วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อาณาจักรออตโตมาน Ottoman Empire الإمبراطورية العثمانية

       อาณาจักรออตโตมาน Ottoman Empire الإمبراطورية العثمانية
นั่งเปิดดูรูปเก่าๆ ที่ไปทำฮัจย์มา เห็นชาวต่างชาติมากมาย มาจากประเทศ เลยนึกถึงประวัติศาสตร์อิสลามขึ้นมา เห็นรูปมุสลิมบอสเนียและอื่นๆ ก็เลยอดที่เล่าเรื่องเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ของอิสลามไม่ได้
       อิสลามเริ่มเผยแผ่ศาสนาจากท่านเราะซูลุลลอฮิ ท่านเกิดเมื่อ ค.ศ. 570 – 632 (พ.ศ. 1113 - 1175) นบีจากไปเมื่อ ฮ.ศ. 11 ท่านนบีเคยทำการค้าระแวก รอบๆ คาบสมุทรอาราเบีย เพราะการค้าขายของท่านด้วย ที่ทำให้การเผยแผ่อิสลามจึงไปได้ง่ายและไกลในยุคนั้น การเผยแผ่แรกๆ ก็มีไปที่เยเมน นัญจะดี อบิสสิเนีย (ประเทศเอธิโอเปียและอิริเธรียในอาฟริกาตะวันออก ปัจจุบัน) ซึ่งเยเมนกับอบิสสิเนียสมัยนั้นก็มีอิทธิพลศาสนายิวและศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแผ่มาก่อน ศาสนายิวและคริสต์สมัยก่อนนั้นยังมีความเป็นศาสนาของอัลลอฮุมาก ทั้งสองศาสนานั้นนักการศาสนาจะรู้ว่า จะมีนบีมุฮัมมัดมา เทศนาเผยแผ่อิสลาม พวกเขาจึงยอมรับอิสลามง่าย สมัยยุคการอพยบแรกๆ (ฮิจเราะห์) ท่านนบีเอาพี่น้องมุสลิมไปฝากกับกษัตริย์อบิสสิเนียถึงสองครั้งสองครา ก่อนที่ท่านเองจะฮิจเราะห์ไปมะดินะห์ การยืนยันว่าอบิสสิเนียหรือประเทศเอธิโอเปียและอิริเธรียปัจจุบันมีศาสนายิว คริสต์อิสลาม ก็เพราะสมัยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยิวไซออนไนต์ (พวกยิวนอกคอกหย่อนยานทางศาสนา ก่อตั้งลัทธิคลั่งชาติ) ช่วยกันหลายวงการ พวกที่มีอำนาจในสภาในอังกฤษก็ผลักดันรัฐสภาให้ออกกฎหมายซื้อที่ดินในปาเลสไตน์) ยิวในยุโรปหลายประเทศ ที่มีมากและหัวคิดรุนแรงสุดก็คือยิวในเยอรมัน คิดวางแผนจะซื้อประเทศเยอรมันไว้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนถาวร จะได้รวบรวมชาวยิวมาตั้งรกรากที่นี่ แผนการรั่วไหลในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์รู้ข่าวกรองนี้ ก็เลยสั่งการให้กวาดต้อนชาวยิวทั่วทั้งดินแดนยุโรปตะวันออก ในเยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี โปแลนด์ ขึ้นรถไฟ รถบรรทุกมากักขังไว้ค่ายต่างๆ ที่มากที่สุดคือที่ค่าย เอาท์วิก โปแลนด์ ฆ่าทุกรูปแบบ ต้อนเข้าห้องโถงปล่อยแก็สให้รมตายทีละเป็นหลายๆ ร้อย ยิงเป้า อดอาหารอดน้ำตายไปก็มาก พวกยิวที่มีความรู้มีการศึกษาหน่อยก็แอบหนีไปต่างประเทศได้หลายคน มี อัลเบิร์ด ไอซืไตน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ (ระเบิดปรมาณู) และพรรคพวกหนีไปทางสวิสเซอร์แลนด์ แล้วอเมริกามารับตัวไปทั้งคณะ ที่หนีไปทางรัสเซียก็มากช่วยรัสเซียค้นคิดเรื่องอากาศยานเครื่องบิน อาวุธสงคราม ยานอวกาศ พวกที่หนีเข้าอังกฤษ ฝรั่งเศสไม่มีผลงานอะไรมากนัก กลับไปเรื่องยิวไซออนไนต์อีกที ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกรัฐสภาในอังกฤษก็นำเอาเรื่องการกว้านซื้อที่ในปาเลสไตน์ แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะพวกปาเลสไตน์ ไม่ยอมขายให้ พวกไซออนไนต์ก็ไม่ลดความพยายาม ก็วางแผนกว้านซื้อที่ดินในปาเลสไตน์จากชาวยิวท้องถิ่น พอได้ที่ดินมาบ้างก็หาอาสาสมัครไปอยู่ จนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง อังกฤษซึ่งครอบครองอำนาจอยู่แถบดินแดนอารอเบียอยู่ก่อนแล้ว ก่อนสงครามโลกที่ 1  (ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ อิยิปต์ เยเมน โอมาน บาห์เรน อิรัก) พอจบสงครามโลกที่ 2 ก็ทำการกว้านซื้อที่ดินจากปาเลสไตน์ต่อไปอีก แล้วก็นำพวกยิวที่เหลือจากการฆ่าของฮิตเลอร์มาตั้งถิ่นฐานที่ปาเลสไตน์ ที่ดินที่ซื้อนี้พวกปาเลสไตน์ไม่ได้รับเงินจากอังกฤษแต่ยิวจ่ายให้อังกฤษไปแล้วเรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1947 แผนการของพวกไซออนไนต์บรรลุความสำเร็จในการวางแผนให้อัฏฤษและอเมริกาผลักดันให้สมัชชาสหประชาชาติ ลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย อย่างนี้เรียกว่าพวกมหาอำนาจอังกฤษอเมริกาเข้ารุกรานปล้นดินแดนประเทศปาเลสไตน์ไปให้ยิวไซออนไนต์ เมื่ออิสราเอลก่อตั้งประเทศได้อังกฤษอเมริกาก็ให้การสนับสนุนทางการทหารทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และนายทหารพลทหาร รับสมัครทหารรับจ้างจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันพวกยิวก็รุกรานด้วยอาวุธสงครามกับเพื่อนบ้านฮุบเอาดินแดนบางส่วนของเลบานอน ที่ราบสูงโกลานในซีเรีย แทรกซึมวางแผนยุแหย่ให้ประเทศอาหรับและตะวันออกกลางทะเลาะกันเอง โค่นล้มรัฐบาลเก่าๆ ที่อาจเป็นอันตรายแก่อิสราเอลได้ ให้เงินสนับสนุนกลุ่มกบฏต่างๆ ยิวไซออนไนต์เข้ามารุกราน ปล้นประเทศและยึดครองปาเลสไตน์ใหม่ๆ พอสร้างเป็นประเทศได้ก็ไปชักชวนชาวยิวเอธิโอเปียมาอาศัยด้วย เอธิโอเปียจึงถูกเผยแพร่ออกมาว่ามีวัด โบสถ์ วิหาร ยิว คริสต์ อิสลาม มากมาย 
ต่อมาสมัยท่านอบูบักร อบูกุฮาฟะฮฺ (ฉายา)อัซซิดดิก อายุน้อยกว่านบี 2 ปี เกิดปี ค . ศ .573 ปกครองมุสลิมที่นครมะดินะห์ปี ฮ.ศ. 11-13 หรือ ค.ศ. 632-634 ไม่ได้เผยแผ่ศาสนาออกไปมากนักปกครองมุสลิมอยู่ในเมืองมะดินะห์อย่างสงบ ทำนุบำรุง ฟื้นฟูด้านการศาสนาให้ดีขึ้น ให้มีการรวบรวมอัลกุรอานที่เขียนไว้บนวัสดุต่างๆ นำมาเขียนเพิ่มเติมใส่วัสดุที่คงทนถาวรมากขึ้น ชาวยิวในมะดินะห์ก็สงบไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนสมัยก่อนหน้า ปราบปรามกบฏผู้ทรยศต่อรัฐอิสลามและปราบปรามศาสดาปลอม ได้ส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปรบกับพวกโรมันที่ซีเรีย ภายใน 3 สัปดาห์ กองทหารของอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะที่มีต่อชาวโรมัน ท่านอบูบักร์เสียชีวิตในปีอิจญเราะฮฺที่ 13 ขณะที่ท่านอายุ 63 ปี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ ในระยะเวลา 2 ปี กับ 10 คืน ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้แต่งตั้งแต่งตั้งท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ต่อไป
ต่อมาสมัยท่านอุมัร บิน ค็อตต็อบ อายุน้อยกว่านบี 13 ปี เกิดปี ค.ศ. 513 เป็นเคาะลีฟะห์ที่ 2 ระหว่างปี ฮ.ศ. 13-23 หรือ ค.ศ. 634-644   ท่านอุมัรเข้ารับอิสลามเพราะได้ยินน้องสาวอ่านอัลกุรอาน เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เป็นอย่างดีและเข้าถึงทุกชนชั้น ด้านการศาสนาก็ดำริให้การละหมาดตะรอวี๊ห์ เป็นญะมะอะห์(ละหมาดร่วมกัน) ด้านการเมือง ก็ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุขพี่น้องอย่างทั่วถึง ด้านการเผยแผ่อิสลามไปต่างแดนก็ได้ส่งทูตไปหลายๆประเทศ เช่นทางตะววันตกส่งทูตไปถึงอิยิปต์แล้วข้ามแม่น้ำไนล์ไป แรกๆไปถึงแม่น้ำไนล์ไม่รู้จะไปต่อกันอย่างไร เพราะเป็นอาหรับทะเลทราย คณะทูตก็ส่งสาสน์กลับไปหาท่านอุมัรว่าติดอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ท่านอุมัรก็ตอบกลับไปให้คอยดูลักษณะน้ำ แล้วตรวจสอบกับคนพื้นเมือง จนมีโอกาสข้ามไปได้ในที่สุด คณะทูตท่านอุมัรก็เผยแผ่เลยออกไปตะวันตกมากขึ้นมากขึ้น ไม่มีการบันทึกว่าสมัยท่านได้ไปถึงไหน รู้แต่ว่าไปได้ไกลกว่าแม่น้ำไนล์ไปมาก จนไปถึงดินแดนทุระกันดารมากๆเข้าก็หยุด
ในสมัยอุมัรนี้ มุสลิมได้แผ่ขยายดินแดนออกไปจนเกือบจะถึงพรมแดนของประเทศปากีสถานในปัจจุบัน บรรดาประชาชนในสมัยนั้นยังคงเคารพบูชาไฟ และรูปเจว็ด และเขาเหล่านั้นได้แสดงความกระด้างกระเดื่องไม่ยอมอ่อนน้อมต่อมุสลิม สามารถพิชิต ปากีสถานได้สำเร็จ ไปถึงยังเมืองลาโฮร์
ด้านการทูตทางตะวันออกก็ส่งไปถึงอิรัก และอิหร่าน อิหร่านนับถือศาสนาบูชาไฟ
(Zoroaster และ فارسية) ซึ่งเป็นศาสนาที่มียิวและคริสต์ปะปนเรื่องความเชื่อความศรัทธาอยู่ เมื่อครั้งสมัยยิวอพยบไปอยู่ที่บาบิโลน(อิรัก ดินแดนเมโสโปเตเมีย) เมื่ออิสลามแผ่เข้ามาก็เกิดการเฉื่อยชา กระด้างกระเดื่องไม่ได้รับอิสลามแบบศรัทธา สมัยท่านอุมัรยังส่งทหารไปรบกับโรมันที่ชามจนได้ชัยชนะ และส่งทหารเข้าไปปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นอิสระจากโรมันด้วย
การทูตทางทิศเหนืออยู่ที่ดินแดนชามรบชนะโรมันมา (ปาเลสไตน์, ซีเรียและตุรกี) อุมัรเสียชีวิตเนื่องจากบาดเจ็บจากถูกลอบสังหารโดยชาวเปอร์เซียในปี ค.ศ. 643 ในขณะที่ท่านกำลังละหมาดอยู่ในมัสยิด
ท่านอุษมานเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 3 ระหว่างปี ฮ.ศ. 23-35 หรือ ค.ศ. 644-656 แห่งเผ่าอุมัยยะฮ์(ตระกูลนี้ภายหลังได้ปกครองอาณาจักรอิสลามในภายหลัง) อุสมานมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 5 ปี ท่านอุษมานได้พิชิตดินแดนต่างๆ  ต่อจากท่านอุมัร ในการขยายดินแดนจนถึงอัฟกานิสถาน อาร์เมเนีย อาร์เซอร์ไบจัน และบางส่วนของเอเซียไมเนอร์(แถบบริเวณประเทศที่มีชื่อ***สถานต่อท้าย) ตลอดจนจนดินแดนที่อยู่ในอาฟริกาเหนือถึงประเทศ โมร็อกโค(อัลมักริบี้) และเกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน  ท่านอุสมานเป็นคนแรกที่จัดตั้งกองทัพเรือขึ้นต่อสู้กับการรุกรานของโรมัน กองทัพเรือมุสลิมยึดเกาะไซปรัส เกาะโรดส์ และยึดเมืองอเล็กซานเดเรียในอิยิปต์คืนจากพวกโรมันได้ พร้อมกับขับไล่อำนาจโรมันออกจากดินแดนอียิปต์ได้ กองทัพเรือมุสลิมได้แสดงวีรกรรมในการต่อสู้กับพวกโรมันในสงคราม " เสากระโดงเรือ " และได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
The Sasanian Empire
224 CE 651 CE. จักรวรรดิซาซาเนี่ยน ปกครองอิหร่านอยู่นานกว่า 400 ปี นับถือศาสนา โซโลแอสเตอร์ พุทธ ฮินดู คริสต์ ยูดาย ได้รับความพ่ายแพ้แก่เคาะลิฟะห์ อุษมาน
ด้านภายในเมืองมะดินะห์อุษมานได้ขยายมัสยิดนะบะวีออกไปโดยใช้หินสกัด หลังคามุงด้วยไม้สัก ด้านการศาสนาได้คัดลอกอัลกุรอานจากต้นฉบับของฮับเซาะห์ ,กสาวอุมัร ภรรยาท่านนบี แจกจ่ายไปตามหัวเมืองทั้งหลาย
ท่านอุษมานสิ้นชีวิต โดยการถูกสังหารในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ในบ้านของท่าน ค . ศ . 656 รวมอายุได้ 82 ปี ศพของท่านถูกฝังไว้ที่กุบูร อัล บะเกียะอ์ ที่มะดีนะฮ์ ปกครองได้ 12 ปี





ยุคซาซาเนี่ยนของชาวเปอร์เซีย พ่ายแพ้แก่กองทัพเคาะลิฟะห์อุษมาน บิน อัฟฟาน
ท่านอาลี บิน อบู ฏอลิบ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ เกิดปี ค . ศ . 600 เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 4 ระหว่างปี ฮ.ศ. 35-40 หรือ ค.ศ. 656-661 มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านนบี ท่านมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา 30 ปี อาลีมีความเก่งเรื่องการท่องจำอัลกุรอาน ท่านจำได้ทุกอายะห์ และท่านเคยตัดสินคดีความได้เฉียบขาดมากจนเป็นที่ยอมรับของนบี
เรื่องราวท่านอาลีนี่ค่อนข้างจะซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากเลยต้องให้รายละเอียดมากหน่อย ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความนี้ บทความนี้ไม่ใช่วิชาประวัติศาสตร์ จึงสอดแทรกข้อคิดเห็นส่วนตัวเข้ามา
คิดว่าเพราะสมัยท่านอุษมานแผ่ขยายอำนาจออกนอกประเทศ เรียกมะดินะห์ เมืองหลวงนครรัฐอิสลามมีเมืองมักกะห์เป็นเมืองคู่แฝดในทางศาสนา และมีเมืองอื่นๆ ในปกครองเลยเรียกว่าประเทศซะเลย การแผ่ขยายอาณาเขตปกครองออกไปกว้างขวางเพราะป้องกันการถูกรุกราน สมัยท่านนบีต่อเนื่องมาถึงอุษมานยังมีอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่แผ่อำนาจเหนือดินแดนอาราเบีย ไหนจะพวกกุร็อยช์มักกะห์ ไหนจะพวกยิวรอบๆมะดินะห์ ท่านนบีและเซาะฮาบะห์ทั้งหลายจึงต้องชิงขยายอาณาเขตออกไปก่อนที่จะมีผู้รุกรานเข้ามา การได้เมืองต่างๆ มาไว้ในการปกครองของอิสลาม ไม่ได้ได้มาด้วยความศรัทธาอิสลาม แต่เพราะได้มาด้วยการรบ ตัวแทนที่ไปเป็นผู้ปกครองดินแดนแคว้นต่างๆ ก็ขาดอิหม่านที่มั่นคง พวกเขาเพียงแต่รู้ศาสนาอิสลามว่ามีหลักการว่าอย่างไร แต่ขาดวิญญาณอิหม่านจึงปกครองแคว้นแดนต่างๆ ด้วยนัฟซู (ความเป็นปัจเจกบุคคล) มากเกินไป การขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางของอิสลามใช้เวลาไปเพียง 35 ปี จากท่านนบีจนถึงต้นสมัยอาลีปกครอง เวลาอันรวดเร็วนี้เองที่เป็นข้อเสีย ทำให้สมัยการปกครองของอาลีจึงระส่ำระสาย
ด้านการรบ ท่านเคยเป็นแม่ทัพในสงครามตะบูก สงครามบะดัร สงครามอุหุด สงครามคอนดักที่ได้รับฉายาว่า สิงโตแห่งอัลลอฮุ ก็รบชนะที่คอนดักนี่เอง
หลังจากท่านอุษมานถูกฆาตกรรม ประชาชนชาวมะดีนะฮ์ รวมถึงกลุ่มกบฏได้ให้การสัตย์สาบาญต่อท่านอะลี อิบนุ อบีฎอลิบให้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์คนที่ 4 แห่งอาณาจักรอิสลาม ท่านอะลีเป็นผู้นำรัฐอิสลามในขณะที่สถานการณ์รอบด้านเต็มไปด้วยความวุ่นวายระสำระสายและมีความแตกแยกกันอันสืบเนื่องจากฟิตนะตุลกุบรอ ท่านหญิงอาอิชะฮ์พร้อมกับท่านฏ็อลฮะฮ์ และท่านซุบัยร์ รวมตัวกันบีบคั้นท่านอะลีให้รีบเร่งดำเนินคดีต่อกลุ่มกบฏฆาตกรท่านอุษมาน ในขณะที่มุอาวิยะฮ์ อิบนุ อบี สุฟยาน ซึ่งเป็นข้าหลวงในซีเรียมาตั้งแต่สมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัรปฏิเสธที่จะให้การสัตย์สาบานต่อเคาะลีฟะฮ์อะลี พร้อมกับกล่าวหาท่านเคาะลีฟะฮ์อะลี มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ฆาตกรรมท่านอุษมาน จุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันระหว่างเคาะลีฟะฮ์อะลีกับท่านหญิงอาอีชะฮ์และท่านมุอาวิยะฮ์ข้าหลวงแห่งซีเรียจบลงโดยการสงครามญะมาล ( สงครามอูฐ ) และสงครามซิฟฟีนตามลำดับ ซึ่งเป็นศึกสายเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลามและทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังทหารและศอหาบะฮ์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการเกิดกลุ่มคอวาริจญ์ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งมัจลิสตะห์กีม ( คณะอนุญาโตลาการเพื่อหาทางออกปัญหาคิลาฟะฮ์ ) ในสงครามซิฟฟีน และนำไปสู่สงครามนะห์รอวาน ระหว่างกองทัพเคาะลีฟะฮ์อาลีกับกลุ่มคอวาริจญ์

ท่านอาลีเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร ด้วยการใช้ดาบอาบยาพิษฟันบนศีรษะในขณะที่ท่านละหมาดอยู่ที่มัศญิดในเมือง กูฟะฮ์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีสิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 40 (ค . ศ . 661) ขณะนั้นท่านอายุ 63 ปี ศพของท่านฝังไว้ที่เมืองนาจ๊าบ เพื่อป้องกันการมาทำลายศพจึงไปแอบฝังลับๆที่นาจ๊าบเป็นจังหวัดใหญ่กว่ากูฟะห์ ประเทศอิรัก ท่านอาลีเป็นแบบอย่างที่ดีของความเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธา ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านได้อุทิศทุกอย่างเพื่อศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า พวกยุโรปจะเรียกสมัยเคาะลิฟะห์ทั้งสี่ว่า ”จักรวรรดิรอชิดีน”
หะซัน บิน อาลี ลูกชายคนโตของอาลี บิน อบู ตอลิบ เกิดปี ฮ.ศ.3 (ค.ศ. 625) เขาได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่ 5 ในปีฮ.ศ. 41 (ค.ศ.661)  ขึ้นมาครองตำแหน่งเคาะลีฟะห์ได้เพียงหกเดือน ก็ต้องโอนอำนาจไปให้มุอาวิยะห์  หะซันเสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษ เมื่อปี ฮ.ศ. 50 (ค.ศ. 675) ร่างถูกฝังที่กุบูรอัลบะกีอะ นครมะดินะห์ ตำแหน่งเคาะลิฟะห์นั้นสิ้นสุดที่หะซัน มุอาวิยะห์เป็นได้แค่กาลิบ หรือซุลตอน (ผู้นำ ผู้ปกครองบ้านเมือง)
ฮุเซน  บิน  อาลี (น้องชายหะซัน) เกิดเมื่อ ฮ.ศ.4 (ค.ศ.626) อ่อนกว่าหะซันหนึ่งปี
ตายเมื่อ  (10 มุฮัรรอม ฮ.ศ.61) ค.ศ. 680 อายุ 54 ปี ตายที่เมือง “กัรบาลา” ห่างจากกูฟะห์ (เมืองที่อาลีผู้พ่ออาศัยและตาย) สาเหตุที่ตายคือนำทัพไปเมืองกัรบาลา (ชื่อเมืองนี้แปลว่า “เมืองที่จะพิสูจน์การทรมาน พวกชีอะห์ให้ความเคารพนับถือฮุเซนมากด้วยเหตุที่ฮุเซนประกาศปฏิเสธการมอบคำปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อ ยะซีด ที่ 1 เพื่อแลกกับตำแหน่ง เพื่อหลบเลี่ยงการมีปัญหากับ ยะซีด ฮุเซนก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในมักกะห์ ส่วนยะซีดมีแผนการกำจัดฮุเซนโดยการปลอมแปลงเป็นพวกชาวกูฟะห์ แล้วส่งหนังสือมาแสดงความจงรักภักดีว่าจะสวามิภักดิ์ต่อฮุเซนและร้องขอให้ฮุเซนยกทัพไปช่วยเหลือ ฮุเซนก็ยกทัพไปกัรบาลา เมื่อทัพมาถึงกัรบาลา กองทัพฝ่ายยะซีดก็เข้ามาขวางทันที และจับฮุเซนได้ แล้วตัดหัว เชื่อกันว่าแม่ทัพยะซีดได้นำหัวของฮุเซนกลับไปให้ยะซีดที่ดามัสกัตด้วย เรื่องย่อๆ ของเคาะลีฟะห์อาลี-เคาะลิฟะห์หะซันและฮุเซน พอแค่นี้ก่อน

แผนที่แสดงดินแดนที่เคาะลิฟะห์อุษมานยึดครองมาได้

อาณาจักรอุมัยยะห์ มุอาวิยะห์ที่ 1 บิน อบีซุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะห์ (เกิด ค.ศ. 602 – ค.ศ. 680) ครองอำนาจปี ค.ศ. 661 - ค.ศ. 750 มุอาวิยะห์เคยได้รับใช้นบีเป็นอาลักษณ์ ตำแหน่งกาหลิบหรือซุลตอนปกครองหัวเมืองทางเหนือในปี ค.ศ.639 (ดินแดนชาม-คือซีเรีย) จากสมัยอุมัรเป็นมุสลิมตระกูลแรกที่สถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นกาหลิบปกครองอาณาจักรอุมัยยะห์  แผ่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางในช่วงต้น อีกทั้งยังรักษาธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่พอถึงปลายยุคของตระกูลอุมัยยะห์ รุ่นลูกหลานกลับเอาแต่กินเหล้า เคล้านารี ล่าสัตว์ ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนาจึงถูกลูกหลานของน้าของศาสดามุฮัมหมัดโค่นล้มอำนาจลงในสมัยมัรวานที่ 2 ในปี ค.ศ. 750 (พ.ศ. 1293)
อุมัยยะห์เป็นหนึ่งในสี่จักรวรรดิคอลีฟาฮของอิสลามที่ก่อตั้งหลังจากการเสียชีวิตอาลี บิน อบี ตอลิบ ตระกูลอุมัยยะห์เดิมจะมาจากมักกะห์ แต่ดามาสกัสเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ หลังจากอุมัยยะห์ถูกโค่นโดยตระกูลอับบาซียะห์ พวกตระกูลอุมัยยะห์ก็ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อันดะลุส เสปน (
اندالوس اسباني Al-Andalus) และก่อตั้งเป็นอาณาจักรแห่งกอร์โดบา ในประเทศเสปนตอนใต้
มุอาวิยะฮ์เป็นผู้ปกครองแรกในตระกูลอุมัยยะฮ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก อุมัยยะห์ บุตรของอับดุซซัม มุอาวิยะห์ได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักร ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ที่ไม่ได้รับรองจากทางนักการศาสนาอิสลามให้เป็นเคาะลิฟะห์ก็เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นกษัตริย์ และใช้ระบบการสืบทอดอำนาจด้วยการ สถาปนาแต่งตั้งทาญาติให้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์(กาหลิบ)ต่อๆ กันไปตลอดยุคตระกูลอุมัยยะฮ์ และต่อๆมาทั้งตระกูลอับบาสียะฮ์และอื่นๆ ก็ใช้ระบบสืบทอดอำนาจแบบราชวศ์ด้วย ตระกูลอุมัยยะฮ์มีลูกหลานสืบอำนาจต่อๆกันมาถึง 14 สมัย ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 41-132 หรือ ค . ศ . 661-750 มีอาณาเขตการปกครองครอบคลุมทั้ง 3 ทวีป คือ
1 ทวีปเอเชียไปถึงเมืองจีน และเมืองกาบูล ซึ่งพิชิตโดยมูฮำหมัด บิน กอซิม มุอาวะยะฮ์ได้ส่งก็อยสฺ บิน อัล ฮัยซัม ไปพิชิตทางภาคตะวันออกของเมืองคูรอซาน โดยบุกเข้าไปในเมือง บัลคฺ (
بلخ) ซึ่งอยู่ในอัฟกานิสถานและได้ทำการสร้างมัสยิดขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้พิชิตเมืองเฮราต ( هراة ) โดยอับดุลลอฮฺ บิน ฮาชิม ตลอดจนเมืองอื่นอีก เช่น บุคอรอ ( بخارى ) และสมารกอนดฺ (سمرقند ) อุษเบกิ๊สตาน
2. ทวีปยุโรป ไปถึงเมืองอันดาลุส ประเทศสเปนในปัจจุบัน ซึ่งพิชิต โดย ตอริก บิน ซียาด
3. ทวีปแอฟริกา ตั้งแต่อิยิปต์ ไปถึง ประเทศโมร็อกโค
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ชามหรือประเทศซีเรียในปัจจุบัน เมื่อได้ขึ้นมาเป็นกาหลิบแล้ว มุอาวิยะฮ์ก็ได้อุทิศตนให้แก่การทำให้อาณาจักรอิสลามผนึกเข้าเป็นปึกแผ่นเรียกร้องความสามัคคีในชาติ ซึ่งแตกสลายและไร้ความสงบสุขมาตั้งแต่ท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมานถูกฆาตกรรม เมื่อตั้งตัวได้สำเร็จแล้วมุอาวิยะฮ์ก็เริ่มหาทางพิชิตดินแดนอื่นๆ สานต่อจากเคาะลีฟะฮ์ในอดีต มุอาวิยะฮ์เป็นผู้บริหารที่ดี ทรงเป็นท่านแรกที่จัดตั้งกรมสารบรรณ (
Diwan al-Khatam) และกรมไปรษณีย์ขึ้น จัดตั้งกองกำลังตำรวจและกองทหารองครักษ์ แต่งตั้งเจ้าเมืองให้ทำการบริหารส่วนท้องถิ่นและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิเศษให้เป็นผู้บริหารเงินรายได้ของแผ่นดิน เมื่อมุอาวิยะฮ์สิ้นชีพในปี ค . ศ . 680
ยะซิด ที่ 1 ลูกชายมุอาวิยะห์ที่ 1 ก็ขึ้นมาเป็นกาหลิบแทน หลังจากยะซิดสิ้นชีวิต
มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ลูกชายของยะซิดได้ขึ้นมาเป็นกาหลิบต่อ แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไปในเวลาต่อมา มุอาวิยะฮ์ที่ 2 ไม่มีบุตรและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้ง
มัรวาน อิบนุ อิลหากัม เป็นกาหลิบที่ 4 แห่งอุมัยยะฮ์ มัรวานอยู่ในอำนาจได้ไม่ถึงปีก็สิ้นชีพ และได้แต่งตั้งลูกชาย ชื่ออับดุล มาลิก เป็นกาหลิบต่อไป
อับดุล มาลิก บิน มัรวาน ( ค . ศ . 685 – 705) สามารถปราบปรามกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อตนเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ได้เริ่มงานบูรณะความเป็นระเบียบภายในอาณาจักรอิสลาม ได้ทำการปฏิรูปและนำเอามาตรการการบริหารแผ่นดินใหม่ๆ มาใช้ ปฏิรูปเหรียญกษาปณ์อาหรับใหม่ ทั้งเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ซึ่งมีชื่อว่า ดินาร์ ดิรฮัมและฟอล นอกจากนี้ในสมัยของอับดุล มาลิก ได้มีการปฏิรูปภาษาอาหรับโดยการนำเอาสระและเครื่องหมายจุดใส่ลงในตัวอักษรอย่างที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ อับดุล มาลิกสิ้นชีวิตปี ค . ศ . 705 หลังจากอยู่ในอำนาจได้ 21 ปี เมื่ออับดุล มาลิกสิ้นชีพ

วะลีด ที่ 1 บิน อับดุล มะลิก ( ค . ศ . 705–715)  ซึ่งเป็นลูกชายก็ขึ้นครองอำนาจในชาม วะลีดที่ 1 นี้นับเป็นกาหลิบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกมุสลิม ในสมัยของ วะลีด ที่ 1 อาณาจักรอิสลามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ ทำการปราบปรามการแข็งข้อของพวกชีอะฮ์และคอวาริจญ์จนราบคาบลง ภายในอาณาจักรเต็มไปด้วยความสงบสันติ ขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองบุคอรอ สมารกัน (Uzbekistan) เอเชียกลางทั้งหมด ขยายจากชายแดนจีน (เข้าจีนไปไม่ได้ เพราะติดภูเขาเทียนชาน (تيان شان الجبلية  Tein Shan Mountain) ตั้งขวางอยู่ระหว่างประเทศปากีสถาน อาฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน และเคอร์กิสถาน กับมณฑล อุยกูร์ ซินเจียง (Uyqur Xinjieng) ของจีน เพราะพวกอาหรับไม่คุ้นเคยพื้นที่ภูเขาที่หนาวเย็นและสูงมากถึง 5 พันเมตร) ภูเขาเทียนชานนี้ถึงแม้นจะสูง แต่ก็มีเส้นทางคาราวานการค้า ที่รู้จักกันนาม (طريق الحرير The Silk Road) เป็นเส้นทางเก่ามาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า น่าจะมีมาตั้งแต่หลังยุคที่อเล็กซานเดอร์มหาราช จักรพรรดิแห่ง มาซิโดเนีย (Macedonia: South East Europe. BC 356= พศ. 899)  ที่เคยยกทัพมายึดครองอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และยึดครองเลยขึ้นไปถึงอาฟกานิสถาน มีหลักฐานโดยการสกัดภูเขาเป็นรูปพระพุทธรูปใหญ่ไว้ตามชายเขา อเล็กซานเดอร์ไม่ได้ข้ามเขาเทียนซานไป ด้วยเพราะเหตุดังกล่าวคือ สูงกันดาร หนาวเย็น เพราะดินแดนแถบอาฟกานิสถาน ทาจิกิสถานแถบๆ นี้ก็เป็นแต่ทะเลทราย
ส่วนพวกอุยกูร์ ซินเจียง เป็นอารยะชนที่สันนิษฐานว่า อพยบถิ่นฐานมาจากตุรกี เพราะมีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน อพยบมาตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์แล้ว ไม่อยากอพยบกลับไปทางเก่าก็เลยตั้งรกรากอยู่แถบนี้มาตั้งแต่บัดนั้น เพราะการที่จะอพยบไปแต่ละครั้งสมัยนั้นลำบากมากเพราะเรื่องกระโจม เรื่องสัตว์เลี้ยงที่ต้องต้อนไปด้วย อยู่ๆ ไปพบกับพวกคาราวานค้าขายของจีนก็ตามๆ ไป เห็นที่เมือง อูรุมฉี
Urumqi เมืองหลวงของมณฑลซินเจียงอุยกูร์ของจีนมีโอเอซิสใหญ่ จึงชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่ที่นี่

แผนที่แสดงจุดข้ามแดนบนภูเขาเทียนซาน รอยต่อมณฑลซินเจียง อุยกูร์ จีนกับประเทศ คีร์กิสถาน
ทางเอเชียไมเนอร์ถึงอ่าวบิสเค (Biscay) และจากทะเลโอรอล (Oral Sea)  จนถึงประเทศคาซัคสถาน ไปจนถึงเขตแดนกุจญ์ราตและบอมเบย์ เมืองสินธ์ ในอินเดีย ทางตะวันตกไปถึงแอฟริกาตอนเหนือและแคว้นแอนดาลุสทางตอนใต้ของสเปน (اندالوس اسباني Andalus Spain) ต่างก็ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรของวะลีดที่ 1
มีการสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล จัดหาเงินช่วยเหลือคนชราและคนพิการ จัดให้มีโรงพยาบาลคนตาบอดโดยเฉพาะ ในสมัยของวะลีด ที่ 1 นี้ ศิลปะและวัฒนธรรมเริ่มเจริญรุ่งเรือง เป็นนักสร้างที่ยิ่งใหญ่ บูรณะและขยายมัสยิดแห่งมะดีนะฮ์และมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม พัฒนาการทางการค้าก็เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย นับได้ว่าเป็นอาณาจักรอิสลามที่มีความสงบ รุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อวะลีดที่ 1 ผู้เป็นพี่ชายสิ้นชีพลง

แผนที่แสดงอาณาเขตดินแดนของ วะลีดที่ 1 บิน อับดุล มาลิก สุลต่านแห่งตระกูลอุมัยยะห์
สุไลมาน บิน อับดุล มะลิก ก็ขึ้นครองอำนาจต่อ เป็นกาหลิบ ปี ฮ.ศ. 96 – 99 ( ค.ศ. 715 – 718 ) ที่มีเมตตาต่อสหายแต่โหดร้ายต่อศัตรูมีชื่อเสียงในเรื่องฮาเร็มและการมีชีวิตอย่างหรูหรา ในสมัยการปกครองของสุไลมาน ไม่มีอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ที่โดดเด่นต่อราชอาณาจักรอิสลามมากนัก คุณประโยชน์อย่างเดียวที่ทำให้แก่รัฐอิสลามก็คือการแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อว่า อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เป็นกาหลิบ ซึ่งเป็นกาหลิบที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม สุไลมาน สิ้นชีพหลังจากที่เป็นกาหลิบได้ 2 ปีกับอีก 5 เดือน
อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ ขึ้นเป็นกาหลิบในปี ฮ.ศ. 99 – 101 ( ค.ศ. 718 – 720 ) เป็นน้องของอับดุล มาลิก บิดาเป็นผู้ปกครองอียิปต์มาเป็นเวลานานและมารดาของท่านเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ อุมัร อิบนุ อัลอะซีซเป็นกาหลิบที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก บริหารอาณาจักรอิสลามอย่างยุติธรรมจนได้สมญานามว่า เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 5 อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ พยายามจำกัดความไม่เสมอภาคระหว่างมุสลิมชาวอาหรับกับมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ นอกจากนี้อุมัรได้แต่งตั้งบุคคลสำคัญๆ ขึ้นครองตำแหน่งสูงๆ โดยเลือกเอาผู้ที่เที่ยงธรรมและซื่อตรงเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแก่เหล่าประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ปกครอง อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เห็นความสำคัญในการทำนุบำรุงดินแดนที่ได้มาครอบครองแล้วให้เจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างไกลออกไปอีก ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอุมัรก็คือ การรวบรวมหะดีษอย่างเป็นทางการ ตลอดการปกครองของอุมัรประชาชนในราชอาณาจักรอิสลามทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต่างก็มีความสุขและได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมกันทั่วหน้า เมื่อท่านอุมัรสิ้นชีพลง
ยะชีดที่ 2 บิน อับดุลมะลิก จาก ปี ฮ.ศ. 101 – 105 ( ค.ศ. 720 – 724 ) ขึ้นปกครอง ในสมัยปกครองของยะชีดที่ 2 เกิดกลุ่มกบฏต่างๆ ที่ไม่พอใจในตัวกาหลิบเอง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตในขณะเดียวกัน ยะซีดที่ 2 ก็ไม่ค่อยสนใจในการบริหารประเทศมากนัก ระหว่างสมัยยะซีดนี้ พวกอับบาสียะฮ์เริ่มมีอำนาจและแข็งข้อขึ้น ตอนแรกกระทำกันอย่างลับๆ แต่ต่อมาก็ทำอย่างเปิดเผยเพื่อโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ลง
ฮิชาม บิน อับดุลมะลิก จาก ปี ฮ.ศ. 105 – 125 ( ค.ศ. 724 – 743 ) น้องชายของยะซีดที่ 2 ขึ้นครองอำนาจต่อจากท่านยะซีดที่ 2  ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ การต่อสู้ระหว่างพวกอุมัยยะฮ์กับพวกอับบาสียะฮ์ดำเนินไปอย่างรุนแรง มีการก่อการจลาจลวุ่นวายทั่วอาณาจัก ฮิชามสิ้นชีพในปี ฮ . ศ . 743 เมื่อฮิชามสิ้นชีพ
วะลีดที่ 2 บิน ยะซีด ที่ 2 จาก ปี ฮ.ศ. 125 – 126 ( ค.ศ. 743 – 744 ) ขึ้นครองอำนาจ ในตอนแรกพยายามเอาชนะใจประชาชน โดยการเพิ่มเงินช่วยเหลือแก่คนยากจน คนชราและคนพิการ แต่ความโหดร้ายที่วะลีดที่ 2 มีต่อครอบครัวท่านอะลีและบนีฮาชิมก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ วะลีดปกครองได้ไม่ถึงปีก็ถูกท่านยะซีดที่ 3 ลูกชายของกาหลิบวะลีดที่ 1 ก่อการกบฏและสังหารวะลีดที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวะลีดที่ 2 สิ้นอำนาจ
ยะซีดที่ 3 บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 126 ( ค.ศ. 744 – 744 ) ผู้ก่อการกบฏก็ขึ้นเป็นกาหลิบแทน ยะซีดเป็นคนใจบุญและเคร่งศาสนา เมื่อครองอำนาจ ก็ได้สัญญาว่าจะปลดเปลื้องความเดือดร้อนของประชาชน จะลดภาษีและจะปราบปราบข้าราชการที่ทุจริตคดโกง แต่ท่านอยู่ในราชสมบัติไม่นานพอที่จะทำตามที่ทรงสัญญาไว้ได้ ก็ต้องผจญกับความยากลำบากนานาประการมาตั้งแต่ต้น มีการก่อกบฏทั้งในปาเลสไตน์และแอฟริกา ยะซีดครองอำนาจได้แค่ 6 เดือนก็สิ้นชีพ และ
อิบรอฮีม บิน วะลีด ที่ 1 จาก ปี ฮ.ศ. 126 – 127 ( ค.ศ. 744 – 744 ) น้องชายของยะซิดที่ 3 ขึ้นเป็นกาหลิบแทน แต่ได้รับการยอมรับจากคนเพียงบางส่วนเท่านั้น จนกระทั่ง
มัรวานที่ 2 บิน มูฮัมมัด จาก ปี ฮ.ศ. 127 – 132 ( ค.ศ. 744 – 749 ) ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากอิบรอฮีม มัรวาน ที่ 2 หรือมัรวานอัลหิมาร์ ได้ย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัสไปอยู่ที่ฮัรรอน ซึ่งทำให้ชาวซีเรียไม่พอใจและรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้าน มัรวานต้องผจญกับความยากลำบากต่างๆ นานา มีการกบฏในปาเลสไตน์ พวกคอวาริจญ์ก็แข็งข้อขึ้น และพวกบานีฮาชิมก็แพร่ขยายตัวออกไปอย่างน่ากลัว เกิดความครุ่นแค้นคุกรุ่นขึ้นทั่วอาณาจักรอุมัยยะฮ์ กองทัพซีเรียก็อ่อนแอลง ฉะนั้นสมัยของมัรวานที่ 2 จึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ จนกระทั่งในปี ค . ศ . 750 อบูมุสลิม ซึ่งเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอับบาสียะห์พร้อมกับพรรคพวกได้ก่อกบฎและยึดเมืองคูราซาน (Khurasan) ได้สำเร็จ พร้อมกับขับไล่นัศร์ อิบนุ สัยยาร ซึ่งเป็นข้าหลวงของมัรวานที่ 2 ประจำแคว้นคูราซานออกจากพื้นที่ การก่อกบฏและยึดอำนาจได้ขยายไปเรื่อยๆ ยังแคว้นอื่นๆ จนกระทั่งมัรวานที่ 2 ซึ่งเป็นกาหลิบสุดท้ายของตระกูลอุมัยยะฮ์ถูกสังหารเสียชีวิต เมื่อกลุ่มอับบาสียะห์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจและโค่นล้มตระกูลอุมัยยะฮ์ได้ พวกอับบาสิยะห์ได้พยายามกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลอุมัยยะฮ์ให้สิ้น มีไม่กี่คนที่สามารถหนีรอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์นี้ได้ ในบรรดาผู้ที่หนีรอดเหล่านั้นคือ อับดุลเราะหมาน ซึ่งเป็นหลานปู่ของฮิซาม ได้หนีเอาชีวิตรอดไปที่แอฟริกาเหนือและต่อมาได้สร้างตระกูลอุมัยยะฮ์ขึ้นมาใหม่ที่แคว้นแอนดาลุส สเปน
ในสมัยการปกครองโดยตระกูลอุมัยยะฮ์นั้น ผู้ครองอำนาจการปกครอง จะให้ความสำคัญในด้านการศึกษา ตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ บัสเราะฮ์ กูฟะฮ์ ซีเรีย อิสกันดัร (ประเทศสเปน) ฟุรตอต และอีกหลายๆเมืองในสมัยนั้น สาขาวิชาต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยอุมัยยะฮ์ได้แก่
วิชานาฮู (วิชาวสกยสัมพันธ์) แต่งขึ้นโดย อาบูอัลอัซวัด อัฎฎออาลี
การเรียบเรียงหาดิษจากบรรดาเหล่าศอฮาบะฮ์ และวิชาตัฟเซร ที่เมืองบัสเราะฮ์ โดยมีบรรดาอุลามาอฺหลายคนให้ความสำคัญกับวิชาตัฟเซร เช่น อับดุลลอฮ์ บิบ อับบาสและในสมัยนี้ได้มีการขยายความรู้ด้าน
วิชาสามัญ (วิชาการทางโลก) เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาเคมี การแพทย์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา
วิชาการแพทย์คือ อัล ฮาริษ อิบนุ กะลาดะฮ์ ผู้ที่มีชื่อเสียงสาขา
วิชาเคมี คือ คอลิด อิบนุ ยะสีด และมีกำเนิดการทำ
ฮาลาเกาะฮ์ (หมายความว่า การจัดกลุ่มศึกษาขึ้นเพื่อการศึกษาอิสลามร่วมกัน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมฮาลากอฮฺจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาที่จะนำมาพูดคุยกันเอง เช่น การศึกษาอัลกุรอานพร้อมกับความหมาย
, การศึกษาอัลฮาดิษ, การศึกษาประวัติท่านนบีและซอฮาบะฮฺ,การศึกษามรรยาทต่างๆของอิสลาม,
การศึกษาวิชาฟิกฮฺร่วมกัน สำหรับในเรื่องฟิกฮฺนั้น ควรผ่อนปรนในเรื่องที่แตกต่างและร่วมมือกันในเรื่องที่เหมือนกัน อีกทั้งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีความเห็นที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการการแตกแยกที่อาจจะเกิดในเรื่องประเด็นปลีกย่อย เพราะสิ่งเหล่านี้พบมากปัจจุบัน เยาวชนนักศึกษาบางที่บางแห่ง ถึงกับจับกลุ่มกันนินทาพี่น้องหรืออาจจะถึงขั้นไม่ละหมาดตามกันเลยก็มี) ฮาลาเกาะฮ์ที่ทำกันในมัสยิดเริ่มทำที่ มักกะฮ์ โดย อับดุลลอฮ์ บิน อับบาส

อาณาจักรอับบาสียะฮ์ หลังจากตระกูลอุมัยยะฮ์ถูกโค่นล้ม ตระกูลอับบาสียะฮ์ก็ขึ้นมาครองอำนาจแทน คำว่าอับบาสียะฮ์ มาจากชื่อของท่านอับบาส บุตร อับดุล มุฎฎอลิบ บุตร ฮาชิม ซึ่งเป็นน้าชายของท่านศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) บางครั้งเรียกว่าเชื้อสายฮาชิมี ตระกูบอับบาสียะฮ์ได้ย้ายเมืองหลวงจากชามมายังเขตอิรักในแบกแดด อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดเรืองอำนาจตั้งแต่ ค . ศ . 750-1258 ซึ่งมีระยะเวลาการครองออำนาจยาวนานเป็นลำดับที่สองรองจากราชวงศ์ออตโตมาน ราชวงศ์อับบาสียะฮ์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์โลก แบ่งยุคประวัติศาสตร์อับบาสียะฮ์ออกเป็นสองยุคใหญ่ๆ คือ
·          ยุคต้น เริ่มตั้งแต่การสถาปนาตระกูลอับบาสียะฮ์ในปี ฮ . ศ . 132 - 232 (ค . ศ . 750 - 847) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณหนึ่งศตวรรษ ส่วน
·          ยุคปลาย ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 232 (ค . ศ . 847) จนถึงพวกมงโกลเข้ามายึดครองเมืองแบกแดด หรือการสิ้นอำนาจของอับดุลลอฮ์ อัลมุอ์ ตะซิม บิลลาฮ์ ในปี ฮ . ศ . 656  (ค . ศ . 1258) ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณ 424 ปี
ในยุคปลายของอับบาสียะฮ์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงคือ
1. ช่วงชาวเตอร์กเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 232-334  (ค . ศ . 847-946) รวมระยะเวลาประมาณ 102 ปี ช่วงดังกล่าวนี้ชาวเตอร์กมีบทบาทมากในการกำหนดทิศทางทางการเมืองการปกครองและการทหารของอับบาสียะฮ์
2. ช่วงพวกบูไวยะฮ์เรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 334-447 (ค . ศ . 946-1055) รวมระยะเวลา 113 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองและการปกครองของอับบาสียะฮ์ตกอยู่ในมือของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
3. ช่วงเซลจูกเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 447-530 / ค . ศ . 1055-1136 รวมระยะเวลา 83 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ถูกควบคุมโดยพวกเซลจูกซึ่งเป็นสุนนีย์ที่เข้ามาโค่นอำนาจของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
4. ช่วงสุดท้ายที่ล่มสลาย คือระหว่างปี ฮ . ศ . 530-656 / ค . ศ . 1136-1258 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเซลจูกกำลังเสื่อมโทรม ในขณะเดียวกันมีการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูอำนาจของอับบาสียะฮ์ใหม่ แต่ก็ถูกคุกคามโดยอำนาจใหม่แห่งมงโกลจนล่มสลายไปในที่สุด ช่วงนี้มีระยะเวลาการปกครองประมาณ 126 ปี
ตระกูลอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดมีผู้ปกครองรวมทั้งหมด 37 คน ในช่วง 3 ศตวรรษแรกของการปกครองของอับบาสียะฮ์ อาณาจักรอิสลามมีความเจริญก้าวหน้ามากทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นยุคฟื้นฟูแห่งอิสลาม
สมัยการปกครองของอับบาสียะฮ์ เป็นสมัยของการสร้างความเป็นเอกภาพและความรุ่งเรืองสูงสุด มีการขยายอาณาเขตการปกครองมากขึ้น ทางทิศตะวันตกถึงแอฟริกาเหนือ สเปน ส่วนทางด้านทิศตะวันออกถึง ฝั่งเปอร์เซียและอินเดีย โดยอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลอับบสาสิยะห์ ที่มีศูนย์อยู่ที่แบกแดด การเรือง อำนาจของอับบาสียะฮ์เป็นการเปิดศักราชใหม่ของมุสลิมในด้านศิลปวิทยาการสาขาต่างๆ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ของมุสลิมได้เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มขึ้นของอับบาสียะฮ์ ผู้ปกครองในตระกูลอับบาสียะฮ์เป็นผู้อุปถัมภ์วิทยาการอย่างใหญ่หลวง ทนุบำรุงเลี้ยงดูนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถซึ่งได้สร้างประโยชน์อันมีค่าให้แก่วัฒนธรรมของโลก
กาหลิบอัล มะอ์มูน ( ค . ศ . 813-833) เปิดแผนกแปลเพื่อรักษาผลงานด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของต่างชาติไว้เช่น ผลงานของอริสโตเติล กาเลน แต่คงจะหายสาปสูญไปถ้าหากมุสลิมไม่ได้เก็บรักษามันไว้ด้วยการแปลเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้มุสลิมยังมีความรู้ในเรื่องทางเคมี การแพทย์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก มีแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่โลกรู้จักกัน ตำราอัลกอนูน ของอิบนุชินาได้ใช้เป็นตำราทางการแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรปมาหลายร้อยปี
ต้นๆของยุคอับบาสียะฮ์ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นในกรุงแบกแดด ต่อมาก็ได้มีโรงพยาบาลเกิดขึ้นอีก
34 แห่งในส่วนต่างๆของโลกมุสลิม
นักปรัชญาแล้วยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นักประดิษฐ์กล้อง และนักทฤษฏีด้านดนตรีอีกด้วย อีกทั้งได้เขียนตำราในด้านต่างๆ กว่า
200 เล่ม
ตำราทางด้านจิตวิทยา การเมืองและอภิปรัชญา นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น
ดาราศาสตร์ในสมัยของอัลมะอ์มูนได้มีการสร้างหอดูดาวแห่งแรกขึ้นที่เมืองจันดีชาปูร ในเปอร์เซียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อมาได้มีการสร้างอีกแห่งหนึ่งในเมืองแบกแดด
ตำรา “ กิตาบ ซูรอตุลอัรฏ์ ” ซึ่งอธิบายแผนโลกที่เป็นเล่มแรกในศตวรรษที่
9
วิชาเคมี ญาบิร อิบนุ ฮัยยาน แห่งเมืองกูฟะฮ์นับว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเคมีสมัยใหม่ ได้สร้างห้องทดลองขึ้นในเมืองกูฟะฮ์ ได้ค้นพบสารประกอบทางเคมีมากมายและได้เขียนตำราเกี่ยวกับวิชาเคมีไว้หลายเล่ม
ทางด้านประวัติศาสตร์ มีมุสลิมมากมายมีความรู้เรื่องนี้ และเจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าสาขาอื่นๆ
วรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงก็มี อิสฟาฮานีย์ อิบนุ ค็อลลิกาน
สาขาอื่นๆ ที่รุ่งเรืองมากก็มี ศัลยกรรม เภสัชกรรม วิชาเกี่ยวกับสายตา
นิติศาสตร์ในสมัยอับบาสียะฮ์เกิดสำนักทางฟิกฮ์หรือที่เรียกว่ามัซฮับขึ้นสี่สำนัก ซึ่งมี
1.         อิมามอบู หะนีฟะฮ์
2.         อิมามมาลิก
3.         อิมามชาฟิอีย์
4.         ท่านอิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล เป็นผู้นำของแต่ละสำนัก จึงกล่าวได้ว่านักปราชญ์และผู้รู้ของมุสลิมในสมัยอับบาสียะฮ์มีอยู่ในทุกสาขาวิชาการและเป็นทองแห่งศิลปวิทยาการอิสลาม
  ในศตวรรษที่ 9 อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์เริ่มสั่นคลอนโดยการประกาศตั้งตัวเป็นรัฐเอกราชของราชวงศ์อุมัยยะฮ์แห่งสเปน ราชวงศ์ตุลูน แห่งอียิปต์ ราชวงศ์ตอฮิรีย์ แห่งคูรอซาน ราชวงศ์สามานีย์ แห่งแทรนโซเซียนาและคูรอซาน ราชวงศ์สัฟฟารีย์ แห่งซิสถาน
ในศตวรรษที่
10 กลุ่มชีอะฮ์ได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางและมีบทบาททางการเมืองมาก ได้ขยายอำนาจสู่อียิปต์และซีเรีย พร้อมกับประกาศตั้งตนเป็นรัฐอิสระที่อียิปต์แข่งกับราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดด
นอกจากนี้ในปี ค . ศ .
845 กลุ่มชีอะฮ์  บูไวยฮีย์ ได้บุกเข้ายึดกรุงแบกแดด และกุมอำนาจอับบาสีย์ไว้ได้สำเร็จ ต่อมา
ในปี ค . ศ .
1055 ชาวเซลจูกเข้ามามีบทบาทและกุมอำนาจในราชวงศ์อับบาสียะฮ์แทน จนกระทั่งได้อำนาจคืนจากชาวเซลจูกในปี ค . ศ . 1194 แต่ต้องเผชิญมรสุมลูกใหญ่จากการรุกรานของทหาร
มองโกล  ปี ค . ศ . 1258 ( ฮ . ศ .656) มองโกลสามารถเข้ายึดเมืองแบกแดดได้ และได้สังหารสุลต่านสุดท้ายของอับบสิยะฮ์แห่งแบกแดด จนสิ้นสุดอับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดที่เรืองอำนาจมาเกือบ 6 ศตวรรษ
อาณาจักรอุษมานียะฮ์หรือออตโตมานเติร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1299 หลังจากอาณาจักรเซลจูกเติร์กแห่งอนาโตเลียถูกกองทัพมองโกล รุกรานและล่มสลายในที่สุด อาณาจักรอุษมานียะฮ์ถูกสถาปนาขึ้นโดย อุษมาน ได้ประกาศตนเป็นปาดีชะห์ปกครองอาณาจักรออตโตมานที่แคว้นโซมุตทางทิศตะวันตกของอนาโตเลีย ประมุขสุงสุดของอาณาจักรออตโตมาน เรียกว่า ปาดีชะห์ หรือ สุลต่าน มีสุลต่านปกครองทั้งหมด 36 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1299-1922 การปกครองในสมัยของสุลต่านสิบคนแรกนับว่าเป็นสุลต่านที่มีความสามารถเข้มแข็งในการรบ เพราะต้องรักษาดินแดนของตนพร้อมกับการขยายดินแดนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
สุลต่านที่
2 คือ อรฮันที่ 1 ได้จัดตั้งกองทหารราบแจนิสซารีขึ้น เพื่อเป็นกองทหารกล้าตายพิทักษ์สุลต่าน เป็นผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อสุลต่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ในภายหลังกองทหารแจนิสซารีเป็นผู้ก่อการจลาจลเสียเอง เพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์ บางรัชสมัยกองทหารแจนิสซารีมีอิทธิพลถึงขั้นถอดถอนแต่งตั้งสุลต่านได้ จนในที่สุดรัชสมัยสุลต่านมะห์มูดที่ 2 พระองค์ได้ปราบปรามกองทหารแจนิสซารีอย่างเด็ดขาดและได้เลิกระบบกองทหารแจนิสซารี
ในสมัยของสุลต่านต้นๆ สิบคนแรกต้องทำศึกสงครามกับอาณาจักรไบแซนทีน กลุ่มประเทศในแหลมบอลข่าน เช่น เซอร์เบีย บัลกาเรีย วอเลคเชีย โรมาเนีย เฮงการี เป็นต้น ผลจากการสงครามในสมัยนี้ส่วนใหญ่ออตโตมานเป็นผู้ชนะ 

ต่อมาสุลต่านคนที่ 7 เมร์เมดที่ 2 ได้รับสมญานามว่า ผู้พิชิต เพราะเป็นผู้พิชิตอาณาจักรไบแซนทีนได้สำเร็จ สามารถตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี ค.ศ. 1453 และได้เปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล ในสมัยสุลต่านสุไลมานที่ 1 นับว่าอาณาจักรออตโตมานเจริญสูงสุดแต่ในขณะเดียวกันในช่วงปลายสมัยของสุลต่านสุไลมานที่ 1 นี้ก็เป็นการเริ่มของความเสื่อมของอาณาจักรออตโตมานสาเหตุของการเสื่อมเพราะ
1.ความอ่อนแอของสุลต่านเอง คือ ไม่มีความสามารถในการรบ หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี
2.ปล่อยให้แกรนด์วิเซียร์เป็นผู้บริหารแทน เป็นเหตุให้เกิดการการคอรัปชั่น
3.ขาดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยส่วนในยุโรปนั้นมีการอาวุธที่ทันสมัยและมีศักยภาพมากกว่า
4.กษัตริย์ในยุโรปได้ร่วมมือกันเพื่อล้มล้างอาณาจักรออตโตมาน
หลังจากสิ้นยุคการปกครองของสุลต่านสุไลมานเป็นต้นมา อาณาจักรออตโตมานเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อม ภายในราชสำนักมีแต่ความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ฟุ่มเฟือย สุลต่านเอาแต่สนุกสนานอยู่ในฮาเร็ม มีการลอบปลงประชนแย่งชิงราชบัลลังก์ บรรดาข้าราชการแสวงหาความร่ำรวย ฉ้อราษฎร์บังหลวง สาเหตุดังกล่าวทำให้สุลต่านแห่งออตโตมานต้องปราชัยเป็นส่วนใหญ่และจากการรุกรานของชาติต่างๆในยุโรปทำให้ ไม่ สามารถขยายดินแดนได้อีก ต่อมาในสมัย

มะห์มูดที่ 2 ก็ได้จัดกองทัพแบบยุโรป โดยมีฝรั่งเศสให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ได้ร่วมสงครามกับเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมานตุรกีก็พ่ายแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรอันได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
อับดุลฮามิดที่ 1 ได้เกิดกลุ่มยังเติร์กหรือเติร์กหนุ่มเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสุลต่านเป็นระบบสาธารณรัฐและให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายในการปกครองประเทศ ในที่สุดเคมาล ปาชา ผู้นำกลุ่มยังเติร์กสามารถชนะกรีก และต่อมาประกาศเลิกระบบสุลต่าน เลิกระบบเคาะลีฟะฮ์ เป็นการสิ้นตระกูลออตโตมาน (อุษมานียะฮ์) เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประเทศตรุกีในปี ค . ศ. 1922 จนถึงปัจจุบัน










แผนที่แดงอาณาเขตของจักรวรรดิออโตมาน ในยุคเสื่อม ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิออโตมานพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เสียดินแดนในคาบสมุทรบอลข่านไป เสียดินแดน ในตะวันออกกลางไป

ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ ขอดุอาอ์ให้กับทุกคน اللهُمَّ اغْفِرْ لِنا وَارْحَمْنِا وَعَافِنِا وَاهْدِنِا وَارْزُقْنِا
โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเรา, ทรงเมตตาต่อพวกเรา, ทรงทำให้พวกเรามีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกเราด้วยเถิด
......................................................................................


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก