมคือ كره
ตัวอย่างเช่น
: คำกล่าวาของท่านรอซูลที่กล่าวว่า
" إن الله كره لكم قيل وقال وكثرة السئوال "
ความว่า
: “ แท้จริงอัลลอฮฺรังเกียจพฤติกรรมการอ้างคำพูดคนโน้นคนนี้ (โดยไม่แน่ชัด )
และการถามเกินความจำเป็นในหมู่สู่เจ้า ”
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
คำว่า
“ كره ” แปลว่า “ รังเกียจ ”
เป็นคำที่แสดงถึงความไม่ประสงค์ให้เกิดการกระทำที่ถูกระบุในหะดีษนี้
นั้นก็คือการถามเกินความจำเป็น
การพูดพาดพิงถึงคนอื่นโดยที่ไม่มีความชัดเจนต่อต้านต่อของคำพูด
แต่ถ้าหากว่าการกระทำที่เกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำผิดตราบใดที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น
2. คำว่า “ بغض ” ( Hatred
: ความชัง)
ตัวอย่างเช่น
: คำกล่าวของท่านรอซูลที่กล่าวว่า
" أبغض الحلال إلى الله الطلاق "
ความว่า
:” สิ่งหะลาลที่อัลลอฮฺทรงชังมากที่สุด คือ การหย่าร้าง ”
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
คำว่า
“ أبغض ” แปลว่า “ ทรงชังมากที่สุด ”
เป็นคำที่แสดงถึงการไม่พึ่งประสงค์ให้เกิดขึ้น นั้นก็คือการหย่าร้าง
แต่หากมีความจำเป็นและจำต้องเกิดการหย่าร้างกันขึ้น ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ละเมิด
3.สำนวนที่แสดงถึงการบังคับให้งด
ไม่ให้กระทำ ( Fprms of prohibition ) แต่มีหลายบ่งบอก ( Indication)
การเปลี่ยนสถานะจากการต้องห้ามเด็ดขาดเ ( التحريم ) เป็นมักรูฮฺ (การต้องห้ามที่ไม่เด็ดขาด)
ตัวอย่างเช่น
: พระดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวในอัลกรุอ่านว่า :
" لاتسئلوا عن أشياء إن تبدلكم تسؤكم
" المائدة / 101
ความว่า
: “ ศรัทธาชนทั้งหลาย จงอย่าถามสิ่งต่างๆ (สิ่งที่อัลลอฮฺมิได้บัญญัติให้ปฏิบัติ)
หากสิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยขึ้น (ถูกบัญญัติให้ปฏบัติสิ่งเหล่านี้นั้น)
มันก็จะก่อให้เกิดความเลวร้าย (เพิ่มภาระและความลำบาก) แก่พวกเจ้า ” อัลมาอีดะฮฺ
โองการ : 101
และพระดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
:
" وإن تسئلوا عنها حين ينزل القرآن تبدلكم عفا الله عنها والله غفور حليم
" امائدة / 10
ความว่า
: “ และถ้าพวกเจ้าถามถึงสิ่งเหล่านั้น ขณะที่อัลกรุอ่านถูกประทานลงมา
มันก็จะถูกเปิดเผยขึ้น (ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติ)
แก่พวกเจ้าอัลลอฮฺได้ทรงอภัยสิ่งเหล่านั้นแล้ว
(โดยที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติไว้นั้นเป็นการอภัยให้แก่สู่เจ้าแล้ว )
และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงหนักแน่น ” อัลมาอีดะฮฺ โองการที่ : 101
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
ก.
คำว่า “ لاتسئلوا ” แปลว่า “ จงอย่าถาม ” เป็นคำสั่งห้าม
ซึ่งโดยหลักการแล้วถือว่าเป็นสำนวนที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด ( لفظ النهى )
นั้นก็คือการห้ามมิให้ละเมิดด้วยกันซักถามถึงบทบัญญัติต่างๆ
ที่อัลลอฮฺมิได้กล่าวถึง
ข.
ในโองการเดียวกันในท่อนสุดท้ายได้กล่าวถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงห้ามมิให้ซักถามก็เพื่อมิให้เกิดความลำบากแก่บ่าวของพระองค์หากคำถามนั้นถูกเปิดเผยขึ้นมาและถูกบัญญัติขึ้นในขณะที่สิ่งที่มิได้ถูกกล่าวถึงนั้น
เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประสงค์และเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ยกประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์โดยที่มิได้บัญญัติเป็นภาระของพวกเขาซึ่งความหมายในท่อนนี้เป็นเสมือนการบอกถึงเหตุผลที่ห้ามไม่ให้ถามนั้นก็คือเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
ฉะนั้นการห้ามในโองการนี้จึงถือว่าเป็นการห้ามที่ไม่เด็ดขาด หากเกิดการถามขึ้นมาในขณะนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ละเมิด
ค.
คำสั่งห้ามในท่อนแรกถึงแม้ว่าโดยหลักถือว่าเป็นสำนวนที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด
แต่เมื่อมีหมายที่บ่งบอก ( قرينة )
นั้นก็คือความในท่อนสุดท้ายของโองการที่เป็นตัวเปลี่ยนสถานะจากห้ามเด็ดขาดมาเป็นห้ามไม่เด็ดขาด
ฉะนั้นความหมายของการห้ามในท่อนแรกจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกห้ามอย่างไม่เด็ดขาดหรือที่เรียกว่า
“ มักรูฮฺ ”
5. อัลหะรอม ( Prohibited
: الحرام )
5.1
ความหมายของอัลหะรอม คือ
" ماطلب الشارع من العبد الكف عن فعله طلبا جازما "
“ บทกฎหมายที่กำหนดบังคับให้บุคคลงด
ละเว้น ไม่กระทำโดยแน่วแน่เด็ดขาด ”
• สำนวนกฎหมายที่กำหนดบังคับให้งด
ละเว้น ไม่ให้กระทำโดยแน่วแน่เด็ดขาด ( Forms of prohibition )
คือสำนวนที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำหรือประพฤติละเมิดต่อสิ่งต้องห้าม
ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.คำกริยาที่แสดงถึงการกระทำปัจจุบันหรืออนาคตที่ขึ้นหน้าด้วย
“ ลาอันนาฮียะฮฺ ” ( Prohibitive particle : لا الناهية ) ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
: พระดำรัสของอัลลอฮฺในอัลกรุอ่านที่กล่าวว่า :
" فلاتقل لهما أف ولاتنهرهما
" الإسراء /23
ความว่า
: “ ดังนั้นสู่เจ้าอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่าอุฟ (แทนการแสดงถึงความไม่พอใจ)
และจงอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง ” อัลอิสรอฮฺ โองการที่ : 23
และพระดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
:
" ولاتقتلوا اولادكم خشية إملاق
" الإسراء /31
ความว่า
: “ และพวกเจ้าอย่าฆ่าลูกๆของพวกเจ้าเพราะกลัวความยากจน ” อัลอิสรอฮฺ โองการที่ : 31
และพระดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า
:
" ولاتقربواالزنا إنه كان فاحشة وسآء سبيلا
" الإسراء /32
ความว่า
: “ และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณีแท้จริงมันเป็นการลามกและทางอันชั่วช้า ”
อัลอิสรอฮฺ โองการที่ : 32
ข้อสังเกตจากตัวอย่างข้างต้นนี้คือ
ก.
คำว่า لهما " " فلا تقل แปลว่า “ ดังนั้นสู่เจ้าจงอย่ากล่าวคำว่าอุฟ
และคำว่า “ ولاتقتلوا ” แปลว่า “ และสู่เจ้าอย่าฆ่า ” และคำว่า “ ولاتقربوا ” แปลว่า “ สู่เจ้าอย่าเข้าใกล้ ”
ล้วนแต่เป็นคำกริยาที่แสดงถึงการกระทำในปัจจุบันหรือการกระทำในอนาคตที่ขึ้นหน้าด้วย
ً " لا الناهية "
ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนวนที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำหรือทำการละเมิดต่อสิ่งที่ต้องห้าม
ข.
คำว่า “ لهما ” แปลว่า “ แก่ท่านทั้งสอง (บิดาและมารดา) และคำว่า “ الزنا ” “ การผิดประเวณี ”
ล้วนเป็นสิ่งต้องห้ามไม่ให้บุคคลใดละเมิดหรือกระทำโดยเด็ดขาด
ซึ่งโองการที่หนึ่งเป็นบทกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ทำร้ายจิตใจพ่อแม่อย่างเด็ดขาด
โองการที่สองเป็นการห้ามการฆ่าลูกโดยเด็ดขาด
และโองการที่สามเป็นบทกฎหมายที่ห้ามมิให้ทำการผิดประเวณีอย่างเด็ดขาด
2. กริยาคำสั่งที่ให้ความหมายให้งด
ละเว้น และให้หลีกเลี่ยง
ตัวอย่างเช่น
: พระดำรัสของอัลลอฮฺในอัลกรุอ่านที่กล่าวว่า:
" ياأيها الذين آمنواإنما الخمروالميسروالأنصاب والأزلام رجس من عمل الشيطان فاجتنبوه لعلكم تفلحون
" المائدة /90
ความว่า
: “ ศรัทธาชนทั้งหลาย แท้จริงสุรา การพนัน แท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ
และการเสี่ยงตั๋วนั้น เป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของซัยฎอน
ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ ”
อัลมาอิดะฮฺ โองการที่ : 90
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
• คำว่า “ فاجتنبوه ” แปลว่า “
ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย ” เป็นคำกริยาที่แสดงถึงการสั่งให้หลีกเลี่ยง
ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนวนที่แสดงถึงการห้ามไม่ให้กระทำการละเมิดต่อสิ่งต้องห้ามในโองการนี้
• การดื่มสุราหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสุราเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
การพนันและอะไรที่เกี่ยวข้องกับการพนันเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดด้วยบทกฎหมายนี้
สัตว์ที่เชือดในสถานที่บูชายัญการเสี่ยงตั๋ว
เป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาดด้วยบทกฎหมายนี้
3. สำนวนที่แสดงถึงการปฏิเสธการอนุมัติหรือไม่อนุญาตให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
: คำกล่าวของท่านรอซูลที่ว่า: " لايحل دم امرىء مسلم إلاباحدى ثلاث ....."
ความว่า
: “
เลือดของมุสลิมคนใดคนหนึ่งจะไม่เป็นที่อนุมัติเว้นแต่หากอยู่ในกรณีหนึ่งในสามต่อไปนี้.....
”
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
: คำว่า “ لايحل ” แปลว่า “ ไม่เป็นที่อนุมัติ ”
แสดงถึงการห้ามและไม่อนุญาตให้เกิดการสังเวยเลือดของมุสลิม
เว้นแต่ในกรณีเฉพาะที่กล่าวถึง
ซึ่งสำนวนการปฎิเสธการอนุมัติเป็นสำนวนหนึ่งของการห้ามไม่ให้ละเมิดหรือกระทำการต่อสิ่งต้องห้ามดังกล่าว
4. สำนวนที่ใช้คำว่า
، حرام " " تحرم ที่ให้ความหมายต้องห้ามในตัวของมันเอง
ตัวอย่างเช่น
: พระดำรัสของอัลลอฮฺในอัลกรุอ่านที่กล่าวว่า:
حرمت علكم الميتة والدم ولحم الخنزير
" المائدة /3
ความว่า
: “ ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าซึ่งสัตว์ที่ตายเองและเลือดและเนื้อสุกร... ” อัลมาอิดะฮฺ
โองการที่ 3
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
:
• คำว่า : “ حرمت ” แปลว่า “ ได้ถูกห้าม ”
ซึ่งคำนี้โดยตัวของมันเองแสดงถึงความหมายการห้ามไม่ให้ละเมิด
• สัตว์ที่ตายเอง เลือด และสุกร
เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด มุสลิมไม่สามารถบริโภคได้ ด้วยบทกฎหมายนี้
5. สำนวนที่แสดงถึงผลตอบแทนของการกระทำนั้นจะต้องได้รับโทษ
ตัวอย่างเช่น
: พระดำรัสของอัลลอฮฺที่กล่าวว่า:
" السارق والسارقة فاقطعواأيديهما جزآء بما كسبا نكالامن الله والله عزيزحكيم
" المائدة /38
ความว่า
: “ และขโมยชายและขโมยหญิงนั้นจงตัดมือของเขาทั้งสองคน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ และเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษจากอัลลอฮฺ
และอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ ” อัลมาอิดะฮฺ โองการที่ : 34
ข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้
• คำว่า “ السارق ” และคำ “ السارقة ” แปลว่า “ ผู้ขโมยชายและผู้ขโมยหญิง ”
ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนที่เอาสิ่งของผู้อื่นที่เก็บไว้ในสถานที่สมควร
โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีกรณียกเว้น
• คำว่า “ فاقطعواأيديهما ” แปลว่า “ พวกเจ้าจงตัดมือเขาทั้งสอง ”
เป็นคำสั่งให้ลงโทษกับผู้ที่ลักษณะเฉพาะข้างต้น
นั้นก็คือเป็นผู้ขโมยจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม
• สำนวนบทกฎหมายนี้ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่มีลักษณะเป็นผู้ขโมย
ซึ่งด้วยบทลงโทษดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการขโมยนั้นเป็นการกระทำที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
2. อัล-หุกมอัลวัฎอีย์
( Correlative law : الحكم الشرعى الوضعى )
บทกฎหมายที่กำหนดรูปแบบและวิธีการ
2.1 ความหมายของ
อัล- หุกมอัลวัฎอีย์ คือ
" خطاب الشارع بجعل الشىء سببا لشىء آخر، أوشرطاله، أومانعاله، أوصحة أوبطلانا، أوعزيمة أورخصة "
“ บทกฎหมายที่กำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อเป็นสัญญาณของหุกม
ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุ " السبب " เงื่อนไข ( الشرط ) อุปสรรค ( المانع ) ข้อผ่อนผัน ( الرخصة ) ข้อกำหนดเดิม ( العزيمة ) การมีผลถูกต้อง ( الصحة ) หรือการโมฆะ ( البطلان )
การนิยามหุกมประเภทนี้ว่าเป็นหุกมวัฎอีย์
ก็เพราะสาเหตุของบทกำหนดมีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เช่น สาเหตุเป็นที่มาของผล
โดยที่ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดสาเหตุ ซึ่งการกำหนดหรือการชี้ขาดเรื่องหนึ่งเรื่องใด
หรือการหนึ่งการใดข้อสังเกตสำคัญที่ผู้ชี้ขาดจะต้องให้ความสำคัญคือการสังเกตสาเหตุที่กำหนดโดยบทกฎหมาย
หากเป็นไปตามสาเหตุ ( السبب ) ที่ได้ระบุในบทกฎหมาย ผลของมันก็จะถือว่าถูกต้อง
เพราะสาเหตุคือสัญญาณของหุกมที่ถูกกำหนดเป็นกรอบในการชี้ว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
2. ประเภทของกฎหมายที่กำหนดรูปแบบและวิธีการ
จากนิยามข้างต้นนี้
สามารถแบ่งหุกมวัฎอีย์ ถึง 7 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ
1. อัสสะบับ :
สาเหตุ ( Cause : السبب )
2. อัศชัรฏ :
เงื่อนไข (Condition : الشرط )
3. อัล-มาแนะฮฺ :
อุปสรรค (Hindrance : المانع )
4. อัล-รุคเสาะฮฺ
: ข้อผ่อนปรน (Concessionary : الرخصة )
5. อัล-อะซีมะฮฺ
: ข้อกำหนดเดิม ข้อกำหนดที่เข้มงวด เคร่งครัด (Strict law : العزيمة )
6. อัศ-ศิหะฮฺ :
การมีผลที่ถูกต้อง (Validity : الصحة )
7. อัล-บัฏลาน :
การมีผลเป็นโมฆะ (Nullity : البطلان )
1. อัสสะบับ :
สาเหตุ ( Cause : السبب )
1.1 ความหมายของ
อัสสะบับ คือ
" الوصف الظاهر المنضبط الذي جعله الشارع علامة على حكم شرعى ، هومسببه بحيث يلزم من وجوده وجود المسبب ، ومن عدمه عدم المسبب "
“ ลักษณะที่ชัดเจนแน่นอนที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสัญญาณของหุกมโดยที่การมีของลักษณะที่เป็นมูลเหตุดังกล่าวแสดงถึงการที่จำต้องมีผลตามมาและหากขาดลักษณะที่เป็นมูลเหตุดังกล่าวแสดงถึงการขาดผลที่ถูกยอมรับ
หรือมูลเหตุเป็นที่มาของผล มีเหตุก็ต้องมีผล ขาดเหตุก็ขาดผล ”
ตัวอย่าง
เช่น พระดำรัสขององค์อัลลอฮฺที่กล่าวว่า
" من شهدمنكم الشهرفليصمه
" البقرة /185
ความว่า
: “ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น
(รอมฎอน) ” อัลบากอเราะฮฺ โองการที่ : 185
ตัวบทกฎหมายในตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าสาเหตุที่มุสลิมต้องถือศีลอดก็คือ
การเข้ามาของเดือนรอมฎอน
ซึ่งเดือนรอมฎอนเป็นสัญญาณว่ามุสลิมต้องทำการถือศีลอดทุกคน
(เว้นแต่คนที่กฎหมายยกเว้น) เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่เก้า
เป็นมูลเหตุที่เป็นสัญญาณของหุกมนั้นก็คือการถือศีลอด
1.2
ประเภทสะบับของ
สะบับหรือสาเหตุที่เป็นสัญญาณของหุกม
มี 6 ประเภทคือ
1. สะบับที่คำนึงถึงความสามารถของผู้บรรลุศาสนภาวะ
( السبب بإعتبارقدرة المكلف )
2. สะบับที่คำนึงถึงข้อบัญญัติ
( السبب بإعتبار المشروعية )
3. สะบับที่คำนึงถึงความเหมาะสม
( السبب بإعتبارالمناسبة )
4. สะบับที่คำนึงถึงที่มาของสะบับ
( السبب بإعتبارالمصدر )
5 . สะบับที่คำนึงถึงการควบกับของหุกม
( السبب بإعتبارالإقتران بالحكم )
6. สะบับทีคำนึงคำพูดและการกระทำ
( السبب بإعتبار اللفظ والفعل )
1. สะบับที่คำนึงถึงความสามารถของผู้บรรลุศาสนภาวะ
มี 2 ประเภท
1.1
สะบับที่อยู่ใต้ความสามารถของมุกัลป์ลาฟ ( سبب مقدورعليه ) กล่าวคือ ผู้ที่บรรลุศาสนภาวะ ( Responsible ) มีความสามารถที่จะกระทำหรือละทิ้ง
เช่น การฆ่าที่ไม่ชอบธรรมโดยเจตนา ( القتل العمد العدوان ) ซึ่งเป็นสาเหตุของการลงโทษกีศอศ ( Punishment : การลงโทษโดยการฆ่ากลับหรือเช่น
การทำสัญญาซื้อขาย ( عقد البيع ) เป็นสาเหตุของการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
1.2
สะบับที่ไม่อยู่ภายใต้ความสามารถของผู้บรรลุศาสนภาวะ ) ( سبب غيرمقدورعليه) กล่าวคือ
ผู้ที่บรรลุศาสนภาวะไม่มีความเกี่ยวเนื่องหรือไม่มีความสามารถที่จะทำให้มันเกิดขึ้น
หรือบังคับมันไม่ให้เกิดขึ้น เช่น การคล้อยของดวงอาทิตย์
ซึ่งเป็นสัญญาณของเข้าเวลาละหมาด
หรือการลับของดวงอาทิตย์ที่เป็นสัญญาณของการอนุญาตละศิลอด
2. สะบับที่คำนึงถึงข้อบัญญัติมี
2 ประเภท
2.1
สะบับที่ถูกบัญญัติ ( سبب مشروع ) คือสะบับที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อผลประโยชน์โดยสำคัญ ( Good judgment ) ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะเกิดผลเสียขึ้นโดยไม่เจตนาตามมาก็ตาม
เช่น การต่อสู้ในหนทางขององค์อัลลอฮฺเพื่อการธำรงไว้ซึ่งศาสนา
ถึงแม้ว่าบางครั้งจำต้องเกิดการสูญเสียตามมาก็ตาม
2.2
สะบับที่ไม่ได้ถูกบัญญัติ ( سبب غيرمشروع ) คือสะบับที่ไม่ได้กำหนดโดยกฎหมาย
ซึ่งเป็นสะบับที่ทำให้เกิดผลเสียเป็นสำคัญ
ถึงแม้ว่าอาจจะมีประโยชน์เกิดขึ้นในบางครั้ง เช่น
การซินาโดยเจตนาเพื่อให้ได้บุตรมาเลี้ยง หรือ เช่นการฆ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งมรดก
3. สะบับที่คำนึงถึงความเหมาะสมมี
2 ประเภท
3.1 สะบับที่เหมาะสมกับหุกม ( سبب مناسب للحكم ) คือการได้มาซึ่งประโยชน์ของข้อกำหนด ( الحكم )
ด้วยเพราะสะบับที่มีเป็นสัญญาณของหุกมในบทกฎหมายที่ถูกกล่าวถึงหรือการเลี่ยงผลเสียด้วยเพราะสะบับดังกล่าว
ซึ่งสามารถรับรู้ได้โดยปัญญาหรือเหตุผลที่ชัดเจน เช่น การขโมย เป็นสาเหตุที่เหมาะสมให้ต้องตัดมือ
โดยที่ทำให้เกิดประโยชน์ที่ชัดเจนนั้นคือ
การรักษาซึ่งกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของเจ้าของและเลี่ยงความเสียหายที่ทำให้ทรัพย์ต้องสูญเสียหรือหายไปโดยมิชอบธรรม
3.2 สะบับที่ไม่เหมาะสมกับหุก่ม
( سبب غير مناسب للحكم ) คือการกำหนดสะบับในบทกดฎหมายไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์หรือเกิดการเลี่ยงผลเสีย
เช่น การค้อยของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการละหมาดซุฮฺรีย์
เพราะการกำหนดสาเหตุการเข้าเวลาละหมาดไม่ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์หรือผลเสียใดๆเลย
4 . สะบับที่คำนึงถึงที่มาของสะบับ
มี 3 ประเภท
4.1 สะบับที่มาจากศาสนบัญญัติ (
سبب شرعي ) คือสะบับที่ถูกกำหนดโดยศาสนาเท่านั้น เช่นการกำหนดเวลาต่างๆ
เพื่อแสดงถึงความจำเป็นที่ต้องทำการละหมาด
4.2 สะบับที่มาจากปัญญา ( سبب عقلي ) คือสะบับที่มีต้นกำเนิดจากเหตุผลทางปัญญา
เช่น สิ่งตรงกันข้ามไม่สามารถอยู่ร่วมกันในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
การตายเป็นสาเหตุของการไม่มีชีวิต
4.3
สะบับที่มาจากวัฒนธรรมการปฏิบัติที่เคยชิน ( سبب عادي )
คือสะบับที่กำนิดเกิดขึ้นจากสิ่งปฏิบัติที่เคยชิน เช่น
การเชือดเป็นสาเหตุของการปลิดชีพ
5. สะบับที่คำนึงการมีอยู่คู่กับหุก่ม
มี 2 ประเภท
5.1 สะบับที่มีอยู่ก่อนหุก่ม ( سبب متقدم على الحكم ) เช่น สาเหตุต่างๆ
ที่แสดงถึงการเข้าของเวลาของการละหมาด,
ซากาต, เป็นต้น
5.2 สะบับที่มีพร้อมกับหุก่ม ( سبب مقارن للحكم )
เช่นการฟื้นแผ่นดินว่างเปล่าเป็นสาเหตุของการถือกรรมสิทธิ์
6. สะบับที่คำนึงถึงคำพูดและการกระทำมี
2 ประเภท
6.1 สะบับที่เป็นคำพูด ( سبب قولي ولفظي ) คือสะบับที่ยึดถือวาจาเป็นหลัก เช่น
คำตอลาก คำเสนอและการสนองในการทำพิธีการแต่งงาน การทำสัญญาการซื้อขายที่ใช้วาจา
เป็นต้น
6.2 สะบับที่เป็นการกระทำ ( سبب فعلي ) คือสะบับที่เกิดขึ้นจากการกระทำ การดื่มสิ่งมึนเมาเป็นสาเหตุของการถูกลงโทษ, การขโมยเป็นสาเหตุของการถูดตัดมือ
ข้อแตกต่างระหว่างสะบับที่เป็นคำพูดกับสะบับที่เป็นการกระทำ
คือสะบับที่เกิดจากคำพูดจะไม่มีผล หากเกิดจาดคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมไม่ให้ ( Under an interdict : المحجور عليه ) เช่นการทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายจะไม่มีผลหากบุคคลที่ถูกตัดสินเป็นผู้ล้มละลายทำการซื้อขายด้วยวาจา
แต่หากเกิดจากการกระทำ จะถือว่ามีผล
เพราะทำข้อสัญญาที่มาจากวาจาสามารถทำการยกเลิกได้
แต่สาเหตุที่เกิดจากการกระทำหากเกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการยกเลิกได้
2. อัชชัรฏฺ :
เงื่อนไข ( Condition : الشرط )
2.1 ความหมายของ
อัชชัรฏฺ : เงื่อนไข คือ
" الوصف الظاهر المنضبط الذي جعل الشارع علامة على حكم شرعي بحيث لا يلزم من وجوده وجود ولا عدم لذاته ولكنه يلزم من عدمه عدم المشروط "
“ ลักษณะที่ชัดเจนแน่นอน
ที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสัญญาของหุก่มโดยที่การมีของลักษณะดังกล่าว
ไม่ได้แสดงถึงการมีหรือไม่ของหุก่ม
แต่หากไม่มีแล้วจะแสดงถึงการไม่มีของสิ่งที่ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขนั้นๆ ”
ตัวอย่างเช่น การอาบน้ำละหมาดเป็นเงื่อนไขของการละหมาด เพราะอัลลอฮ
ได้ทรงกำหนดของการคงอยู่ในสภาพมีน้ำละหมาดนั้นเป็นเงื่อนไขของการละหมาด
ดังนั้นการละหมาดจะไม่มีผลหากขาดเงื่อนไขดังกล่าว แต่หากมีเงื่อนไข( มีน้ำละหมาด)
มิได้หมายความว่าการละหมาดจะมีผลเสมอเพราะอาจจะละหมากก่อนเข้าเวลาหรือละหมาดโดยขาดรุก่นหนึ่ง
รุก่นใดของการละหมาดก็ได้
2.2 ประเภทของอัชชัรฏฺ
เงื่อนไข
อัชชัรฏฺหรือเงื่อนไขที่เป็นสัญญาณของหุก่ม
มี 3 ประเภท
• อัชชัรฏฺที่คำนึงถึงลักษณะ باعتبار وصفه ) الشرط )
• อัชชัรฏฺที่คำนึงถึงเป้าหมาย الشرط باعتبار قصد المكلف له ) )
• อัชชัรฏฺที่คำนึงถึงที่มา ( الشرط باعتبار المصدر )
• อัชชัรฏฺที่คำนึงลักษณะมี 4 ประเภท
• อัชชัรฏฺที่มีลักษณะเป็นเหตุผลทางปัญญา
( شرط عقلي
)คือสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยเหตุผลหากไม่มีลักษณะเงื่อนไขดังกล่าว
เช่นความรู้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากชีวิต
• อัชชัรฏฺที่มีลักษณะปกติธรรมดา( شرط عادي ) คือเงื่อนไขธรรมดาที่ต้องมีหากคำนึงถึงการเกิดสิ่งหนึ่งๆ
เช่น การขึ้นที่สูงๆต้องมีเครื่องมือช่วย เช่นการขึ้นบนหลังคาต้องมีบันใดขึ้น
• อัชชัรฏฺที่มีลักษณะเป็นคำพูด ( شرط لغوي ) เช่นคำพูดที่กล่าวว่า “
หากเธอสอบผ่านฉันจะให้รางวัลแก่เธอ ” ซึ่งเป็นการตั้งเงื่อนไขที่มีลักษณะเป็นวาจา
• อัชชัรฏฺที่มีลักษณะเป็นศาสนบัญญัติ(
شرط شرعي )
คือสิ่งที่ศาสนาได้กำหนดให้เป็นเงื่อนไขของการมีหรือการยอมรับต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เช่นการมีน้ำละหมาดเป็นเงื่อนไขของการละหมาด
2. อัชชัรฏฺที่คำนึงถึงเป้าหมายมี
2 ประเภท
2.1
อัชชัฏฺที่กำหนดโดยบทกฎหมายที่มีเจตนาโดยชัดเจน จะเป็นบทกำหนดที่บัญชาให้มีขึ้น
เช่น น้ำละหมาดกับการเป็นเงื่อนไขของการละหมาด หรือบทกำหนดที่ห้ามมิให้เกิดขึ้น
เช่นการตั้งเงื่อนไขของการนิกะห์เพื่อเปิดโอกาสให้สามีคนแรกกลับคืนดีกับภรรยาที่หย่าขาดสามครั้ง
( النكاح المحلل )
2.2
อัชชัรฏฺที่ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อกำหนดให้กระทำหรืองด
แต่เป็นสิ่งที่ศาสนาได้บัญญัติขึ้นเพื่อเป็นเกณฑ์เท่านั้น เช่น เหาลฺหรือรอบปี ( Twelvemonths:
الحول ) เป็นจุดกำหนดเงื่อนไขที่ต้องจ่ายซากาต ซึ่งการคงไว้ซึ่งทรัพย์สินจนถึงระยะเวลาหนึ่งปีเพื่อให้เกิดความจำเป็นในการจ่ายซากาตไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกกำหนดให้กระทำหรือให้งด
แต่มันเกิดขึ้นของมันเมื่อสภาพทรัพย์สินดังกล่าวถึงพิกัดและเงื่อนไขเวลาได้มาถึง
3. อัชชัฏฺที่คำนึงถึงที่มามี
2 ประเภท
3.1 อัชชัรฏฺที่มาจากบทบัญญัติศาสนา
( Legal Condition: شرط شرعى ) ซึ่งเมื่อมีการกล่าวถึงในตำราวิชาการกฎหมายอิสลาม
ก็จะหมายถึงชัรฏประเภทนี้
3.2
อัชชัรฏฺที่เกิดจากการกำหนดของบุคคล( Positive condition among human
beings: شرطجعلى )
คือเงื่อนไขที่บุคคลทั่วไปกำหนดขึ้น
เช่น การกำหนดเงื่อนไขบางอย่างในการซื้อขาย
หรือการวางเงื่อนไขบางอย่างในการข้อสัญญาการแต่งงาน เป็นต้น
ซึ่งการจะถือว่าเงื่อนไขนี้ชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ต้องดูความสอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายอิสลามหรือไม่
ซึ่งหากสอดคล้องก็จะถือว่าชอบธรรมและถูกต้อง
หากไม่สอดคล้องก็จะถือว่าไม่ชอบธรรมและไม่ถูกต้อง
4. อัลมาแนะอ :
อุปสรรค ( Hindrance: الما نع )
4.1
ความหมายอัลมาแนะอ : อุปสรรค คือ
ً " (( الوصف الظاهرالمنضبط الذى جعله الشا رع علامة على حكم شرعى بحيث لا يلز م من عدمه عدم ولا وجود لذا ته ولكنه يلزم من وجوده عدم الحكمً ))
“ ลักษณะที่ถูกกำหนดให้เป็นสัญญาณของหุก่มโดยที่การปลอดจากลักษณะดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกถึง
การมีหรือไม่มีของหูกม
แต่หากมีลักษณะดังกล่าวควบคู่อยู่ด้วย บ่งบอกถึงการตกไปของหุก่ม ”
ตัวอย่าง
เช่น การมีประจำเดือนกับการละหมาด ซึ่งการไม่มีประจำเดือนนั้นไม่ได้แสดงว่ามีการละหมาดอยู่
บุคคลที่ไม่ได้มีประจำเดือนบางคนอาจจะละหมาด และบางคนอาจจะละเลยไม่ได้ละหมาด
แต่หากสตรีได้เกิดมีประจำเดือนขึ้นมา การละหมาดก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับนาง
4.2
ประเภทของอัล-มาแนะอ : อุปสรรค
อัล-มาแนะอหรืออุปสรรคที่เป็นสัญญาณของการขาดหูก่มมีหลายประเภท
เช่น
1) อัลมาแนะอตั้งแต่ต้นเหตและต่อเนื่อง
( Full hindrance: الما نع ابتداء واشهاء )
คือลักษณะที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้หุก่มขาดหายไป
จะเป็นการเริ่มต้นหรือได้เริ่มกระทำไปแล้วก็ต้องเป็นโมฆะ เช่น พี่น้องร่วมแม่นม
(ที่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่บทกฎหมายได้กำหนดไว้ ) กับการแต่งงาน
ได้ทำการสมรสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
การที่ทั้งสองเคยร่วมดื่มนมจากแม่นมเดียวกันเป็นอุปสรรคทำให้การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะไป
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ร่วมกันจนได้ลูกแล้วก็ตามก็จำต้องแยกทั้งสองออกจากกันโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
2) อัลมาแนะอที่ต้นเหตุแต่ไม่มีผลในกรณีต่อเนื่อง
( Partial hindrance at the early: الما نع ابتد لا انتهاء )
คืออุปสรรคที่ต้นเหตุ
แต่หากมีการละเมิดเกิดขึ้นก็จะไม่มีผลเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น
การครองตนในอิหรอมหัจย์หรืออุมเราะฮ
กับการแต่งงานซึ่งการครองตนในอิหรอมเป็นอุปสรรคที่ต้องห้ามไม่ให้กระทำพิธีการแต่งงาน
แต่ว่าหากมีการละเมิดโดยมีการจัดการแต่งงานให้สำหรับผู้ที่ครองตนในอิหรอมแล้ว
การเข้าพิธีแต่งงานดังกล่าวเป็นบาปที่ต้องห้าม แต่ไม่มีผลเป็นโมฆะ
สามีภรรยาทั้งสองสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้หลังจากที่ทำกิจหัจญ์หรืออุมเราะฮเสร็จสมบูรณแล้ว
โดยที่ไม่ต้องทำพิธีแต่งงานใหม่
3) อัลมาแนะอที่ผลกับการต่อเนื่อง
แต่ไม่มีผลกับต้นเหตุ ( Partial hindrance at late stage: الما نع انتهاء لا ابتداء )
คืออุปสรรคที่มีผลกับการต่อเนื่อง
แต่ไม่มีผลต่อการเริ่มต้นใหม่ ตัวอย่างเช่น การตอลาก (การหย่าครั้งแรกกับครั้งที่สอง)เป็นอุปสรรคกับการอยู่ร่วมกันต่อไป
แต่ไม่เป็นอุปสรรคที่จะทำการแต่งงานใหม่เพื่ออยู่ร่วมกันใหม่
4 . อัล –
รุคเศาะฮ : ข้อดีผ่อนปรน , การยินยอม ( Concessionary
: الرخصة )
4.1 ความหมายของ
: อัลรุคเศาะฮ คือ
( الحكم الثابت علي خلاف الد ليل لعذر )
“ บทบัญญัติที่ถูกกำหนดขึ้นโดยที่มีความแตกต่างจากข้อกำหนด
ที่ยึดหลักฐานเดิมเพราะมีเหตุจำเป็น ”
ตัวอย่างเช่น
การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ตายเองโดยการไม่ได้เชือดเป็นสิ่งที่อนุมัติหากอยู่ในภาวะขัดสนไม่มีอะไรจะกิน
และหากไม่กินแล้วจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือว่ายึดถือหลักการบัญญัติว่าด้วยการผ่อนปรนหรือ อัล –
รุคเศาะฮ
4.2 ประเภทของ
อัล -รุคเศาะฮ
อัล
– รุคเศาะฮ หรือข้อผ่อนปรนที่เป็นบทบัญญัติที่แตกต่างจากบทบัญญัติทั่วไป
ด้วยมีเหตุหรือกรณีจำเป็น นั้น มี 2 ประเภท
1. รุคเศาะฮ
ที่คำนึงถึงข้อกำหนด الرخصة من حيث الحكم ) )
2. รุคเศาะฮ
ที่คำนึงถึงสถานะของการกระทำ الرخصة من حيث الفعل ) )
1. รุคเศาะฮ
ที่คำนึงถึง ข้อกำหนด มี 5 ประเภท
1.1 รุคเศาะฮ ที่เป็นวาญิบ
จำเป็นที่บุคคลที่อยู่ในภาวะเฉพาะต้องกระทำหาไม่แล้วถือว่าเป็นผู้ละเมิดบทบัญญัติ
ตัวอย่างเช่น
ผู้ที่อยู่ในภาวะขับขันไม่มีอะไรจะกินนอกจากซากสัตว์ ที่ตายเองโดยไม่ได้เชือด
ถ้าหากเขาไม่กินจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต บุคคลนั้นจำต้องกินซากสัตว์ดังกล่าว
หากเขางดหรือไม่ยอมกินด้วยเหตุหลักที่ถือว่าการกินซากสัตว์ที่ตายเองนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเขลาของเขา
เพราะกฎหมายอิสลามได้กำหนดกฎหมายเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในกรณีดังกล่าวสามารถบริโภครับประทานซากสัตว์ได้
ตรงการข้ามหากบุคคลดังกล่าวไม่ยอมกินจนถึงเกิดอันตรายถึงชีวิต
จะถือว่าเป็นผู้ละเมิดที่จะต้องรับการลงโทษจากอัลลอฮ ในวันตัดสิน
1.2 รุคเศาะฮ ที่เป็นสุนัต
หรือข้อผ่อนปรนที่เป็นการส่งเสริมให้บุคคลเลือกกระทำ
ตัวอย่างเช่น
บุคคลที่อยู่ในภาวการณ์เดินทางไกลมีข้อกำหนดที่เป็นข้อผ่อนปรน
สำหรับเขาด้วยการเลือกที่จะทำการย่อ ละหมาด จาก 4 รอกะอัต เป็น 2
รอกะอัตได้ แต่เป็นที่ส่งเสริมให้เลือกกระทำคือ การเลือกย่อละหมาด แค่ 2 รอกอัตเท่านั้น
1.3 รุคเศาะฮ ที่เป็นมูบาห์
หรือ ข้อผ่อนปรนที่เปิดโอกาสให้บุคคลเลือกกระทำหรืองดไม่กระทำ ซึ่งมีค่าเท่าๆ กัน
ตัวอย่างเช่น
การเช่าซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งของด้วยการจ่ายค่าสิทธิประโยชน์แต่ไม่มีสิทธิทางการครอบครอง
ซึ่งโดยหลักแล้วการใช้ประโยชน์จะถือว่าสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นอยู่ภายใต้การครอบครองหรือการเป็นเจ้าของ
แต่กฎหมายอิสลามก็อนุมัติเป็นกรณีเฉพาะ
ให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้ด้วยการเช่า
ซึ่งการเช่านั้นเป็นข้อผ่อนปรนที่มูบาห์ ที่บุคคลจะเลือกกระทำหรือไม่ก็ได้
1.4 รุคเศาะฮ
ที่เป็นการคีลาฟฟูลเอาลา ( خلاف الاولي )
หรือข้อผ่อนปรนที่กำหนดให้กระทำได้แต่การงดหรือไม่กระทำเป็นการดีกว่า
ตัวอย่างเช่น
การละศีลอดสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง
โดยที่การคือศีลอดสำหรับเขานั้นไม่มีความยากลำบากหรือไม่มีอันตรายได้เกิดขึ้นหากาเขาถือศีลอด
ซึ่งการละศีลอดของบุคคลในลักษณะดังกล่าวนี้ถือว่ากระทั่งได้
ตามหลักกฎหมายด้วยข้อผ่อนปรน
แต่หากเขายึดที่จะถือศีลอดเสมือนบุคคลที่อยู่ในภาวะปกติก็ถือว่ากระทำได้และเป็นการดีกว่า
1.5 รุคเศาะฮ์ มักรุฮะฮ ( رخصة مكروهة ) หรือข้อผ่อนปรนที่ไม่พึ่งประสงค์หรือไม่ ส่งเสริมให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
การตั้งเจตนาเดินทางไกลเพื่อให้ได้กระทำในสิ่งที่เป็นข้อผ่อนปรน
ซึ่งผู้ถือศีลอดภาวะไม่เป็นที่อนุญาตให้ร่วมหลับนอนกับภรรยา
หากละเมิดก็ต้องทำการชดใช้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่เป็นข้อผ่อนปรนสำหรับผู้เดินทางที่จะละศีลอดและทำการหลับนอนกับภรรยาในระหว่างการเดินทาง
ซึ่งหากผู้เดินทางดังกล่าวไม่มีกิจการงานใดๆ
นอกจากเพื่อให้ได้มาข้อผ่อนปรนโดยเจตนา
การได้มาซึ่งข้อผ่อนปรนดังกล่าวถือว่าเป็นข้อผ่อนที่ไม่ควรกระทำหรือไม่ส่งเสริมให้กระทำ
2. รุคเศาะฮ
ที่คำนึงถึง สถานะของการกระทำมี 2 ประเภท
2.1 รุคเศาะฮ อัตตัรกี ( Concessionary
low which is to be not done : رخصة التر ك )
คือข้อผ่อนปรนให้บุคคลที่อยู่ในสภาพเฉพาะ
มิต้องปฏิบัติ
หรืองดกระทำในสิ่งที่เป็นภาระหน้าที่ที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลต้องปฏิบัติอย่างแน่วแน่เด็ดขาดในภาวะปกติ
เพราะจะทำให้เกิดอันตรายหรือกระทบกับปัจจัยห้าที่พึ่งปกป้องรักษา (ศาสนา , ชีวิต ,
ทรัพย์สิน , ปัญญา , เกียรติยศ)
ตัวอย่างเช่น
ผู้ที่บรรลุศาสนา ภาวะจำต้องทำการศีลอด เมื่อถึงเดือนรอมาดอน แต่หากเขาป่วยหนัก
ไม่สามารถาคือศีลอด ตามที่กฏหมายได้กำหนดไว้ ก็เป็นข้อผ่อนปรนสำหรับเขาที่จะงดหรือไม่ปฏิบัติการถือศีลอด
ซึ่งหากเขาเลือกที่จะกระทำหรือปฏิบัติและเกิดอันตรายกับร่างกายหรือชีวิต
การกระทำของเขาก็เป็นการละเมิดหลักกฎหมายข้อข้อนี้และถือว่าเป็นผู้กระทำผิดด้วย
2.2 รุดเศาะฮ อัลฟิอฺลี ( Concessionary
law that is to be done رخصة الفعل : )
คือ
ข้อผ่อนปรนให้บุคคลที่อยู่ในสภาพเฉพาะจำต้องกระทำหรือปฏิบัติในสิ่งที่เป็นต้องห้ามตามข้อกำหนดกฎหมายในภาวะปกติ
หากไม่กระทำแล้วอาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย
ชีวิตหรือกระทบกับปัจจัยห้าที่พึ่งปกป้องรักษา (ศาสนา , ชีวิต ,
ทรัพย์สิน , ปัญญา , เกียรติยศ)
ตัวอย่างเช่น
ผู้ที่อยู่ในภาวะอดอยาก ไม่มีอะไรจะกินนอกจากซากศพหรือซากสัตว์
เขาจำต้องกินซากสัตว์ที่ตายเอง
ถึงแม้ว่าสัตว์ที่ตายเองโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการเชือดเป็นสิ่งต้องห้ามตามข้อกำหนดกฎหมาย
แต่สภาพที่เขากำลังประสบอยู่นั้น กฎหมายได้กำหนดข้อผ่อนปรนให้กระทำได้เพื่อรักษาชีวิตอันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าจริยธรรมการกิน
ซึ่งหากาเขาไม่กระทำแล้วถือว่าเป็นผู้ละเมิดหลักกฎหมายาข้อนี้
5. อัล – อะซีมะฮ
( Strict low : العز يمة )
คือข้อกำหนดกฎหมายในภาวะปกติทั่วไป
โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
ตัวอย่างเช่น
การคือศีลอดสำหรับผู้ที่บรรลุศาสนาภาวะในยามปกติที่ไม่ได้เจ็บป่วยและไม่ได้อยู่ในระหว่างการเดินทาง
รู้ถึงการมาของเดือนรอมาดอน และไม่มีลักษณะที่เป็นที่เงื่อนไข
หรือเหตุผลของความจำเป็น
เขาจึงต้องปฏิบัติการถือศีลอดตามที่ข้อกฎหมายที่ได้กำหนดอย่างเด็ดขาดและแน่วแน่
หาไม่แล้วถือว่าเป็นผู้ละเมิดกฎหมายข้อนี้ ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
6. อัศ – ศิหหะฮ
( Validity : الصحة )
คือ
ผลของการกระทำหรือพฤติกรรมของบุคคลที่กฎหมายถือว่าถูกต้องสมบูรณ์และมีผลตามกฎหมาย
ตัวอย่างเช่น
1. การละหมาดของบุคคลที่ทำตามเงื่อนไของค์ประกอบ
และวิธีการตามที่กำหนดโดยกฎหมายทุกอย่างโดยสมบูรณ์
จะถือว่ามีผลที่ถูกต้องตามกฎหมาย และถือว่าบุคคลนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่
ของตัวเองแล้ว
2. การซื้อขายของบุคคลที่ทำตามเงื่อนไข
องค์ประกอบและวิธีการตามที่กำหนดโดยกฎหมายทุกอย่างโดยสมบูรณ์
จะถือว่ามีผลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ซื้อมีสิทธิต่อสิ่งของที่ซื้อขายทุกอย่าง
ผู้ขายก็มีสิทธิต่อผลตอบแทนที่เป็นราคาทุกอย่าง และถือว่ามีผลตามกฎหมาย
7. อัล – บุฏลาน
( Nullity : البطلا ن )
คือ
ผลของการกระทำหรือพฤติกรรมของบุคคลที่กฎหมายถือว่าเป็นโมฆะ และไม่ผลตามกฎหมาย
ตัวอย่างเช่น
1. การละหมาดของบุคคลที่ขาดองค์ประกอบหรือทำผิดเงื่อนไข
จะถือว่าเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย จำต้องทำการละหมาดใหม่
และตราบไดที่บุคคลนั้นยังไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องก็ถือว่าเป็นภาระที่จำต้องรับผิดชอบตลอดไป
2. การซื้อขายที่ขาดองค์ประกอบหรือทำผิดเงื่อนไข
จะถือว่าเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย
ผู้ซื้อไม่ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองสิ่งของที่ได้มาโดยกฎหมาย
ผู้ขายก็ยังไม่สิทธิ ในการถือครองค่าตอบแทนที่ได้มา
และถือว่าการซื้อขายดังกล่าวยังไม่มีผลตามกฎหมาย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก